ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 563 ห่านป่าบินไกลสุดหล้า อนิจจาบินไม่พ้นเงาแสงจันทร์ (1)
บทที่ 563 ห่านป่าบินไกลสุดหล้า อนิจจาบินไม่พ้นเงาแสงจันทร์ (1)
แสงเพลิงของทะเลเพลิงสวรรค์ สาดส่องท้องฟ้า มองจากไกลๆ แดงเถือกไปทั้งแถบ แม้จะไม่เหมือนเลือด แต่ก็ทำให้คนรู้สึกไม่เป็นมงคล
ส่วนท้องฟ้านอกทะเพลิงสวรรค์ ยิ่งห่างออกไปมากเท่าไร แสงเพลิงยิ่งอ่อนแรง จวบจนถูกความมืดกลืนกินเสี้ยวแสงที่เหลือ ฟ้าดินแปรเปลี่ยนเป็นแสงสลัวไปทั้งผืน เป็นสีเดียวกับรอยเลือดบนพื้นที่หยดมาตามกรงเหล็ก
ทุกที่ที่ขบวนรถเคลื่อนผ่าน รอยเลือดเช่นนี้ปรากฏไปตลอดทาง
และสมาชิกทั้งสองเผ่าในหมู่บ้าน ในตำบลที่เห็นทุกอย่างนี้ แต่ละคนใบหน้าล้วนฉายความละโมบ เลียริมฝีปาก ทอดสายตามองขบวนรถ
สำหรับพวกเขาแล้ว เครื่องเซ่นมนุษย์ที่ถูกขังอยู่ในกรงเหล็กเป็นอาหารอันโอชะ ขณะเดียวกันในช่วงเวลาสำคัญก็สามารถใช้มาเป็นอาหารสดๆ ส่งให้กับตำหนักเทพ ใช้พวกเขาแลกมาซึ่งความสงบสุขของทั้งสองเผ่าต่อไป
นับแต่โบราณกาลมา เรื่องแบบนี้มีมากมายเหลือจะนับ
ไม่ใช่แค่เผ่ามนุษย์ที่เป็นเช่นนี้ ในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราผืนนี้ เผ่าชั้นล่างทั้งหมด ชะตาชีวิตของพวกเขาล้วนเป็นเช่นนี้ หากไม่เป็นอาหารของเผ่าอื่น ก็กลายเป็นเครื่องเซ่นไหว้
ปลาใหญ่กินปลาเล็ก บนแผ่นดินแห่งนี้แสดงออกมาให้เป็นได้ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง
เพียงแต่ในหลายๆ ครั้ง ผู้แข็งแกร่งในสายตาของผู้ที่แข็งแกร่งกว่าก็เป็นผู้อ่อนแอที่เอามากินได้เช่นกัน ไม่มีเผ่าพันธุ์ใดสามารถเป็นเจตจำนงอันสูงส่งสูงสุดได้
ต่อให้เป็นตำหนักเทพก็เช่นกัน
นี่อาจจะเป็นท่วงทำนองแห่งฟ้าดินที่ชะตากรรมบรรเลงออกมาก็เป็นได้
เหมือนเช่นตอนนี้ ลมกำลังส่งเสียงหวีดหวิว มาพร้อมด้วยคลื่นความร้อนพัดผ่านแผ่นดิน ผ่านท้องฟ้า ทำให้ม่านฟ้าเกิดเป็นระลอกคลื่นเป็นชั้นๆ ที่มองไม่เห็น พัดแผ่นดินจนเกิดฝุ่นธุลีเพลิงสวรรค์ราวพายุทราย
ขณะที่ลอยตลบไปทั่วทุกทิศ ในนั้นมีจิตสังหารที่ค่อยๆ เข้มข้นขึ้นกลุ่มหนึ่ง แปรเปลี่ยนเป็นทูตแห่งความตาย แบกเคียวสังหารอำมหิต กำลังปะทุ กำลังทะยานไปอย่างรวดเร็ว กำลังมาถึง!
และต้นกำเนิดจิตสังการกลุ่มนี้มาจากสวี่ชิง!
