ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 564 ดาวพิฆาตผ่านตะวันทะลวงฟากฟ้า (1)
บทที่ 564 ดาวพิฆาตผ่านตะวันทะลวงฟากฟ้า (1)
ทะเลเพลิงสวรรค์ของแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ความเป็นเอกลักษณ์รวมถึงสภาพแวดล้อมที่ร้อนระอุของมัน ทำให้เผ่าที่ใช้ชีวิตที่นี่มีอยู่ไม่มากนัก
ในบรรดานี้มีเผ่าเงาคันฉ่องกับเผ่าผืนนภาเป็นเผ่าหลัก
และเพราะผลึกเพลิงสวรรค์ในทะเลเพลิงสวรรค์ เป็นหนึ่งในของเซ่นไหว้จำเป็นที่ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดกำหนดไว้ จึงเกิดการแย่งชิงกันระหว่างต่างเผ่าในทะเลเพลิงสวรรค์อยู่บ่อยครั้ง
เพื่อต่อต้านศัตรูจากภายนอก ทำให้ทั้งสองเผ่าต้องร่วมมือกัน จึงมีชื่อความร่วมมือขึ้นมา
และมีเมืองศักดิ์สิทธิ์ของทั้งสองเผ่าขึ้นแห่งหนึ่ง
เมืองนี้ตั้งตระหง่านบนผืนแผ่นดินมานับพันปี คอยปกป้องทั้งสองชนเผ่าจำนวนมหาศาลจากเพลิงสวรรค์ผ่านท้องฟ้าหลายต่อหลายครั้ง
ระหว่างนี้แม้จะมีพังทลายบ้าง แต่สุดท้ายก็ยังถูกก่อร่างสร้างขึ้นใหม่ ดังนั้นในสายตาของคนทั้งสองชนเผ่า เมืองแห่งนี้ มีความหมายลึกซึ้งยาวนาน
พวกเขาเข้าใจว่าการคงอยู่ของมันเป็นประจักษ์พยานให้กับประวัติศาสตร์ของความร่วมมือสองเผ่าในอดีต และจะเป็นประจักษ์พยานให้กับทั้งสองเผ่าต่อไปในอนาคต
แต่สำหรับเผ่าระดับล่างในบริเวณทะเลเพลิงสวรรค์แล้ว นี่เป็นเมืองแห่งความสิ้นหวัง ไม่ว่าจะเผ่ามนุษย์หรือว่าเผ่าที่ถูกล่าสังหารอื่นๆ ในใจพวกเขา ที่นี่เต็มไปด้วยความตาย เต็มไปด้วยความชั่วร้าย
กระทั่งว่าต่างเผ่าที่ตายในนี้ จำนวนยังมากกว่าที่บวงสรวงแก่ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดเสียอีก
ทั้งหมดนี้ เป็นเพราะความโหดร้ายป่าเถื่อนในกระดูกดำของทั้งสองเผ่า
ใช้ชีวิตอยู่ในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราที่ไร้ซึ่งความหวัง พวกเขาชอบที่จะมองเห็นสีหน้าของผู้คนที่แต่เดิมไม่มีความหวังอยู่แล้วสิ้นหวังขึ้นไปอีก
แทบจะมีเพียงเช่นนี้ ที่จะสามารถทำให้พวกเขาเกิดความรู้สึกที่เหนือกว่า จึงตามหาความเพลิดเพลินของชีวิต
ตอนนี้ แม้ในเมืองจะปกคลุมไปด้วยเสียงหัวเราะยินดี แต่ท่ามกลางเสียงหัวเราะนี้ ยังมีเสียงร้องไห้รวมถึงเสียงโหยหวนแทรกอยู่ด้วย
เสียงหวดแส้ เสียงตะคอก เสียงสังหาร ดังก้องอยู่ทั่วทุกมุมเมือง
ที่กลายเป็นอาหาร ไม่ได้มีเพียงเผ่ามนุษย์เท่านั้น
เพราะการเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่รอบนี้ เนื่องจากจำนวนที่ต้องบวงสรวงแด่ตำหนักพระจันทร์สีชาดเพียงพอแล้ว ส่วนเกินจึงกลายเป็นอาหารและของเล่นของทั้งสองเผ่า
