ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 564-2 ดาวพิฆาตผ่านตะวันทะลวงฟากฟ้า (2)
บทที่ 564-2 ดาวพิฆาตผ่านตะวันทะลวงฟากฟ้า (2)
นาฬิกาแดดทั้งห้าของสวี่ชิง แตกกระจายเป็นชิ้นๆ ทันที
สวี่ชิงกระอักเลือด ร่างกายก็อ่อนล้าไปหมด แต่พลังบำเพ็ญไม่ได้ลดลงมากนัก เพราะตะเกียงชีวิตที่แปรมาจากสายโลหิตที่แท้จริงของเขา อันที่จริงคือเข็มนาฬิกาห้าเล่มนั้น!
ส่วนนาฬิกาแดดมาจากผลึกวารีสีม่วง ประสบการณ์ในทะเลเพลิงสวรรค์ก่อนหน้านี้ ทำให้สวี่ชิงเข้าใจว่าพวกมันฟื้นฟูได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลาเท่านั้น
ตอนที่ใช้พลังนาฬิกาแดด แผนการขั้นที่สี่ก็สำเร็จ
พระจันทร์สีม่วงหายไป สมบัติวิญญาณทั้งหกก็หายไปเช่นกัน อสูรสมุทรบรรพการแผดเสียงคำรามอย่างทรมานกลางอากาศ ร่างปูดบวมส่งเสียงครืนครัน
มันยืนหยัดได้ไม่นานนัก
แม้ว่ามันจะมีความพิเศษ มีวิถีสวรรค์หนุนนำ แต่สุดท้ายก็ยังอ่อนแอ ต่อให้ใช้พลังพระจันทร์สีม่วงสะกด ก็ยังยากจะพันธนาการสมบัติวิญญาณหกคนนั้นไว้ได้
และอำนาจเทพของสวี่ชิงก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้คำสาปผู้บำเพ็ญสมบัติวิญญาณฟื้นตื่นขึ้นมาได้
เขาทำได้แค่ให้คำสาปเหล่านี้ฟื้นตื่นขึ้นมา
แต่ในความเป็นจริง สามารถทำได้ถึงจุดนี้ก็น่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่งแล้ว เพราะว่าเขาใช้พลังทั้งหมดเข้างัด และทูตเทวะก็ใช้ร่างกายตนเองเป็นภาชนะ ใช้พลังเทพเจ้า ถึงจะสำแดงผลลัพธ์ได้ถึงระดับเดียวกัน
ดูคล้ายกัน แต่คุณสมบัติแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“ทนไว้หนึ่งก้านธูป!” สวี่ชิงเอ่ยกับอสูรสมุทรบรรพกาล จากนั้นก็มองไปทางเมืองศักดิ์สิทธิ์ จิตสังหารในตาไม่อาจสะกดได้แล้วในตอนนี้ ปะทุออกมาน่าตื่นตะลึง
เขาพุ่งตรงไปที่เมืองศักดิ์สิทธิ์ รอบด้านส่งเสียงครืนครัน
“เผ่าเงาคันฉ่อง กำเริบเสิบสานเบื้องหน้าจันทราคิดจะทำร้ายทูตเทวะฟ้าทมิฬอย่างข้า ต้องโทษประหาร ชนเผ่าต้องดับสูญ!”
กล่าวจบ สวี่ชิงก็ยกมือขวาขึ้น โบกไปด้านหน้า
รวดเร็ว ทรงพลังอย่างยิ่ง ทัณฑ์สวรรค์ส่งเสียงสะท้อนก้องเป็นทอดๆ
สายอัสนีสีแดงคือบรรพจารย์สำนักวัชระ ดวงตาทั้งสองแดงเถือก จิตสังหารอบอวลในใจ
ติดตามสวี่ชิงมาจนตอนนี้ ในอดีตเขาล้วนลงมือเพื่อสวี่ชิงทั้งนั้น ล้วนเป็นฝ่ายถูกกระทำ มีเพียงวันนี้ที่เขาเลือกลงมือเอง เพื่อล้างแค้นให้กับผู้ฟังที่ตายไปเหล่านั้น!