สวี่ชิงเงียบนิ่งมาตลอดทาง ในดวงตาแฝงด้วยจิตสังหารมหาศาล ความร้อนในอากาศยากจะหลอมละลายความเย็นยะเยือกของเขาได้แม้เพียงเล็กน้อย ความอบอุ่นบนผืนแผ่นดินไม่สามารถท่วมจมจิตสังหารของเขาได้
ภายใต้การชี้นำของหลิงเอ๋อร์ เขามุ่งหน้าไปทางใต้ สำแดงความเร็วทั้งหมด พลังตะเกียงแห่งชีวิตแผ่ซ่านไปทั้งร่าง พลังบำเพ็ญเพิ่มพลังทั้งหมด แลกมาซึ่งความเร็วสูงสุด
ความเร็วเช่นนี้เร็วกว่าขบวนรถ และรอยเลือดบนพื้นก็ทำให้สวี่ชิงรู้ว่าทิศทางของตนนั้นไม่ผิดแน่
‘เป็นทางเส้นนี้!’
สวี่ชิงพึมพำในใจ ความเร็วเร็วยิ่งกว่าเดิม
มาถึงตอนนี้ เขาไม่ต้องให้หลิงเอ๋อร์ชี้ทางต่อแล้ว ไปตามรอบเลือดบนพื้น สวี่ชิงเคลื่อนไปอย่างรวดเร็วในฟ้าดิน เกิดเป็นลมพายุหอบม้วนไปทั่วทุกทิศ ใกล้กับเป้าหมายเข้ามาเรื่อยๆ
ห้าพันลี้ สามพันลี้ หนึ่งพันลี้ ห้าร้อยลี้…
สี่วันนี้ ในการไล่ตาม ระยะทางที่เดินทางมาไม่ใช่แค่หมื่นลี้ และในยามพลบค่ำของวันที่สี่ ลมพายุแปรเปลี่ยนเป็นเสียงดังกึกก้องท่วมฟ้า ดังมายังขบวนรถที่เคลื่อนไปข้างหน้า
ผู้บำเพ็ญทั้งสองเผ่าที่รับผิดชอบขนย้ายจำนวนหลายร้อย เสียงดังสะท้อนของลมพายุดึงความสนใจของพวกเขาทันที
สิ่งที่เห็นในสายตา ที่ท้องฟ้าไกล สายฟ้าทางหนึ่งฟาดผ่าสนั่นหวั่นไหว
“เกิดอะไรขึ้น!”
สัตว์ยักษ์ในขบวนรถต่างตื่นตระหนก แสดงความแตกตื่นออกมา ผู้บำเพ็ญทั้งสองเผ่าบนนั้นต่างผุดลุกขึ้น ในยามที่สีหน้าฉายแววตื่นตกใจสงสัย ฟ้าดินเปลี่ยนสี เงาร่างของสวี่ชิงปรากฏบนท้องฟ้า
ในที่สุดเขาก็ไล่ตามทัน!
แต่ในพริบตาที่เห็นขบวนรถบนพื้น ในใจของสวี่ชิงก็ส่งความเจ็บปวดมหาศาลมา
เขาเห็นขบวนรถ เห็นกรงมหึมาสิบกรงนั่น
และเห็นในกรง เผ่ามนุษย์นับไม่ถ้วนที่เป็นเหมือนปศุสัตว์ถูกบังคับให้เบียดอัดอยู่ด้วยกัน
ความเฉยชาของพวกเขา ความเจ็บปวดของพวกเขา และยังมีกลิ่นเหม็นเน่าและกลิ่นอายความตายที่ลอยตลบในนั้น ทำให้สวี่ชิงดวงตาแดงเล็กน้อย จิตสังหารเย็นยะเยือกบนร่างของเขาปะทุท่วมฟ้าอย่างไม่อาจควบคุมได้
เงาร่างของเขาแปรเปลี่ยนเป็นรุ้งเส้นยาว ภายใต้การพันล้อมจากสายฟ้านับไม่ถ้วน พุ่งตรงไปยังขบวนรถอย่างรวดเร็ว มาถึงในพริบตา
แผ่นดินสั่นคลอน เกิดดินโคลนลอยขึ้นมานับไม่ถ้วน ยิ่งมีสายฟ้าแผ่ซ่านไปทั่วทิศ
ขบวนรถหยุด สัตว์ยักษ์เหล่านั้นต่างสัมผัสได้ถึงจิตสังหารเย็นเยียบ ต่างเนื้อตัวสั่นเทา ส่วนผู้บำเพ็ญทั้งสองเผ่าบนนั้นต่างสีหน้าเปลี่ยนไป ทำการขัดขวางทันที
“ใครกัน!”
“บังอาจ กล้ามาขัดขวางพวกเราสองเผ่าความร่วมมืออย่างนั้นหรือ!”