เผ่าระดับล่างเหล่านี้ถูกคนจากสองเผ่าซื้อขายกันได้ตามใจชอบ อยู่ก็ไม่สู้ตาย ทนทุกข์ทรมาน ส่วนใหญ่ล้วนกำลังสาปแช่งขอแลกความตายของตนเองกับการล่มสลายของทั้งสองชนเผ่าขณะแบกรับความทุกข์ทรมานไม่จบสิ้น
และวันนี้ จากเสียงครืนครันกึกก้องที่ขอบฟ้า ก็มาถึงแล้ว
ตอนนี้เอง ในเมืองที่โหดเหี้ยม คนจากเผ่าทั้งสองที่กำลังเฉลิมฉลอง บางส่วนเสียงหัวเราะหยุดชะงัก เงยหน้ามองท้องฟ้าที่ไกลๆ อย่างประหลาดใจ
ที่ขอบฟ้า พายุทรายขนาดยักษ์กินพื้นที่กว้างนับร้อยลี้ กลายเป็นเงามืดขนาดใหญ่กำลังตรงเข้ามา
บดบังท้องฟ้าดวงตะวัน ปกคลุมท้องนภา อานุภาพน่าตกตะลึง
ไม่ได้มีเพียงขอบเขตกว้างใหญ่ไพศาล แต่ยังมีสายอัสนีนับไม่ถ้วนแล่นแปลบปลาบ เสียงสายฟ้าฟาดกึกก้องไปทั่วสารทิศ ผืนแผ่นดินล้วนถูกส่งผลกระทบ โหมพายุทรายไร้ขอบเขต หมุนวนไปรอบทิศอย่างต่อเนื่อง
ท้องฟ้ามืดมิดก็แปรเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวและเลือนราง ไอพลังประหลาดเข้มข้นตลบอบอวลไปทั้งสี่ทิศโดยมีต้นกำเนิดมาจากที่นั่น
มืดมิดไปหมด น่าหวาดผวาอย่างยิ่ง
ขณะที่เลือนรางยังมองเห็นว่าด้านในมีร่างขนาดยักษ์ร่างหนึ่ง
ร่างนี้อยู่ในชุดคลุมสีดำ กำลังแหวกอากาศหวิดหวิวเข้ามาดั่งทูตแห่งความตายได้ยินเสียงสาปแช่งของสรรพชีวิต จุติลงมายังโลกมนุษย์
ภาพนี้ ค่อยๆ ดึงดูดความสนใจผู้บำเพ็ญทั้งสองเผ่า ไม่นานนักก็เงียบงันไปทั้งเมือง
ส่วนราชครูเผ่าเงาคันฉ่องที่กำลังหลอมบูชาตวนมู่ฉางที่ลานกว้างก็เงยหน้ามองเช่นกัน ขณะที่มองไปยังขอบฟ้า คลื่นพลังประสาทสัมผัสเทพที่น่าครั่นคร้าม ก็ปะทุขึ้นจากร่างกายเขา
ทัณฑ์สวรรค์ครืนครันบนฟากฟ้า ร่างจำแลงขนาดเดียวกับหญิงชราชุดดำในพายุทรายร่างหนึ่ง ก็ยืนตระหง่านอยู่เหนือเมือง
“หยุด!”
เสียงเยือกเย็นมืดมนดังออกมาจากปากเขา เสียงสายอัสนีฟาดผ่าดังกึกก้องไร้ที่สิ้นสุด
ขณะเดียวกัน ประสาทสัมผัสเทพหลายสายก็แผ่ออกมาจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ เพ่งเล็งไปในพายุทราย
ในประสาทสัมผัสเทพเหล่านี้ ยังมีคลื่นพลังที่แข็งแกร่งเช่นเดียวกับราชครูอีกสามสาย จำแลงร่างที่น่าตกตะลึงขึ้นระหว่างฟ้าดินเช่นเดียวกัน จ้องไปยังพายุทรายอย่างเย็นชา
เงาร่างทั้งสี่นี้แผ่คลื่นพลังระดับสมบัติวิญญาณ แม้วิถีสวรรค์ยังไม่ก่อกำเนิด แต่แรงกดดันในช่วงหล่อเลี้ยงมรรคาดวงดาราเจิดจรัสยังสะกดไปรอบทิศ
ตวนมู่ฉางที่จะตายอยู่รอมร่อบนลานกว้าง มองไปยังฟากฟ้าขณะที่เจ็บปวดไปทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ
เขาเห็นพายุทรายกว้างใหญ่ไพศาลนั้นรวมถึงร่างเงาขนาดยักษ์ด้านใน ท่ามกลางความเลือนราง คล้ายจะเห็นว่าบนศีรษะของเงานั้น มีอีกร่างหนึ่งยืนอยู่
ร่างนี้ดูแล้วไม่ใช่เผ่ามนุษย์ แต่เป็นเผ่าฟ้าทมิฬ!