คิดถึงสายตาผู้ฟังเหล่านั้น คิดถึงเสียงและใบหน้าของพวกเขา ความโกรธแค้นและโศกเศร้าของบรรพจารย์สำนักวัชระก็ปะทุระเบิดออกมาจนถึงที่สุด
“สังหาร!!”
บรรพจารย์สำนักวัชระคำราม หมุนก้างปลาเทพเจ้าที่แข็งแกร่งทรงพลัง เข้าประชิดม่านพลังป้องกันเมืองศักดิ์สิทธิ์ในพริบตา พุ่งทะลวงไปอย่างรุนแรงโดยไม่สนอะไรทั้งสิ้น!
หลังจากม่านพลังป้องกันเมืองศักดิ์สิทธิ์เพิ่งผ่านเหตุการณ์เพลิงสวรรค์ผ่านท้องฟ้าก็ถึงขั้นไฟตะเกียงใกล้มอดดับ แม้การฟื้นฟูอยู่หลายเดือนจะทำให้มีพลังอยู่บ้าง แต่ก็ต่างจากตอนที่สมบูรณ์พร้อมที่สุดมหาศาล
ในความมืดสลัวตอนนี้ สกัดกั้นพลังทะลุทะลวงที่มาจากก้างปลาเทพเจ้าไม่ได้เลย จากเสียงครืนครันที่ดังมา ก้างปลาที่อาบไปด้วยอัสนีสีแดง ก็ทะลวงม่านแสงป้องกันจนเป็นรูขนาดเล็กรูหนึ่ง!
เมื่อรูขนาดเล็กนี้ปรากฏขึ้น ทำให้เกิดรอยปริแตกมากมายแผ่ลามออกไปถ้วนทั่วอย่างรวดเร็ว
และค่ายกลของเมืองศักดิสิทธิ์ก็ไม่ธรรมดา ต่อให้ตอนนี้จะอ่อนกำลังจนถูกทะลวงเป็นรู แต่มันก็ส่องแสงวูบวาบกำลังฟื้นฟู
แต่ระหว่างที่สวี่ชิงเดินทางมา ก็คิดทุกอย่างไว้ในใจแล้ว พริบตาที่บรรพจารย์สำนักวัชระทะลวงเข้าไปแล้วพริบตาที่ค่ายกลฟื้นฟูตัวเอง บนท้องฟ้าก็มีเสียงดังสนั่นน่าตื่นตะลึงดังมา
ยอดเขาขนาดยักษ์ยอดเขาหนึ่ง ปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้า
ยอดเขานี้มองไกลๆ เหมือนเป็นร่างเงานั่งขัดสมาธิ หน้าตาของเขาเหมือนสวี่ชิงไม่ผิดเพี้ยน แบกโลกใหญ่มืดสลัวไว้สองใบ แผ่ซ่านแรงกดดันที่น่าตกตะลึงออกมาทั่วร่าง
เขาจักรพรรดิภูตของสวี่ชิงนั่นเอง!
เมื่อเขาลูกนี้ปรากฏ ก็พุ่งชนม่านพลังป้องกันเมืองศักดิ์สิทธิ์ด้านล่างอย่างรุนแรงทันที!