“เป็นเผ่ามนุษย์หรือ”
ในยามที่ผู้บำเพ็ญทั้งสองเผ่าโมโหตกใจทะยานตัวออกไป สวี่ชิงที่ร่อนลงพื้นก็พลันเงยหน้า จิตสังหารในดวงตาน่าครั่นคร้าม ทั้งตัวพุ่งออกไป พุ่งตรงไปยังผู้บำเพ็ญเผ่าผืนนภาคนหนึ่งที่อยู่ข้างหน้า
ผู้บำเพ็ญเผ่าผืนนภาคนนี้หน้าเปลี่ยนสี สัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นพลังน่ากลัวที่มาจากร่างของสวี่ชิง คิดจะหลบหลีกแต่ก็ไม่ทันแล้ว สวี่ชิงเร็วมาก ใช้ความแข็งแกร่งกายเนื้อของตนกระแทกไปที่ร่างผู้บำเพ็ญคนนี้
เสียงบึ้มดังขึ้น ผู้บำเพ็ญเผ่าผืนนภาที่รูปร่างสูงใหญ่คนนี้หน้าอกมีรูขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น ถูกสวี่ชิงทะลุผ่านไปทั้งเป็นๆ ร่างของเขาสั่นสะท้านแหลกสลาย
สวี่ชิงไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น ขณะสะบัดมือแสงประกายอรุณแผ่ออก หลังจากแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงสิบทางก็ปกคลุมกรงขังทั้งหมด พลังพิษต้องห้ามในร่างเขาปะทุขึ้นเต็มกำลัง
รอบๆ บิดม้วนทันที ขณะเดียวกับที่ก่อกำเนิดไอพลังประหลาดมหาศาล เสียงร้องโหยหวนก็ดังตามขึ้นมา
ยิ่งมีบรรพจารย์สำนักวัชระคุ้มคลั่ง แปรเปลี่ยนเป็นสายฟ้าสีแดง สังหารไปยังคนทั้งหลาย
หลิงเอ๋อร์ก็กัดฟัน ในสายตามีความโหดเหี้ยมอย่างน้อยนักที่จะได้เห็น ลงมือตามเช่นกัน
แล้วยังมีเจ้าเงา มันสัมผัสได้ถึงความโกรธแค้นของสวี่ชิง และสัมผัสได้ถึงความเศร้าเสียใจของหลิงเอ๋อร์ นี่ทำให้มันโกรธเคืองตามไปด้วย มันแผ่ลามออกไปอย่างรวดเร็ว คุ้มครองอยู่รอบๆ หลิงเอ๋อร์ ลงมือให้นาง
แต่การลงมือของพวกเขาล้วนสู้ความอำมหิตของสวี่ชิงไม่ได้ สวี่ชิงรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง มือขวายกขึ้น กริชปรากฏ เพียงพริบตาก็เข้าประชิดผู้บำเพ็ญเผ่าเงาคันฉ่องคนหนึ่ง มือซ้ายกำเป็นหมัดแล้วชกออกไปเต็มแรง
เสียงบึ้มดังขึ้น ทำลายร่างกระจกของอีกฝ่ายแหลกละเอียด ท่ามกลางเศษกระจกแหลกลาญ หมัดของเขาทะลวงเข้าไปข้างใน พิษต้องห้ามแผ่ออก ทันใดนั้นเสียงร้องครวญครางโหยหวนก็ดังออกมา
สวี่ชิงร่างเพียงไหววูบ ร่างกระแทกไปยังร่างของเผ่าผืนนภาคนหนึ่งที่พุ่งมาจากข้างหลัง กริชในมือตวัดจากข้างล่างขึ้นบน ในยามที่เลือดสดๆ พุ่งกระฉูด สวี่ชิงก็พลิกมือกำกริชแล้วปาดไปที่คอของเขาอย่างเต็มแรง
ศีรษะกระเด็น
จากนั้นวิหคทองก็บินออกไปกลางท้องฟ้า แล้วพลันพ่นไปที่พื้น เพลิงสวรรค์ซัดลงมา ผู้บำเพ็ญทั้งสองเผ่าที่อยู่ท่ามกลางความตื่นกลัวคิดอยากจะหนีสองสามคน ส่งเสียงร้องน่าเวทนาออกมา ร่างถูกเผาทันที
สวี่ชิงใบหน้าไร้อารมณ์ ดวงตาแดงก่ำ ร่างเต็มไปด้วยเลือดสดๆ ลงมือต่อ เข้าไปใกล้ผู้บำเพ็ญเผ่าเงาคันฉ่องอีกคนหนึ่ง
