ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 561 ตะวันขึ้นจันทรายังไม่ลาลับ จักรพรรดิหวนคืนสู่แม่น้ำดวงดารา
- Home
- ผู้กล้าเหนือกาลเวลา
- บทที่ 561 ตะวันขึ้นจันทรายังไม่ลาลับ จักรพรรดิหวนคืนสู่แม่น้ำดวงดารา
บทที่ 561 ตะวันขึ้นจันทรายังไม่ลาลับ จักรพรรดิหวนคืนสู่แม่น้ำดวงดารา
………………..
ใต้ทะเลเพลิงสวรรค์ โลงศพสัมฤทธิ์ขนาดยักษ์เงียบงันไป
ผนึกต้องห้ามพระจันทร์สีชาดกำลังเปล่งแสง หินหนืดรอบด้านเปล่งประกายสีแดงไปทั้งแปดทิศ ราวกับหลั่งไหลไปตามคลื่นพลังผนึกต้องห้าม
ส่วนตำแหน่งที่สวี่ชิงอยู่ ไม่ใช่ด้านนอกโลงศพ จุดที่ร่างของเขาขัดสมาธิอยู่ คือขอบหุบเหวลึกรอยแยกขนาดยักษ์ หลังหันให้โลกภายนอก หันหน้าเข้าหาหุบเหวลึก
ร่างกายกว่าครึ่งอยู่ในรอยแยกโลงศพ ส่วนเบื้องหน้าเขามีดวงตาสีน้ำเงินคู่หนึ่ง กำลังจ้องมองเขา และมีปากขนาดยักษ์อ้าอยู่ ราวกับหุบเหวลึก
ระยะห่างใกล้มาก เหมือนสวี่ชิงแค่ลุกขึ้นยืนเดินไปหนึ่งก้าว ก็จะเดินเข้าไปในปากยักษ์นั่นด้วยตัวเอง
ตอนนี้ สวี่ชิงเงยหน้ามองดวงตาสีน้ำเงินตรงหน้า เอ่ยเสียงแผ่วเบา
“ผู้อาวุโส ข้าไม่อร่อยจริงๆ ขอรับ”
ร่างของสวี่ชิงปกคลุมด้วยพิษต้องห้าม ยิ่งแผ่ซ่านต่อเนื่อง ดวงตาฉายแววจริงใจ ทำหน้าจริงจัง
แม้ว่าในสัมผัสรับรู้ของเขา ตอนนี้อยู่ด้านนอกโลงศพ อยู่ห่างจากร่องแยกหุบเหวลึกไกลยิ่งและปลอดภัยมาก สามารถลุกขึ้นหนีและไปได้ตลอดเวลา
“น่าสนใจ เจ้ารู้ตัวตั้งแต่เมื่อใด”
ผ่านไปเนิ่นนาน เสียงมากประสบการณ์ดังก้องออกมาจากปากใหญ่นั้น ลมที่โหมขึ้นมามีกลิ่นเหม็นคาว ปกคลุมร่างสวี่ชิง แต่ในสัมผัสรับรู้ของสวี่ชิง ทั้งหมดยังเป็นปกติ
สวี่ชิงถอนหายใจ
“ตอนที่ผู้อาวุโสเปลี่ยนแปลงสัมผัสรับรู้ของข้า พริบตาที่ทำให้ข้าคิดว่าออกไปจากที่นี่แต่อันที่จริงกลับเดินมาที่นี่ ข้าก็สัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลแล้วขอรับ”
“ดังนั้น จุดที่เจ้านั่งขัดสมาธิ คือห่างจากข้าเพียงก้าวเดียวเช่นนั้นหรือ” เสียงแหบพร่าดังออกมาพร้อมความแปลกประหลาด
“อีกก้าวเดียว ท่านผู้อาวุโสก็จะติดพิษแล้ว” สวี่ชิงเอ่ยราบเรียบ
สวี่ชิงก็ไม่กล่าวอันใดอีก
ครู่ต่อมา จู่ๆ โลงศพก็ส่งเสียงออกมา
“เจ้าหนู ด้วยอำนาจชื่อหมู่ที่เจ้าช่วงชิงมา นอกจากการควบคุมผนึกต้องห้ามนี้ได้ระดับหนึ่ง ยังสามารถสูดรับได้ด้วยใช่หรือไม่”
