ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 560-2 ผู้อาวุโส ข้าไม่อร่อยจริงๆ ขอรับ! (2)
บทที่ 560-2 ผู้อาวุโส ข้าไม่อร่อยจริงๆ ขอรับ! (2)
………………..
ร่างของสวี่ชิงราวกับไม่มีตัวตน เลือนรางในหุบเหวลึก ราวกับว่าช่วงเวลานี้ถูกทำลายกลายเป็นชิ้นส่วนมากมายนับไม่ถ้วนในเจ็ดอึดใจก่อนหน้านี้ แล้วรวมตัวกันใหม่
ร่างของสวี่ชิงปรากฏขึ้นในหุบเหวลึกอย่างกะทันหัน จิตวิญญาณของเขายังไม่แตกสลาย มีเพียงความเจ็บปวดที่ยังคงอยู่ อาการบาดเจ็บทั้งหมดก็กลับไปยังเจ็ดอึดใจก่อนหน้านี้เช่นกัน
ส่วนหญิงสาวคนนั้น กลับร่วงลงไปในหุบเหวลึกตลอดกาล
เสียงเคี้ยวที่มีความสำราญดังขึ้นเป็นระยะไปรอบทิศ ออกแรงเคี้ยว
แต่วิกฤติยังไม่จบ ไม่ได้มาจากหุบเหวลึกเบื้องล่าง แต่มาจากด้านบนหินหนืด
สวี่ชิงไม่แน่ใจว่าความตายรวมถึงการกระทำก่อนตายของอีกฝ่ายจะดึงดูดโลกภายนอกสนใจหรือไม่ แต่เขาเดิมพันไม่ได้ ดังนั้นต่อให้จิตวิญญาณจะบาดเจ็บหนักในตอนนี้ แต่ก็ยังกัดฟันพุ่งตรงไปยังผนึกต้องห้ามด้านล่าง
พริบตานั้น สวี่ชิงผสานเข้าไปในผนึกต้องห้ามพระจันทร์สีชาด อาศัยพลังพระจันทร์สีม่วงของตนอำพรางร่องรอย ซ่อนตัวอยู่ใต้อักขระหนึ่งที่นูนออกมาด้านนอกของโลงศพ
หลังจากมาถึงที่นี่ สวี่ชิงก็แทบจะควบคุมอาการบาดเจ็บไม่อยู่ เบื้องหน้าดำมืด เขากัดลิ้นอย่างแรง กระตุ้นตนเองให้คงสติเอาไว้
จากนั้นพลังพระจันทร์สีม่วงก็ปกคลุมทั้งร่าง ล้วงหน้ากากอำพรางที่อาจารย์มอบให้มาสวมอย่างรวดเร็ว
หน้ากากนี้ ถ้าไม่ถึงตาจนจริงๆ สวี่ชิงไม่คิดจะใช้
เพราะถ้าใช้มากไป จะถอดออกมาไม่ได้
ทว่าเวลานี้จำเป็นต้องใช้
ขณะเดียวกัน จู่ๆ โลงศพก็สั่นสะเทือน แล้วแผ่พลังอ่อนโยนวูบหนึ่งออกมา ครอบคลุมร่างสวี่ชิงช่วยสนับสนุน
ขณะที่ใจสวี่ชิงสั่น คลื่นพลังน่าตกตะลึงวูบหนึ่งก็พลันแผ่มาจากด้านบนหินหนืด
สวี่ชิงก้มศีรษะลงทันที ไม่ขยับเขยื้อน
ไม่นานนัก หินหนืดด้านบนก็ครืนครัน ระเบิดไปทั่วสารทิศเป็นวงกว้าง ร่างของเผ่าปีกทะยานทะยานในชุดคลุมสีแดงที่มีปีกสีแดงงอกออกมาร่างหนึ่ง ค่อยๆ เดินออกมาในหินหนืด