แต่สุดท้ายมันก็ยังไม่สลายและค้ำยันไว้ได้ เพียงแต่รอยแตกมากมายก็ยิ่งแผ่ลามออกไปจากรูที่ก้างปลาแทงทะลุเข้าไปขณะที่เขาจักรพรรดิภูตพุ่งชน
ตอนนี้เอง เสียงคำรามสะท้อนก้องเก้าชั้นฟ้าเสียงหนึ่ง ดังมาจากด้านบนร่างสวี่ชิง
วิหคทองสีดำบินออกมาฉับพลันจากความว่างเปล่า ร่างขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ชั่วพริบตา ร่างของมันก็ขนาดพันจั้ง หางสองร้อยกว่าเส้นโบกสะบัดราวกับเป็นพญาหงส์ดำ แผ่ขยายไปทั่วท้องฟ้า พุ่งไปยังเมืองศักดิ์สิทธิ์
ชั่วอึดใจก็มาถึงด้านบนเหนือเมืองศักดิ์สิทธิ์ ดวงตาของมันฉายแววเย็นชา ขณะที่แผดเสียงคำรามสั่นสะเทือนจิตใจ มันก็อ้าปากขนาดใหญ่ พ่น…เพลิงสวรรค์ไปยังม่านพลังป้องกันที่เต็มไปด้วยรอยแตกร้าว!
นั่นคือสิ่งที่แปรมาจากหินหนืดที่มันกลืนมาจากทะเลเพลิงสวรรค์ ร้อนระอุอย่างยิ่ง
ขณะนี้บินพลางพ่นเปลวเพลิงมหาศาลออกมา มองไกลๆ ทั่วทั้งเมืองถูกเพลิงสวรรค์ปกคลุม
ราวกับเพลิงสวรรค์ผ่านท้องฟ้าปรากฏขึ้นอีกครั้งในฟ้าดิน!
ทั้งหมดนี้พูดแล้วเหมือนเชื่องช้า แต่ความจริงนับตั้งแต่ที่บรรพจารย์สำนักวัชระพุ่งออกไปจนถึงช่วงที่วิหคทองพ่นไฟ ทั้งหมดจบลงในชั่วไม่กี่อึดใจเท่านั้น
และม่านแสงคุ้มกันเมืองศักดิ์สิทธิ์ หลังจากทานรับทุกอย่าง สุดท้ายก็ประคับประคองต่อไปไม่ไหว ขณะที่เสียงกร๊อบดังเสียดหูก็พังทลายลงมา
เขาจักรพรรดิภูตร่อนลงบนพื้นดิน ครืนครันไปทั้งเมือง
บรรพจารย์สำนักวัชระหวีดหวิวออกไป พอเห็นคนก็สังหาร!
เปลวเพลิงบนท้องฟ้าไม่มีอะไรขวางกั้นอีกต่อไป สาดร่วงลงมาในเมือง แผดเผาทุกสรรพสิ่ง
ฟ้าดินสิ้นสีสัน!
ในเมืองศักดิ์สิทธิ์ คนของความร่วมมือสองเผ่า พวกเขาเห็นพวกเจ้ารัฐตนเองถูกอสูรสมุทรบรรพกาลขนาดยักษ์ตัวหนึ่งกลืนกินไปกับตา เดิมระลอกคลื่นในใจก็โหมกระหน่ำอยู่แล้ว
ความตกตะลึงสงสัยและความพรั่นพรึงอัดแน่นอยู่ในใจพวกเขา ส่วนการฟื้นตื่นของคำสาปของแต่ละคนก่อนหน้านี้รวมถึงฐานะทูตเทวะของสวี่ชิง ก็ยิ่งทำให้ระลอกคลื่นในใจพวกเขาถาโถมขึ้นไปอีก
แค่ชั่วสั้นๆ ไม่กี่อึดใจ ค่ายกลก็ถล่มลงมา เพลิงสวรรค์ยิ่งลุกลาม ทั้งหมดนี้ ทำให้พวกเขารู้สึกถึงหายนะ
แต่ถึงอย่างไรก็เป็นสองชนเผ่า แม้สมบัติวิญญาณจะถูกขังไว้ แต่ก็ยังมีผู้บำเพ็ญปราณก่อกำเนิดอีกไม่น้อย ในนี้แก่นลมปราณก็ยิ่งมีมาก หลังจากผ่านประสบการณ์โกลาหลวุ่นวายฉุกละหุกก่อนหน้านี้ ตอนนี้ก็ทยอยตอบสนอง ร่างหลายร่างพลันพุ่งออกไปหาสวี่ชิง
สีหน้าสวี่ชิงเย็นชา เขาที่อยู่กลางอากาศ ยกมือขวาขึ้น กดลงไปที่เมืองศักดิ์สิทธิ์ด้านล่างทันที
พายุทรายที่อบอวลไปด้วยพิษนับร้อยลี้ตลอดทางด้านหลังเขาก็กลายเป็นเงามืดขนาดยักษ์ กลายเป็นหมอกไร้ที่สิ้นสุด พัดเข้าไปทางเมืองศักดิ์สิทธิ์!