สวี่ชิงก้มหน้า วิเคราะห์ในใจอย่างรวดเร็ว เขาไม่มั่นใจกับความนัยแท้จริงที่อีกฝ่ายจะสื่อ สิ่งที่เขารู้สึกได้ทั้งดูคล้ายจะแสดงคุณค่าให้ตนเห็น และคล้ายจะใช้สิ่งนี้เย้ายวนใจ ให้ตนช่วยเขาลดทอนพลังสะกดของผนึกต้องห้าม
รายละเอียดเป็นเช่นไร ยังวิเคราะไม่ได้
ก้าวผิดเพียงก้าวเดียว ก็อาจทำให้หวนคืนกลับมาไม่ได้ตลอดกาล
เมื่อเป็นเช่นนี้ สวี่ชิงจึงไม่ตัดสินไปก่อนล่วงหน้า เขาเอ่ยอย่างนอบน้อม กล่าวความสงสัยในใจออกมา
หลายครั้งการพูดตรงๆ ไม่ได้หมายถึงว่าตนทำไม่ได้ แต่แค่ต้องการเหตุและผลที่จะทำอย่างสบายใจ
ตัวตนในโลงศพเงียบนิ่ง ครู่ต่อมาก็ส่งเสียงหัวเราะ
“เจ้าตัวน้อยอย่างเจ้าน่าสนใจกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก และรอบคอบมากกว่าคนแรกที่ข้าเคยพบตอนนั้น
“ช่างเถิด หลังจากเจ้าออกไปแล้วก็แสดงให้ข้าดูเสียหน่อย”
สวี่ชิงได้ยินก็ลุกขึ้นยืน ครุ่นคิดเงียบๆ ครู่หนึ่ง หลังจากคารวะไปเบื้องหน้า เขาก็ไม่ลังเลอีก ก้าวไปทางด้านซ้ายตามสัมผัสรับรู้ของตน
เมื่อก้าวไป เขาที่อยู่ในรอยแยก ไม่ได้ไปทางซ้าย แต่เป็นด้านหลัง
ภาพนี้ประจักษ์แก่สายตาด้านในโลงศพ ตัวตนลึกลับนี้ ในดวงตาปรากฏระลอกคลื่นเล็กน้อย
สวี่ชิงก้าวทีละก้าวออกจากรอยแยกหุบเหวลึกเช่นนี้ และพริบตาที่ก้าวออกไป ดวงตาเขาก็เลือนราง ครู่ต่อมาสัมผัสรับรู้ก็กลับมาเป็นปกติ เขาเห็นตัวเองอยู่ด้านนอกด้วยตาตนเองแล้ว
ความพรั่นพรึงในใจที่โหมขึ้นก็ถูกเขาสะกดลงไป เขารู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ดี กล่าวได้ว่าเป็นเส้นแบ่งระหว่างความเป็นความตาย หากจัดการไม่เหมาะสมเพียงเล็กน้อยก็ไม่มีหนทางให้หันกลับมาแล้ว
ส่วนตัวตนในโลงศพ มีทั้งพูดจริงและพูดเท็จ ก่อนหน้านี้แม้จะยอมให้เขาจากไป แต่สวี่ชิงก็รู้ดีว่านี่เป็นการพิสูจน์ว่าตนสามารถทำลายหมอกลวงตาในสัมผัสรับรู้ได้หรือไม่ เดินออกไปบนเส้นทางที่แท้จริง
แม้ว่าตอนนี้ วิกฤตจะยังไม่ได้คลี่คลายทั้งหมด
ชิงจึงยกมือขึ้น คว้าไปทางด้านบน ฉับพลันผนึกต้องห้ามพระจันทร์สีชาดรอบๆ ก็หวีดหวิว รวมอยู่กลางฝ่ามือสวี่ชิง ค่อยๆ กลายเป็นแสงสีแดงเจิดจ้าแสบตา เหมือนถูกสวี่ชิงกุมไว้ในมือ
ไม่นานนัก สวี่ชิงก็หยุดควบคุม ภายใต้การสูดรับของปราณก่อกำเนิดพระจันทร์สีม่วงในร่างกาย แสงสีแดงในมือเขาก็พลันหม่นหมองลง กลายเป็นเส้นใยหลายสายผสานเข้าไปในกาย ผสานเข้าไปในพระจันทร์สีม่วง
ปราณก่อกำเนิดพระจันทร์สีม่วงส่องสว่างขึ้นพลัน ใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