ผู้บำเพ็ญคนนี้เป็นระดับปราณก่อกำเนิด ตอนนี้สีหน้าตกใจโมโห จิตสังหารบนร่างสวี่ชิงทำให้จิตใจของเขาถูกสยบกำราบ กำลังจะถอยหลังแต่กลับสายไปแล้ว สวี่ชิงความเร็วน่าตื่นตะลึง พุ่งทะยานออกไป
เสี้ยวขณะที่สัมผัส เผ่าเงาคันฉ่องระดับปราณก่อกำเนิดคนนี้ก็ประสานปางมือก่อเป็นอาวุธคมขึ้นมาทันที ยิ่งมีลูกไฟวิญญาณจำนวนหนึ่งพุ่งออกมา จับกลุ่มเป็นดอกไม้วิญญาณแปลกประหลาดชั่วร้าย ปกคลุมสวี่ชิงเอาไว้ ดูดกินพลังชีวิต
แต่สวี่ชิงไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลย
กายเนื้อของเขาแข็งแกร่ง ต่อให้ได้รับบาดเจ็บก็มีผลึกวารีสีม่วงฟื้นฟู ดังนั้น นอกเสียจากจะเจอกับผู้แข็งแกร่งที่เพียงการโจมตีครั้งเดียวก็ทำให้เขาไม่อาจทนรับได้ ไม่เช่นนั้นแล้ว การใช้อาการบาดเจ็บแลกมาซึ่งการสังหาร เดิมก็เป็นรูปแบบการลงมือมาโดยตลอดของเขา
ตอนนี้เพิ่งเข้ามาใกล้ ท่ามกลางเสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหว สวี่ชิงปล่อยให้เคล็ดวิชาของอีกฝ่ายซัดมาที่ร่างของตัวเอง ดวงตาของเขาฉายแววเหี้ยมเกรียม อ้าปากกลืนดอกไม้วิญญาณของอีกฝ่ายลงไป
พิษต้องห้ามในกายปะทุ ดับมันในพริบตา
กริชในมือแทงไปเต็มแรง ครั้งแล้วครั้งเล่า ผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดคนนั้นคิดจะดิ้นรน แต่กลับไร้ประโยชน์ ท่ามกลางเสียงร้องโหวหวนเวทนา เลือดสดๆ ในร่างสาดกระเซ็นออกมา
นี่ก็เป็นเวลาเพียงแค่เสี้ยวพริบตาเท่านั้น สวี่ชิงหลังจากที่ทำลายร่างสิงสถิตของอีกฝ่ายจนแหลก ก็ปาดคอของอีกฝ่าย ทำลายพลังชีวิต
จากนั้นก็โยนออกไป ทุ่มใส่ผู้บำเพ็ญสองเผ่าคนอื่นที่พุ่งมาข้างหลัง มือซ้ายประสานปางมือ กดไปข้างหน้า
ทันใดนั้น ข้างหลังมีร่างมารฟ้าจำนวนมากพุ่งออกไปหาอีกฝ่าย แล้วกัดกินฉีกทึ้งอย่างบ้าคลั่ง
ภาพแต่ละฉากทำให้ผู้บำเพ็ญสองเผ่าที่หลงเหลืออยู่รอบๆ แต่ละคนในใจล้วนตื่นกลัวจนถึงขีดสูงสุด มีคนเริ่มถอยหลัง คิดจะไปจากที่นี่
ผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ ตัวสั่น ต่างถอยหลังอย่างบ้าคลั่ง ในสายตาของพวกเขา สวี่ชิงราวกับทูตแห่งความตาย ผู้ใดที่สายตาของเขาจับจ้องไป ล้วนหมายถึงการมาเยือนของความตาย
โดยเฉพาะเสื้อผ้าของเขาทั้งร่างตอนนี้ล้วนกลายเป็นสีเลือด ภายใต้แสงเพลิงจากวิหคทอง แสงเลือดท่วมฟ้า จิตสังหารน่าหวาดกลัว
แม้ที่นี่จะมีผู้บำเพ็ญร้อยกว่าคน แต่ส่วนมากล้วนเป็นหลอมตันเถียนและสร้างฐาน ส่วนปราณก่อกำเนิดมีเพียงหกคนเท่านั้น
จะอย่างไรก็อยู่ในถิ่นตัวเอง ขนย้ายเครื่องเซ่นมนุษย์ธรรมดาพวกนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้ผู้แข็งแกร่งมากมาย ส่วนตวนมู่ฉางก็ถูกพวกราชครูจับตัวไปแล้ว ดังนั้น ในความคิดของพวกเขาไม่มีทางมีการช่วยเหลือเกิดขึ้นแน่