ผิวหนังสีเทา ศีรษะใหญ่โต มีหนามแหลมเต็มศีรษะ
ส่วนพายุทรายกว้างใหญ่นั้น เวลานี้ก็ค่อยๆ เข้าใกล้เมืองศักดิ์สิทธิ์ สุดท้ายขณะที่แรงกดดันโหมขึ้นในใจของทั้งสองเผ่าในเมืองศักดิ์สิทธิ์ มันก็หยุดที่ด้านนอกเมืองศักดิ์สิทธิ์ในระยะสิบลี้
ระยะห่างสิบลี้ ยังไม่สามารถหยดเสียงครืนครันที่มาจากพายุทราย และไม่สามารถสกัดกั้นพิษต้องห้ามที่แผ่ซ่านออกมาจากด้านในได้
ดังนั้นหมอกเบาบางที่คล้ายหมอกบดบังจันทรา ก็ลอยมาเหนือเมืองศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ค่ายกลป้องกันของเมืองศักดิ์สิทธิ์ ส่งเสียงฉ่าๆ ออกมา กำลังถูกกัดกร่อน
ยิ่งมีเสียงครืนครันสะท้อนก้อง สั่นสะเทือนจนหูแทบหนวก
“แสร้งเป็นเทพเป็นผี!”
เหนือเมืองศักดิ์สิทธิ์ ราชครูเผ่าเงาคันฉ่องคนนั้น ยกมือขวาขึ้นโบก
ฉับพลันหมอกที่ปกคลุมทั่วเมืองศักดิ์สิทธิ์ก็ทยอยม้วนกลับ แต่ไม่ได้สลายหายไปจนหมด และหลังจากฟุ้งกระจาย ก็กลับมารวมตัวใหม่
ภาพนี้ ทำให้ราชครูเผ่าเงาคันฉ่องรู้สึกหนักอึ้ง เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองออกไปสิบลี้
ในพายุทรายที่เกิดจากหมอกพิษต้องห้ามซึ่งอยู่ไกลออกไปสิบลี้เวลานี้ เรือกลวิญญาณหญิงชราค่อยๆ เดินออกมา เผยให้เห็นร่างของสวี่ชิงบนศีรษะนางระหว่างฟ้าดิน
สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ จ้องมองเมืองศักดิ์สิทธิ์สองชนเผ่าที่เหมือนกับรังนกเบื้องหน้าอย่างเย็นชา แผ่จิตเทพเข้าไปในติงหนึ่งสามสองในร่างกาย
“ท่านจะไม่กินจริงๆ หรือ
“ไม่กินๆๆ นี่มันเป็นเครื่องเซ่นไหว้ชื่อหมู่ทั้งนั้น ข้าไม่กล้ากิน ทั้งยังเต็มไปด้วยคำสาป มีแต่รสชาติเหม็นบูด เนื้อที่มันบูดแล้วเจ้ากินด้วยรึ”
นิ้วเทพเจ้ากล่าวออกมาอย่างฉะฉาน
สวี่ชิงไม่สนใจอีก ระหว่างทางเพื่อป้องกันเป้าประสงค์ที่จะเปิดโปงตนเอง จึงกระตุ้นลูกกลอนจันทราปีศาจฟ้าทมิฬที่เคยกินตอนที่ไปเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์กับนายกองตอนนั้น ปลดปล่อยฤทธิ์ยาที่หลงเหลือในร่างกายออกมา กลายร่างเป็นเผ่าฟ้าทมิฬอีกครั้ง
ตอนนี้เขามองไปที่เมืองศักดิ์สิทธิ์ ยกมือขวาขึ้น ชี้ไปยังท้องฟ้าเบื้องบนเหนือเมือง
ฉับพลันท้องนภาก็ตีเกลียว ตามด้วยเสียงครืนครัน พระจันทร์สีม่วงดวงหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมากลางอากาศในพริบตา ลอยเด่นอยู่เหนือเมืองศักดิ์สิทธิ์
พระจันทร์สีม่วงจุติยังโลก รอบด้านเปลี่ยนสี ทั้งหมดทั้งมวลล้วนกลายเป็นสีม่วงในพริบตา
ท้องฟ้าเป็นเช่นนี้ ผืนแผ่นดินก็เช่นกัน เมืองนั้นก็ด้วย
ทุกที่ที่สายตามองเห็น ทั้งหมดล้วนกลายเป็นสีม่วง!