คลื่นพลังหวนสู่อนัตตาทั่วร่าง ทำให้ที่นี่ความบ้าคลั่งไปหมด
ยืนอยู่ตรงนั้น สายตาทูตเทวะเผ่าปีกทะยานทะยานคนนี้กวาดตามองไปรอบด้าน ขณะเดียวกันในโลงศพก็มีเสียงเคี้ยวลอดออกมา ยิ่งมีเสียงแฝงความพึงพอใจดังก้องออกมา
“ผู้ติดตามของชื่อหมู่ รสชาติไม่เลว”
เมื่อทูตเทวะเผ่าปีกทะยานได้ยินก็มองเข้าไปในหุบเหวลึก ดวงตาเปล่งประกายสีแดง คล้ายมองทะลุทะลวงอาณาเขตได้ระดับหนึ่ง
ครู่ต่อมา เขาก็ขมวดคิ้ว สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายผู้รับใช้เทวะของตน รู้ว่าอีกฝ่ายถูกกลืนไปแล้ว
ส่วนเพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่แน่ใจนัก แต่นึกถึงตัวตนที่อยู่ในโลงศพนี้ ก็เหมือนจะเข้าใจได้
“เรื่องนี้ต้องรายงานตำหนักเทพ
“ท่าทางต้องปิดผนึกให้บ่อยครั้งขึ้นสักหน่อยแล้ว”
สายตาทูตเทวะเผ่าปีกทะยานกวาดมองไปยังผนึกต้องห้ามรอบๆ จากนั้นก็ยกมือขวาขึ้น หยิบผลึกวารีที่ดูเหมือนเลือดออกมาเม็ดหนึ่ง เมื่อบีบจนแตกก็ทำให้มันผสานเข้าไปในผนึกต้องห้าม
ทันใดนั้นคลื่นพลังของผนึกต้องห้ามที่นี่ก็ยิ่งเข้มข้น
ทพเรื่องเหล่านี้เสร็จ เขาก็มองรอยแยกนั้นอย่างเย็นชา หันหลังร่างไหววูบออกไปจากที่นี่
การตายของผู้รับใช้เทวะคนหนึ่ง สำหรับโลกภายนอกแล้วคือเรื่องใหญ่ แต่สำหรับเขาแล้วไม่ได้สลักสำคัญอะไร แค่รู้สาเหตุการตายก็เพียงพอ
สวี่ชิงไม่ได้ออกไปทันที เขารอจนผ่านไปครึ่งวัน เมื่อยืนยันว่าทูตเทวะคนนั้นออกไปแล้วจริงๆ จึงผ่อนคลายลง และอาการวิงเวียนศีรษะรวมถึงความเหนื่อยล้าที่มาจากอาการบาดเจ็บของจิตวิญญาณ ทำให้สวี่ชิงอ่อนล้ามาก
ดีที่ตอนที่เขามองเข้าไปในนาฬิกาแดดของตนแล้วพบว่าแม้พวกมันจะผุพังไปบ้าง แต่จากการเคลื่อนที่ของเข็มนาฬิกา ก็กำลังฟื้นฟูอยู่
สวี่ชิงโล่งใจ ฝืนลอยออกมา ตอนที่อยู่กลางอากาศจู่ๆ เขาก็ชะงัก เงียบนิ่งไปหลายอึดใจ จากนั้นก็คารวะไปทางโลงศพที่ขนาดเท่าเมืองนั่น
“ขอบพระคุณผู้อาวุโสขอรับ”
ดวงตาสีน้ำเงินปรากฏขึ้นในร่องหุบเหวลึกนั้นที่ฝาโลงแง้มอยู่ จับจ้องมาทางสวี่ชิง
“ร่างของเจ้า มีพลังของชื่อหมู่!”