ราวพายุคลั่งพัดกวาด
พายุทรายที่เกิดจากพลังพิษต้องห้ามมาพร้อมกับความทรงอำนาจ มาพร้อมพิษเข้มข้นถึงขีดสุด แฝงไอพลังประหลาดที่น่ากลัว หวีดหวิวมาจากด้านหลังและปกคลุมร่างสวี่ชิง
ผู้บำเพ็ญที่พุ่งมาด้านหน้าสวี่ชิงเหล่านั้น ตนแรกที่บุกมา เสียงกรีดร้องถูกเสียงคำรามของพายุทรายกลบ
ท่ามกลางพิษต้องห้ามเข้มข้น ร่างกายของพวกเขาเริ่มเน่าสลาย ถึงขนาดกับร้องโหยหวนไม่ออก มีเพียงพายุทรายพิษต้องห้ามที่ปกคลุมเมืองศักดิ์สิทธิ์สองเผ่านี้ด้วยพลังที่น่าตกตะลึง
ทุกจุดที่แล่นผ่าน ฟ้าถล่มดินทลาย
สิ่งแรกที่พังถล่มคือกำแพงเมือง ถัดมาคือสิ่งปลูกสร้างนับไม่ถ้วนด้านใน จากนั้นก็เป็นคนทั้งสองชนเผ่าในนี้ทั้งหมด
แผ่นดินใหญ่สั่นสะเทือน ไอพลังประหลาดปะทุ เมืองศักดิ์สิทธิ์ทั้งเมืองถูกพายุทรายขนาดนับร้อยลี้ปกคลุมไว้ในพริบตา
ภาพนี้ มองไกลๆ ราวกับเทพเจ้าลงโทษ!
ส่วนสวี่ชิงที่อยู่กลางอากาศ ราวกับกลายเป็นเทพเจ้า ปลดปล่อยอำนาจเทพของเขาออกมา
สิ่งที่เห็นทั้งหมดในครรลองสายตา หมอกพิษต้องห้ามปกคลุมทั่วทั้งเมือง ความตายกระจายอยู่ทุกหนแห่ง!
ส่วนเสียงกรีดร้องเสียงเดียวที่ยากจะเปล่งออกมา แต่หลังจากเพิ่มมากขึ้นก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
เสียงกรีดร้อง โหยหวน ดังก้องไปทั้งแปดทิศ
สำหรับทั้งสองเผ่าแล้ว นี่คือทัณฑ์สวรรค์
แต่ก็มีผู้บำเพ็ญทั้งสองเผ่าบางส่วนพุ่งออกมาจากหมอกพิษในตอนนี้ ขณะที่ทั่วร่างอยู่ในสภาพเน่าเปื่อย ดวงตาก็ฉายแววโกรธแค้น พุ่งมาหาสวี่ชิงอย่างรวดเร็ว
สีหน้าของพวกเขาเหี้ยมเกรียม ในใจพวกเขาเดือดดาล ในสายตาพวกเขา สวี่ชิงก็คือมารร้ายที่ชั่วช้าจนเกินอภัย
ส่วนพวกเขาก็เป็นเช่นนี้เช่นเดียวกันในสายตาสวี่ชิง
ชั่วพริบตา ตอนที่ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน
ดวงตาสวี่ชิงเปล่งแสงเยือกเย็น กริชปรากฏขึ้นขณะที่ยกมือขวา ก้าวไปหนึ่งก้าวประชิดทีละคนฉับพลันโดยไม่สนใจวิชาเวทที่อีกฝ่ายลงมือ
ยกมือวาดกริช!