อำนาจเทพแผ่ซ่าน ปกคลุมโลกมนุษย์ ด้านในแฝงอำนาจแห่งชื่อหมู่ที่เข้มข้นเอาไว้ จากระดับชั้นที่สูงส่งกว่าทูตเทวะทั้งหมด เฉกเช่นเดียวกับบุตรเทวะมาเยือน ทำให้เมืองทั้งเมืองบิดเบี้ยว รอบด้านเลือนรางไปหมด
ไอพลังประหลาดเข้มข้นแผ่ลามจากในเมือง ลอยขึ้นมาจากสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด ปะทุจากร่างทั้งสองเผ่าทีละตน วุ่นวายกันทั้งแผ่นดิน
เสียงสูดลมหายใจ เสียงตกตะลึง เสียงตกตะลึงนับไม่ถ้วน ดังออกมาจากปากของสองชนเผ่าเมืองศักดิ์สิทธิ์ในเสี้ยวอึดใจ พวกเขาหน้าเปลี่ยนสี ในใจของพวกเขากโหมระลอกคลื่นขนาดยักษ์
ความรู้สึกคุ้นเคย ทำให้ผู้บำเพ็ญของสองเผ่าไม่น้อยคุกเข่าลงคารวะตามสัญชาตญาณ ใจสั่นสะท้านถึงขีดสุด
และสีหน้าที่เปลี่ยนไปมหาศาลเช่นนี้ ยังรวมไปถึงร่างเงาสมบัติวิญญาณทั้งสี่เหนือเมืองด้วย
พวกเขาที่รวมถึงราชครู ระลอกคลื่นในใจโหมกระหน่ำซัดอย่างรุนแรง สีหน้าก็ไม่อาจเยือกเย็นได้อีกต่อไป ดวงตาฉายแววพรั่นพรึง
ในร่างกายสรรพชีวิตทั้งแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราล้วนแฝงคำสาปของพระจันทร์สีชาดไว้ และคำสาปที่แฝงอยู่ในสายโลหิตทุกรุ่น ขณะที่ทำให้พวกเขาออกจากแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราไม่ได้ ก็ยังทำให้ตอนที่พวกเขาเผชิญหน้ากับตำหนักเทพพระจันทร์สีชาด สามารถสัมผัสถึงแรงกดดันที่มาจากเทพเจ้าได้อย่างชัดเจน
เพียงแต่ในยามปกติ คำสาปนี้ก็ราวกับหลับไหลอยู่ แต่ตอนที่พวกเขามีความคิดจะหลบหนีออกจากแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราถึงจะปะทุขึ้นมา
แต่ตอนนี้ สมบัติวิญญาณทั้งสี่รวมถึงคนสองเผ่าในเมืองทั้งหมดสัมผัสคำสาปของสายโลหิตในร่างกายได้แล้ว มันกำลังฟื้นคืนมา
แม้จะยังห่างจากการปะทุอีกไกล แต่การฟื้นคืนนี้ ก็เหมือนดีดสายพิณหยุดชีวิตให้สั่นไหวชั่วคราว จนเสียงระฆังมรณะดังก้อง ทำให้พวกเขาสั่นสะท้านอย่างยิ่ง
ห่างออกไปสิบลี้ สวี่ชิงที่ยืนอยู่บนหัวเรือกลวิญญาณหญิงชรา มองทั้งหมดนี้ ก็เอ่ยประโยคแรกหลังจากมาถึงออกมา
“สมบัติวิญญาณทั้งหมดของความร่วมมือสองเผ่า ออกมาต้อนรับเดี๋ยวนี้!”
เมื่อสวี่ชิงเอ่ยออกไป แสงพระจันทร์สีม่วงก็พลันเจิดจ้า อำนาจเทพรุนแรงขึ้นอีกครั้ง ฟ้าดินยิ่งบิดเบี้ยว ทุกอย่างกำลังสั่นไหว คนธรรมดาทั้งสองเผ่าในเมืองไม่อาจทานรับได้ ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน
พวกเขาบางส่วนเริ่มกลายพันธุ์ คำสามปในร่างกายก็ยากระงับ แผ่ลามไปทั่วร่าง ทำให้เสียงกรีดร้องยิ่งหวีดแหลม ร่างกายแห้งเหี่ยวอย่างต่อเนื่อง
ทั้งหมดนี้ ทำให้ผู้คนในพันธมิตรสองเผ่ารู้สึกตกตะลึงหวาดกลัว รวมถึงราชครูในสมบัติวิญญาณทั้งสี่ก็พุ่งออกมาตามสัญชาตญาณ ตรงไปหาสวี่ชิง
ส่วนในพระราชวังของทั้งสองเผ่า ก็มีคลื่นพลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าอีกสองสาย พุ่งมาบนท้องฟ้าในพริบตา
นั่นคือเจ้ารัฐของทั้งสองเผ่า และเป็นบรรพจารย์ของทั้งสองเผ่าด้วย
สีหน้าพวกเขาก็ตื่นตะลึงเช่นกัน ขณะที่ในใจยังตกตะลึงสงสัย พระจันทร์สีม่วงกับพระจันทร์สีชาด มีความแตกต่างกันอยู่ แต่กลิ่นอายรวมถึงอำนาจเทพนั้นเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน
ทั้งหมดนี้ ทำให้พวกเขาไม่กล้าล่วงเกินสัญชาตญาณ หลังจากพุ่งออกมาตอนนี้ก็ตรงไปหาสวี่ชิงพร้อมกับสมบัติวิญญาณทั้งสี่ ไม่กล้าเข้าไปใกล้นัก หยุดอยู่ห่างออกมาพันจั้ง
“คารวะทูตเทวะ!”