เสียงอื้ออึง มาพร้อมกับความแปลกประหลาดดังก้องไปทั่วสารทิศ
สวี่ชิงก้มหน้า เอ่ยอย่างนอบน้อม
“ท่านอาจารย์ข้าช่วงชิงมาให้ บัดนี้ไม่ใช่ของพระจันทร์สีชาดอีกแล้ว แต่เป็นของข้าขอรับ”
ม่านตาในโลงศพหดเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่พูดอะไร
สวี่ชิงโบกมือ พลังพิษต้องห้ามก็แผ่ซ่านออกมา
“สิ่งนี้ก็ด้วย”
พูดจบเขาก็แผ่กลิ่นอายของเขาจักรพรรดิภูตออกมา
“และยังมีสิ่งนี้
“นอกจากนี้ร่างกายของข้า ก็เป็นท่านอาจารย์ที่ช่วงชิงมาให้ข้า” สวี่ชิงพูดพลางล้วงก้างปลาออกมา
“พวกมันเป็นชุดเดียวกัน”
“อาจารย์ของเจ้าคือใคร” ครู่ต่อมา ในโลงศพก็ส่งเสียงอู้อี้ออกมา
สวี่ชิงส่ายศีรษะ ทำหน้าจริงจัง
“ผู้อาวุโส ก่อนภารกิจที่อาจารย์มอบให้ข้าจะเสร็จสิ้น เขาไม่อนุญาตให้ข้าเอ่ยนามของเขาขอรับ”
“ภารกิจ?” ดวงตาในโลงศพจ้องเพ่ง
“ภารกิจของข้า คือสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับพระจันทร์สีชาดชื่อหมู่ให้ท่านอาจารย์ ผู้อาวุโสอาจไม่ทราบ ว่าด้วยแผนการของท่านอาจารย์ ชื่อหมู่หลับไหลไปแล้ว
“ข้ามาที่นี่ ก็เพื่อไปยังที่ราบสำนึกบาป เพื่อคำนวณเวลาการมาถึงของพระจันทร์สีชาดขอรับ
“ท่านผู้อาวุโสคือ?” สวี่ชิงเอ่ยถามอย่างนอบน้อม
โลงศพเงียบนิ่งไป สักพัก ด้านในก็ส่งเสียงแหบพร่าอย่างผู้มาประสบการณ์ออกมา
“เจ้าตัวน้อย ข้าไม่เชื่อสิ่งที่เจ้าพูดมา แต่ไม่เป็นไร ข้าสัมผัสได้ว่าพลังชื่อหมู่จากร่างเจ้านั้นช่วงชิงมา ไม่เหมือนกับทูตเทวะเหล่านั้น และเจ้าก็เป็นเผ่ามนุษย์ด้วย
“ส่วนฐานะของข้า…แผ่นดินใหญ่ผืนนี้ เคยเป็นดินแดนของเสด็จพ่อข้า”
สวี่ชิงดวงตาจ้องเพ่ง ในใจโหมระลอกคลื่นลูกมหึมา
“ที่ราบที่เจ้าจะไป ที่นั่นคือที่ที่ฝังกระดูกของเสด็จพ่อข้า”
เสียงในโลงศพแฝงความขมขื่น
“กาลเวลาผ่านไปนานมาก ข้าก็จำวันเวลาไม่ได้แล้ว…
“เจ้าเป็นคนที่สองที่ปรากฏตัวต่อหน้าข้า นอกจากตัวตนจากตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดในช่วงเวลาหลายปีที่ไม่รู้ว่ากี่ปีมานี้ หลายปีก่อนมีอยู่คนหนึ่ง เขารับปากว่าจะช่วยข้าออกไป แต่เขาก็ไม่มาปรากฏตัวนานมากแล้ว
“เล่าให้ข้าฟังหน่อยว่าตอนนี้เผ่ามนุษย์ด้านนอกเป็นอย่างไรบ้าง”
สวี่ชิงเงียบนิ่ง เขาสงสัยว่าคำพูดเหล่านี้เป็นความจริงมากน้อยเพียงใด แต่ตอนนี้จิตวิญญาณบาดเจ็บสาหัสเกินไป สวี่ชิงสัมผัสได้ถึงความอ่อนแอของตนเองแล้ว