ขณะที่เลือดสดสาดกระเซ็น ตอนที่ศีรษะร่วงลงพื้น เหนือศีรษะสวี่ชิงมีห้าฉัตรปรากฏขึ้น ต่างตัดสลับกันจนกลายเป็นบัลลังก์ราชันสีม่วง
สิ่งนี้ ถึงจะเป็นรูปร่างแท้จริงของตะเกียงชีวิตที่แปรมาจากสายโลหิตของสวี่ชิง
เมื่อบัลลังก์ราชันปรากฏ เมฆทั่วสารทิศเคลื่อนคล้อย คลื่นพลังในสายโลหิตวูบหนึ่งกลายเป็นพลังสะกด ทำให้รอบๆ จุดที่สวี่ชิงอยู่บิดเบี้ยว
ความเร็วและพลังต่อสู้ของสวี่ชิงล้วนได้รับการสนับสนุน จุดที่พุ่งผ่านผู้บำเพ็ญที่ตรงเข้ามาเหล่านั้น แต่ละคนราวกับกระดาษ พินาศย่อยยับ แตกดับกันต่อเนื่อง
ศพแต่ละร่างร่วงหล่นจากท้องฟ้า ขณะที่ทั่วทั้งเมืองมีเสียงกรีดร้องดังระงม ร่างของสวี่ชิงก็กลายเป็นเงาคงค้าง ปรากฏตัวที่เบื้องหน้าผู้บำเพ็ญเผ่าผืนนภาตนหนึ่ง กริชในมือเปล่งแสงเย็นวาบ จะเข้าปาดคอของเขา
แต่ผู้บำเพ็ญตนนี้ก็ไม่ธรรมดา กลับยังไม่ตาย สองแขนโอบรัดร่างสวี่ชิงแน่น ผู้บำเพ็ญรอบๆ คนอื่นก็ลงมือในพริบตา
เห็นวิกฤต ฉัตรเหนือศีรษะสวี่ชิงก็ลดลงมาในพริบตา เงาบัลลังก์ราชันแผ่ปกคลุมรอบๆ
ขณะส่งเสียงครืนครัน ฉัตรก็ลางเลือนกลายเป็นหนามแหลมห้าเล่มพุ่งทะลวงรอบด้านอย่างรวดเร็ว ตอนที่เสียงกรีดร้องดังก้อง หนามแหลมห้าเล่มก็หมุนสน กลายเป็นบัลลังก์ราชันข้างๆ สวี่ชิงอีกครั้ง
สวี่ชิงพุ่งออกไป เมื่อปาดกริช ก็ตัดขาดคอของผู้บำเพ็ญเผ่าผืนนภาคนนั้นจนขาด
แต่ตอนนี้เอง พลันมีเงาสามร่างเข้ามาใกล้ ร่างปะทุคลื่นพลังปราณก่อกำเนิดขั้นบริบูรณ์ออกมา
ร่างของสวี่ชิงร่วงลงไปทันใดท่ามกลางเสียงครืนครัน กระอักเลือดออกมา อวัยวะภายในกำลังสั่นสะเทือน ดีที่กายเนื้อเขาแข็งแกร่ง แม้จะไม่ใช่คู่มือ แต่ก็ไม่แตกสลายไปด้วยเหตุนี้
สามคนนั้นกำลังไล่ตามมา ร่างของสวี่ชิงไหววูบ เปลี่ยนเป็นกึ่งโปร่งแสง เข้าไปในปราณหมอกที่ปกคลุมเมืองศักดิ์สิทธิ์
เขาที่อยู่ในสภาพนี้ อำพรางกลิ่นอายมิดชิดถึงขีดสุด บนหน้าเขามีหน้ากากชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบได้
แต่หากเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญทั้งสองเผ่า เขาก็ไม่ลังเล จัดการปาดคอทันที