สวี่ชิงสามารถสูดรับพลังผนึกต้องห้ามได้
เพียงแต่เขาสูดรับได้ไม่มากนัก ครู่ต่อมา สวี่ชิงก็เอ่ยด้วยเสียงต่ำทุ้ม
“ผู้อาวุโส ผู้เยาว์ถึงขีดจำกัดแล้วขอรับ”
ในโลงศพส่งเสียงหัวเราะออกมา
“ทำไม่ได้ หรือว่าไม่กล้า”
“ทำไม่ได้ขอรับ” สวี่ชิงเอ่ยตอบอย่างจริงจัง
ดวงตาทั้งสองในโลงศพ มองสวี่ชิงอย่างล้ำลึก พ่นกลิ่นอายออกมาวูบหนึ่ง
กลิ่นอายนี้เต็มไปด้วยอายุขัยสวรรค์ มาจากหญิงสาวชุดแดงที่ถูกเขากลืนกินไปคนนั้น ตอนที่แผ่มาถึงสวี่ชิง ก็กลายเป็นผลไม้สีขาวผลหนึ่ง
“เจ้าตัวน้อย ข้าต้องการให้เจ้าช่วยเรื่องหนึ่ง อายุขัยสวรรค์นี้ ถือเป็นค่าตอบแทนให้เจ้าล่วงหน้า”
สวี่ชิงเงียบนิ่งไปหลายอึดใจ รับมันมา
“ท่านผู้อาวุโสโปรดรับสั่งมาเถิดขอรับ”
“ตอนนี้ยังไม่ต้อง หลังจากนี้ข้าจะบอกเจ้าอีกครั้ง”
เสียงในรอยแยกมีความหมายล้ำลึก ดวงตาสีน้ำเงินคู่นั้นค่อยๆ ปิดลงช้าๆ ในตอนนี้
ทุกอย่างกลับสู่สภาพเดิม
สวี่ชิงอดทนกับความรู้สึกไม่สบายใจ ถอยหลังออกมาอีกครั้ง จนออกจากอาณาบริเวณนี้ได้ เขาก็เหงื่อท่วมไปทั้งตัว ถอนหายใจยาวออกมา
ในร่างกายเขา ที่ติงหนึ่งสามสอง ก็มีเสียงถอนหายใจโล่งออกมาเช่นกัน ดังก้องอยู่ในใขเขา
นั่นคือนิ้วเทพเจ้า
“ตกอกตกใจหมด!”
“เจ้าๆๆ…เจ้าทำตัวสงบเสงี่ยมหน่อยได้หรือไม่” ในติงหนึ่งสามสอง นิ้วเทพเจ้าส่งเสียงคับแค้นใจออกมาอย่างจนปัญญา
“อย่าทำให้ข้าต้องมาโดนตัวตนที่น่ากลัวเช่นนี้ปลุกให้ตื่นทุกครั้งได้หรือไม่”
สวี่ชิงระลึกย้อนไปทีละฉาก ความพรั่นพรึงที่ยังคั่งค้างในใจก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง
สาเหตุที่เขารับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของอีกฝ่ายได้ เพราะนิ้วเทพเจ้าถูกกระตุ้นให้ตื่นขึ้นมาเมื่อครู่ กรีดร้องในสมองเขา ยับยั้งฝีเท้าของสวี่ชิงไว้
และการออกมาภายหลัง ก็เป็นอีกฝ่ายที่บอกกล่าว สวี่ชิงจึงเดินออกจากรอยแยกได้อย่างราบรื่น
“จิตวิญญาณของเจ้าอ่อนแอเกินไป หากยังหาวิธีพัฒนาไม่ได้ เช่นนั้นวิเคราะห์จากสถานการณ์ที่เจ้ารนหาที่ตาย ไม่ช้าก็เร็ว สักวันเจ้าจะตายเช่นไรก็ไม่มีใครรู้!”
นิ้วเทพเจ้าโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง
สวี่ชิงพยักหน้า ตอบกลับในใจ
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ลงมือช่วยเหลือ ไม่ทราบว่าท่านมีวิธียกระดับจิตวิญญาณบ้างหรือไม่ขอรับ”
“ถ้าข้ามี ข้าก็ไม่ใช่แยกร่างแล้ว!”