นอกจากนี้ มีสาเหตุพิเศษอีกข้อที่ทำให้เขาไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม จึงฟื้นฟูอาการบาดเจ็บพลางแผ่พิษต้องห้ามของตนออกมาขณะที่นั่งสมาธิอยู่ที่เดิม
จากนั้นก็ค่อยๆ เอ่ยบอกเล่าประวัติศาสตร์โลกภายนอกที่ตนรู้ทั้งหมดออกมา บางครั้งที่อาการกำเริบ สวี่ชิงก็จะหยุดมาปรับสภาพ ดีขึ้นถึงเอ่ยต่อ แต่อันที่จริงความตึงเครียดและระแวดระวังในใจเขาก็พุ่งขึ้นถึงขีดสุดตลอดเวลา
เวลาก็ไหลผ่านไปเช่นนี้
หนึ่งวันต่อมา สวี่ชิงก็เล่าจบ
ดวงตาสีน้ำเงินในโลงศพฉายแววย้อนระลึกความทรงจำ มีเสียงพึมพำดังก้องอยู่เนิ่นนาน
“เผ่ามนุษย์ ตกต่ำลงถึงเพียงนี้…”
สวี่ชิงเงียบงัน
ครู่ต่อมา เสียงถอนหายใจแผ่วเบาเสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากโลงศพ ดวงตาสีน้ำเงินคู่นั้นมองมาที่สวี่ชิงอีกครั้ง
“เจ้าตัวน้อย เจ้าบาดเจ็บสาหัสนัก”
สวี่ชิงพยักหน้า ผลึกวารีสีม่วงฟื้นฟูร่างกายได้รวดเร็ว แต่อาการบาดเจ็บทางจิตวิญญาณกลับฟื้นฟูได้เชื่องช้า โดยเฉพาะตอนที่เผชิญหน้ากับตัวตนที่ไม่รู้จักตนนี้ สวี่ชิงจำเป็นต้องตั้งสมาธิทั้งหมด ไม่กล้าผ่อนคลายลงแม้เพียงน้อย
“เห็นแก่ที่เจ้าให้ข้าได้กินของที่ไม่เลว แล้วยังเล่าประวัติศาสตร์เผ่ามนุษย์ให้ข้าฟัง เจ้ามาหาข้า ข้าจะช่วยเจ้าเอง”
ในโลงศพส่งเสียงแหบพร่าออกมา
สวี่ชิงส่ายหน้า
“ขอบคุณความหวังดีของผู้อาวุโส สิ่งเหล่านี้ผู้เยาว์สมควรทำขอรับ”
ในโลงศพเงียบนิ่ง ดวงตาคู่นั้นจ้องมองสวี่ชิง ผ่านไปนับสิบอึดใจ ปราณหมอกสีขาววูบหนึ่งก็แผ่ออกมาจากในหุบเหวลึก ด้านในแฝงไว้ด้วยคลื่นพลังอายุขัยสวรรค์เข้มข้น
“เจ้าไม่จำเป็นต้องระวังข้าถึงเพียงนั้น สิ่งนี้เป็นสิ่งที่แผ่ออกมาจากร่างผู้รับใช้ชื่อหมู่ตนนั้น มอบให้เจ้า”
หลังจากสวี่ชิงสัมผัส สีหน้ายังเป็นปกติ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด เอ่ยเสียงแผ่วเบา
“ผู้อาวุโส ผู้เยาว์พูดจาปากไม่มีหูรูด โปรดอย่าได้ถือสา ข้าแค่อยากจะกล่าวกับท่านว่าข้าไม่อร่อยหรอกขอรับ”
พูดจบ สวี่ชิงก็แผ่พิษต้องห้ามออกมาทั่วร่างอีกครั้ง หลังจากควบคุมไว้ในบริเวณหนึ่ง เขาก็มองดวงตาคู่นั้น
“ผู้อาวุโส ผู้เยาว์อาจจะเข้าใจท่านผิด แต่ผู้เยาว์เพียงอยากบอกท่านว่า อันที่จริงพวกเราล้วนมีจิตปฏิปักษ์กับชื่อหมู่ แม้ข้าจะจิตวิญญาณบาดเจ็บ แต่ยังสามารถควบคุมผนึกต้องห้ามของที่นี่ได้”