บรรพจารย์สองเผ่าสีหน้าเคร่งขรึม ประสานหมัดทันที
สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ นี่เป็นขั้นตอนแรกวิธีเดียวที่เขาคิดระหว่างทางในการมาครั้งนี้
ทั้งหกคนอยู่ด้วยกันแล้ว!
ตอนนี้ขั้นตอนแรกสำเร็จ พริบตาที่พวกเขาคารวะ พระจันทร์สีม่วงบนท้องฟ้าก็ครืนครันมา ลอยอยู่เหนือคนทั้งหก สะกดพวกเขาทันที
นี่คือขั้นตอนที่สอง
สวี่ชิงรู้ว่าผู้บำเพ็ญสมบัติวิญญาณไม่ได้โง่ โดยเฉพาะในฐานะที่เป็นถึงบรรพจารย์ ยิ่งจะดูถูกมิได้ ฐานะตนเองแรกเริ่มยังพอหลอกได้ แต่ก็รับประกันได้ยากว่าจะไม่เกิดเรื่องไม่คาดคิด
จึงชักช้าไม่ได้ ต้องรีบสู้รีบจบ ขณะที่พวกเขายังคงตกตะลึงสงสัย!
ดังนั้นขั้นตอนที่สองนี้ คือการใช้พลังพระจันทร์สีม่วงสะกดพวกเขา ทำให้พวกเขาสับสนในพริบตา
ภายใต้การสะกดของพระจันทร์สีม่วงตอนนี้ สีหน้าผู้แข็งแกร่งสมบัติวิญญาณทั้งหกของความร่วมมือสองเผ่าล้วนเปลี่ยนไป พลังคำสาปในร่างกายปั่นป่วนในเสี้ยวขณะนี้
เพียงแต่พลังบำเพ็ญของพวกเขา ก่อนหน้าที่คำสาปยังไม่ถูกกระตุ้นจนปะทุ สามารถประคับประคองพวกเขาให้ไปสะกดได้ ขณะที่ยังตกตะลึงโกรธแค้นนี้ สวี่ชิงไม่ลังเลแม้แต่น้อย ดึงเข็มนาฬิกาแดดทั้งห้าในร่างกายออกมา!
นี่คือขั้นตอนที่สาม
เวลาสับสนในขั้นตอนที่สองยังไม่เพียงพอ ต้องมีขั้นตอนที่สามสนับสนุน เพื่อเปิดโอกาสให้กับขั้นตอนที่สี่!
เมื่อดึงเข็มนาฬิกาออกมา ขณะที่การหน่วงเวลานาฬิกาแดดทั้งห้าปะทุ ทำให้กาลเวลารอบตัวสมบัติวิญญาณทั้งหกคนเชื่องช้าลงในพริบตา
เสี้ยงขณะต่อมา อสูรสมุทรบรรพกาลวิถีสวรรค์ก็ปรากฏตัว สำแดงร่างกายอันใหญ่โต ขณะที่สมบัติวิญญาณทั้งหกคนกำลังต่อต้านการสะกดของพระจันทร์สีม่วงรวมถึงความสับสนในใจช่วงที่ถูกหน่วงเวลาพริบตานี้ ก็ไปกลืนกินพวกเขาทันที
กลืนกินผู้บำเพ็ญทั้งหกคนรวมถึงพระจันทร์สีม่วงเข้าไป!
นี่ คือแผนการขั้นตอนที่สี่ของสวี่ชิง
แต่สิ่งที่ต้องแลกก็มากมายมหาศาลนัก