นิ้วเทพเจ้าตวามออกมาอย่างหนักแน่น ความคับข้องใจของเขาเพิ่มมากขึ้นจากการถูกทำให้ตกใจเมื่อครู่ จึงตวาดออกมาต่อ
“หิวแล้ว ข้าหิวแล้ว!”
“ข้าทราบแล้ว จะไปหาอะไรให้ท่านกิน” สวี่ชิงไม่ได้สนใจท่าทีของนิ้วเทพเจ้า ปลอบประโลมอย่างอ่อนโยนไปรอบหนึ่ง
ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็ถูกตนขังไว้ในฐานะนักโทษ แต่ก็ยังช่วยเหลือ เช่นนั้นการจะมีความรู้สึกให้บ้างก็เป็นเรื่องปกติ
“ข้าจะกินแบบเป็นๆ!”
“ขอรับ”
“เข้าใจแล้วขอรับ”
“ข้าจะกิน…”
“ขอรับๆๆ หาให้ท่านหมดเลย” สวี่ชิงเอ่ยเสียงนุ่มนวล
เห็นสวี่ชิงให้ความร่วมมือเช่นนี้ นิ้วเทพเจ้ารู้สึกว่าถูกหลอก แอบบ่นว่าเจ้าเด็กคนนี้ไม่ใช่คนดี หลังจากนี้ตนจะไม่สนใจเขาแล้ว!
สวี่ชิงก็ออกจากพื้นที่ที่โลงศพสัมฤทธิ์ตั้งอยู่เช่นนี้ ตอนที่พุ่งทะยานอยู่ในหินหนืด เขาก็กำลังทบทวนประสบการณ์ครั้งนี้ไปด้วย
‘เขาบอกว่านอกจากตำหนักเทพพระจันทร์สีชาด ข้าเป็นคนที่ปรากฏต่อหน้าเขาเป็นคนที่สอง แล้วคนแรกคือผู้ใด’
สวี่ชิงไม่รู้เพราะอะไร ผู้ที่นึกถึงคนแรกในสมองถึงเป็นศิษย์พี่ใหญ่ในชาติที่แล้ว
ความสงสัยนี้ไม่มีหลักฐาน เป็นเพียงสัญชาตญาณ
‘แล้วก็ประโยคสุดท้ายของตัวตนนั่น…’ สวี่ชิงครุ่นคิด ความนับที่แฝงอยู่ในคำพูดของอีกฝ่ายมากมายนัก ส่วนรายละเอียด สวี่ชิงยังคาดเดาไม่ได้
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ล้วงอายุขัยสวรรค์ที่อีกฝ่ายมอบให้ ถือไว้ในมือแล้วตรวจสอบอย่างละเอียดรอบหนึ่ง มั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดปกติ แต่กลับยังไม่วางใจ จึงถามนิ้วเทพเจ้า
นิ้วเทพคร้านจะสนใจ
สีหน้าสวี่ชิงเป็นปกติ เอ่ยอย่างสงบนิ่ง
“ผู้อาวุโส ท่านช่วยข้าดูหน่อยว่าสิ่งนี้มีอะไรผิดปกติหรือไม่ ข้ากังวลว่าตัวตนในโลงศพนั่นจะไม่ปล่อยวางร่างกายของท่าน”
นิ้วเทพเจ้าแผ่ประสาทสัมผัสเทพออกมาทันที ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับร่างกายตน องค์ท่านตั้งใจเป็นอย่างมาก
ครู่ต่อมา ก็ยืนยันได้แล้วว่าไม่มีปัญหา
สวี่ชิงถึงได้วางใจ บีบอย่างแรง ผสานอายุขัยสวรรค์เข้าไปในร่างกาย
พริบตาต่อมาร่างกายเขาก็สั่นเทิ้ม อายุขัยสวรรค์กลุ่มนี้ระดับความเข้มข้นเพียงพอ ปราณก่อกำเนิดทั้งหมดของสวี่ชิงก็สูดรับในพริบตา นำไปบำรุงแต่ละส่วน เข้าใกล้หนึ่งทัณฑ์ขั้นบริบูรณ์เรื่อยๆ
ก่อนหน้านี้ปราณก่อกำเนิดของเขามีเพียงปราณก่อกำเนิดของวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณที่เป็นหนึ่งทัณฑ์ขั้นบริบูรณ์ ถัดมาคือปราณก่อกำเนิดพระจันทร์สีม่วงที่ใกล้จะถึงแล้ว ส่วนจุดอื่น ล้วนอยู่ในหนึ่งทัณฑ์ช่วงต้น