สวี่ชิงเอ่ยอย่างนอบน้อม เมื่อโบกมือ ตาข่ายสีแดงก็ปรากฏขึ้นรอบด้าน เปล่งประกายในหินหนืด
“เพราะฉะนั้น ท่านปล่อยข้าไปเถิดขอรับ”
“ข้าไม่ได้ขังเจ้า เจ้าอยู่ด้านนอกโลงศพก็ออกไปได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว” เสียงในโลงศพราบเรียบ
“ผู้อาวุโส” สวี่ชิงสีหน้าจริงจัง เอ่ยทีละคำ
“ข้าไม่ได้อยู่นอกโลงศพเลย ร่างของข้าอยู่ในโลงศพ ขยับเพียงก้าวเดียวก็เดินเข้าไปในปากของท่านแล้ว ท่านเปลี่ยนแปลงการรับรู้ของข้า ข้าทราบดี
“แต่ข้า ไม่อร่อยจริงๆ ขอรับ”
ขณะเดียวกัน ด้านนอกทะเลเพลิงสวรรค์ แดนศักดิ์สิทธิ์ในความร่วมมือของสองเผ่าเงาคันฉ่องและผืนนภา ในเมืองใหญ่โตที่ดูคล้ายกับรังนกรังหนึ่งฝืนประคองรับเพลิงสวรรค์ผ่านท้องฟ้าจนผ่านพ้นไปแห่งนี้
และตอนนี้ กลางท้องฟ้าแดนศักดิ์สิทธิ์มีหัวใจขนาดยักษ์ดวงหนึ่งลอยอยู่ ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดบนนั้นเปล่งแสงสีแดงพิลึกออกมา
ส่วนรอบๆ ก็มีอุกกาบาตสีม่วงแดงอีกนับสิบ แผ่แรงกดดันออกมาเข้มข้น
เบื้องล่างพวกเขา คือระดับสูงทั้งหมดของความร่วมมือระหว่างสองเผ่า ไม่ว่าจะราชครูหรือเจ้ารัฐก็ปรากฏตัวทุกคน คุกเข่าคารวะอย่างนอบน้อมอยู่ตรงนั้น
ไม่ใช่แค่พวกเขาที่คุกเข่า ผู้คนจากทั้งสองเผ่าในเมืองทุกคนล้วนทำเช่นเดียวกัน
ผ่านไปเนิ่นนาน ในตำหนักเทพก็ส่งเสียงครางต่ำออกมา
“วันเซ่นสังเวยของพวกเจ้าคือสี่สิบเก้าวันหลังจากนี้ ครั้งนี้นอกจากผลึกเพลิงสวรรค์แล้ว ยังต้องการอาหารสดอีกห้าแสน”
เสียงสะท้อนก้อง ตำหนักเทพที่อยู่บนหัวใจเต้นช้าๆ ออกไปจากที่แห่งนี้
พวกเขาจะลอยไปยังใจกลางทางตะวันออกของแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราเพื่อเฝ้ารอวันที่เผ่าต่างๆ ทางตะวันออกถวายเครื่องเซ่นสังเวยตามที่วันกำหนดไว้ ซึ่งข้อกำหนดของแต่ละชนเผ่าแตกต่างกัน
บรรพจารย์ทั้งสองเผ่ารวมถึงราชครู คารวะส่งอย่างนอบน้อม จนกระทั่งตำหนักเทพหายไปจากเส้นขอบฟ้า เจ้ารัฐสองชนเผ่าถึงกล้าลุกขึ้นยืน มองหน้ากัน
“จำนวนอาหารสด มากกว่าเดิมห้าเท่า…
“หากทำไม่สำเร็จ คงเป็นเผ่าพวกเราที่ถูกนำไปทดแทน”
ทั้งสองเงียบนิ่ง ครู่ต่อมาดวงตาเจ้ารัฐเผ่าผืนนภาก็เปล่งประกายเย็นยะเยือก
“สถานที่ปกป้องเผ่ามนุษย์นั่น หลายปีนี้ที่พวกเราทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น น่าจะรวบรวมอาหารสดไว้ไม่น้อย…
“เลี้ยงไว้ตั้งนานสองนาน ได้เวลาเก็บเกี่ยวเสียที”