หากไม่สะดวก จะอวัยวะหรือจุดตายทั้งหมดล้วนเป็นจุดที่สวี่ชิงจะลงมือ
ในระหว่างนี้ เขาจึงเลี่ยงผู้แข็งแกร่งบางตนได้ยาก สังหารได้ก็สังหารทิ้ง ที่สังหารไม่ได้สวี่ชิงก็จะฝืนอาการบาดเจ็บหนีไปให้ไกลทันที
ขณะเดียวกันผู้บำเพ็ญปราณก่อกำเนิดที่สามารถสังหารได้ ปราณก่อกำเนิดของพวกเขาก็คือของบำรุงของสวี่ชิง
เขาจะดึงมันออกมาแล้วบีบทิ้ง สูดรับอายุขัยสวรรค์เข้าไป ขณะเดียวกันก็ปลดปล่อยร่างมารฟ้าทั้งหมดออกมา แผ่พลังสัมผัสผู้แข็งแกร่งทั้งสองเผ่าอยู่ในปราณหมอกนี้ เจอใครคือสังหารทิ้งทันที
ร่างศพร่วงหล่นไม่หยุด เน่าเปื่อยอย่างรวดเร็ว เสียงกรีดร้องสะท้อนก้องในปราณหมอกไม่หยุด ส่วนผู้แข็งแกร่งความร่วมมือสองเผ่ารอบๆ ก็กำลังเดือดดาลถึงขีดสุด ต้องพุ่งทะลวงเข้ามาในปราณหมอก
ยังมีส่วนหนึ่งที่พุ่งไปที่อสูรสมุทรบรรพกาลวิถีสวรรค์ โจมตีใส่มัน คิดจะช่วยบรรพจารย์ของพวกเขาที่ถูกขังไว้ออกมา
ยิ่งมีไม่น้อยที่ขึ้นไปสำแดงวิชากลางอากาศ คิดจะสลายพายุทรายพิษต้องห้ามร้อยลี้นี้ แต่ความสามารถของพวกเขาไม่สามารถทำได้ถึงจุดนั้นในเวลาสั้นๆ
ส่วนร่างของสวี่ชิงก็เป็นตัวแทนของความตาย คาดเดาไม่ได้ สังหารทุกชีวิตที่อยู่ในปราณหมอก
ที่นี่ เป็นสนามรบที่เตรียมไว้ให้ตนซึ่งคิดไว้ดีแล้วระหว่างทางที่มาที่นี่
ที่อ่อนแอกว่า จะถูกเขาสังหารอย่างโหดเหี้ยม ที่แข็งแกร่งกว่า สวี่ชิงก็จะหลีกเลี่ยงอย่างสุดกำลัง รอจนพิษอีกฝ่ายกำเริบแล้วค่อยสังหาร!
พวกเจ้าไม่เข้ามาก็ได้ แต่ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะสังหารพวกคนธรรมดาทิ้ง
ในเวลาสั้นๆ เป็นไปไม่ได้ที่ทุกจะหนีออกไป และความน่ากลัวของหมอกพิษ ปนเปื้อนเพียงนิดเดียวก็เท่ากับเป็นตราประทับแห่งความตายแล้ว
สรุปคือ ทุกอย่างที่นี่ ล้วนเป็นเป้าหมายที่เขาจะสังหาร!
ในสนามรบที่ขึ้นอยู่เขาแต่เพียงผู้เดียว สวี่ชิงที่ไปมาอย่างไร้ร่องรอย คือตัวตนระดับเทพแห่งความตาย!
ความโหดเหี้ยมของเขา นิสัยกัดไม่ปล่อยของเขา ทำให้ผู้บำเพ็ญสองเผ่าใจสั่นสะท้านอย่างรุนแรงในตอนนี้
นี่ คือการล้างแค้นของสวี่ชิง!