หลังจากสังเกตอยู่ครู่หนึ่ง สวี่ชิงก็สูดลมหายใจลึก ไปด้านหน้าพลางกระตุ้นผลึกวารีสีม่วงมารักษาจิตวิญญาณ
เวลาก็ไหลผ่านไปเช่นนี้
และขณะที่สวี่ชิงฝึกบำเพ็ญรักษาอาการบาดเจ็บ ด้านตะวันออกของแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา กลางอากาศที่อยู่ห่างจากพื้นที่ความร่วมมือสองเผ่า หัวใจที่ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดตั้งอยู่ก็กำลังเคลื่อนที่หวีดหวิวไปเบื้องหน้า
ร่างบนอุกกาบาตรอบๆ เป็นปกติ ยังคงไม่ขยับเขยื้อน แต่บนตำหนักเทพของหัวใจ มีร่างหนึ่งเดินออกมาจากในตำหนักใหญ่ ยืนอยู่เบื้องหน้ารูปปั้นชื่อหมู่
ร่างเงานี้เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง สวมชุดคลุมสีแดงทั้งตัว
เวลานี้นางมองท้องฟ้า สีหน้าแฝงอารมณ์ทอดถอนใจและคร่ำครวญ ราวกับไม่ได้เห็นท้องฟ้ามานานแล้ว
ครู่ต่อมา นางก้มหน้ามองรูปปั้น สีหน้าเหมือนคลั่งไคล้ศรัทธา แต่ส่วนลึกในดวงตากลบฉายแววอาฆาตแค้นวูบหนึ่งพาดผ่าน
หากสวี่ชิงอยู่ที่นี่ พริบตาที่เห็นหญิงสาวคนนี้ เขาจะต้องใจสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่งเป็นแน่ จำตัวตนของนางได้
หญิงสาวตนนี้ คือผู้รับใช้เทวะที่เขาผลักลงไปในรอยแยกหุบเหวลึกจนถูกตัวตนน่ากลัวในโลงศพสัมฤทธิ์กลืนกินไปตนนั้น!
นางตายไปแล้วแน่ๆ แต่กลับปรากฏตัวที่นี่เป็นปกติ
“ชื่อหมู่ สัมผัสรับรู้ของท่านมีปัญหา สัมผัสตัวข้าที่หลุดรอดออกมาไม่ได้เลย ต่อให้เป็นแค่ร่างแยกร่างหนึ่งของข้า แต่ถ้าตามปกติ ท่านจะต้องจับได้แน่นอน…” หญิงสาวชุดแดงจ้องไปที่รูปปั้นเขม็ง
“แล้วก็เจ้าเด็กคนนั้น น่าสนใจ น่าสนใจมากๆ ต้องขอบคุณเขา ข้าจึงสามารถกลืนกินผู้รับใช้เทวะตนหนึ่ง จนฟื้นคืนความสามารถส่วนหนึ่งกลับมาได้”
หญิงสาวชุดแดงยิ้ม ในดวงตาเปล่งแสงสีน้ำเงิน
แสงนี้ เป็นแบบเดียวกับดวงตาสีน้ำเงินของโลงศพสัมฤทธิ์ไม่ผิดเพี้ยน!
นาง ก็คือตัวตนในโลงศพสัมฤทธิ์นั่น!
ที่ถูกนางเปลี่ยนแปลงสัมผัสรับรู้ ไม่ได้มีแค่สวี่ชิง แต่ยังรวมถึงทูตเทวะที่มาตรวจสอบนั่นด้วย
ในสัมผัสรับรู้ของทูตเทวะตนนั้น สาเหตุที่ผู้รับใช้เทวะไม่ได้กลับมาตามเวลาที่นัดไว้ เพราะกำลังลิ้มรสอย่างละเมียดละไม เสพสุขกับการทารุณกรรม และหลังจากเขาลงไปก็พบเห็นอีกฝ่าย
ทุกอย่างเป็นปกติ หลังจากตำหนิก็พานางกลับมา
สิ่งไม่สมเหตุสมผลทั้งหมดในนี้ เขาล้วนคิดว่าเป็นสิ่งสมเหตุสมผลท่ามกลางการถูกเปลี่ยนแปลงสัมผัสรับรู้