และไม่มีผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์เป็นคนที่สอง
ตัวตนของสวี่ชิง เผ่ามนุษย์ในเมืองแสนกว่าคน ไม่มีใครพูดออกไปแม้แต่คนเดียว
คุณธรรมน้ำใจของมนุษย์ ความรักเผ่าพันธุ์ ท่ามกลางความชั่วร้ายยิ่งแสดงออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด
และสำหรับสองเผ่าแล้ว เนื่องจากความระมัดระวังตัวของสวี่ชิง นับตั้งแต่แรกจนตอนนี้ ความจริงพวกเขาล้วนไม่รู้
นี่ทำให้ในยามที่พวกเขาเผชิญหน้ากับสวี่ชิงที่นี่ กลายเป็นสถานการณ์ที่ถูกสังหาร โดยเฉพาะพิษของสวี่ชิงน่ากลัวเป็นที่สุด ผู้บำเพ็ญระกับสร้างฐานของสองเผ่าทนไม่ได้ก่อน ส่งเสียงร้องโหยหวนน่าเวทนา ต่างพากันเน่าเปื่อย
ต่อให้เผ่าเงาคันฉ่องจะพิเศษ แต่ก็หนีไม่พ้นถูกพิษสังหาร
และการสังหารของสวี่ชิงก็ยังคงดำเนินต่อไป เพียงพุ่งตัวออกไป ก็เข้าไปใกล้ผู้บำเพ็ญปราณก่อกำเนิดเผ่าเงาคันฉ่องคนหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายปะทะเข้าด้วยกันทันที
เวลาเพียงสามอึดใจ ห้าอึดใจ ผู้บำเพ็ญเผ่าเงาคันฉ่องคนนี้ก็กระอักเลือด ศีรษะขาดกระเด็น ปราณในร่างระเบิด หนึ่งในนั้นยิ่งถูกสวี่ชิงกลืนลงไปเลย
เขาไม่มีเวลาถือเอาไว้ในมือแล้วหลอม
ส่วนอาการบาดเจ็บบนร่างสวี่ชิงไม่สนใจ ตอนนี้พลันหันหลัง จ้องมองรอบๆ
จากการออกฤทธิ์ของพิษต้องห้าม ผู้บำเพ็ญที่นี่ตายเป็นแถบ การสังหารของบรรพจารย์สำนักวัชระและเจ้าเงาก็ทำให้จำนวนการตายของผู้บำเพ็ญทั้งสองเผ่าเพิ่มขึ้น
ส่วนการลงมือของหลิงเอ๋อร์ สวี่ชิงก็เคยเห็นครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้วที่เกาะเงือก ดังนั้นเขารู้ดีว่าหลิงเอ๋อร์ภายนอกดูเหมือนอ่อนแอ แต่ความจริงแล้วรูปแบบมีแนวโน้มไปทางสู้ระยะประชิด
บนร่างหลิงเอ๋อร์มีชุดเกราะปรากฏขึ้น ท่ามกลางเงามายามังกรอสรพิษพันล้อม ก็มีทวนยาวเล่มหนึ่งอยู่ในมือนาง ร่างกายที่ทั้งๆ ที่ดูผอมอ่อนแอ แต่กลับปะทุกำลังรบออกมาจนน่าตกใจ
และการสังหารครั้งนี้ไม่ได้ดำเนินไปนานเท่าไร ไม่ทันถึงหนึ่งก้านธูป จากการตายอย่างน่าสลดสังเวชของผู้บำเพ็ญสองเผ่าไม่กี่คนสุดท้าย รอบๆ ก็เงียบสงบ
ต่อให้เป็นสัตว์ยักษ์ที่ลากกรงเล็กเหล่านั้นก็ต่างหัวขาดออกจากตัว ถูกบรรพจารย์สำนักวัชระสังหารระบายอารมณ์
หลังจากที่ทุกอย่างจบสิ้น หลิงเอ๋อร์น้ำตารินไหล บรรพจารย์สำนักวัชระโศกเศร้าโกรธแค้น พวกเขามองไปทางกรงเหล็กที่แสงประกายอรุณคุ้มครองเอาไว้
เผ่ามนุษย์ในกรงยังคงเฉยชา การทรมานหลายวันและการใช้วิชาของสองเผ่าทำให้การตระหนักรับรู้ของพวกเขาพังทลาย ต่อให้เห็นพวกสวี่ชิงในดวงตาก็ยังคงไร้ชีวิตชีวา
“พี่หลี่…ป้าเฉิน…” หลิงเอ๋อร์เดินไปข้างหน้ากรง มองเงาร่างข้างหน้า เสียงเจือด้วยเสียงสะอื้น