ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 565 เพิ่มเจ้าเข้าไปก็เพียงพอแล้ว (1)
บทที่ 565 เพิ่มเจ้าเข้าไปก็เพียงพอแล้ว (1)
พายุทรายพิษต้องห้ามอาณาเขตหนึ่งร้อยลี้ปกคลุมเมืองศักดิ์สิทธิ์ มองไกลๆ เมืองที่เป็นประจักษ์พยานประวัติศาสตร์ของความร่วมมือทั้งสองเผ่า เลือนรางไปหมด ราวกับวันสิ้นโลกมาเยือน
ไอพลังประหลาดรุกรานที่นี่ ทำให้บ้านเรือนนับไม่ถ้วนทรุดโทรม สรรพชีวิตมากมายร่วงโรย และที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือการกลายพันธุ์
ประชากรทั้งสองเผ่าจำนวนมาก เนื่องจากไอพลังประหลาดในร่างกายเกินจุดวิกฤต บ้างก็แตกสลายกลายเป็นเศษเลือดเนื้อ บ้างก็ร้องคำรามกลายเป็นอสูรกลายพันธุ์ เห็นคนก็สังหาร
ความตาย ปรากฏทั่วทุกแห่งหน
แต่เทียบกับไอพลังประหลาด พิษต้องห้ามต่างหากที่มีประสิทธิภาพที่สุด ไม่ว่าจะอสูรกลายพันธุ์หรือคนในเผ่า ไม่ว่าจะคนที่มีชีวิตหรือตายไปแล้ว ต่อให้เป็นสิ่งปลูกสร้างก็หลีกหนีพลังของมันไม่พ้น
กระจกของเผ่าเงาคันฉ่อง กลายเป็นสีดำ สูญสิ้นความเงาไป
ร่างเผ่าผืนนภากลายเป็นน้ำเลือด พลังชีวิตมอดดับ
เสียงโหยหวน เสียงกรีดร้อง เสียงคำรามอย่างทุกข์ทรมานร้อยเรียงเป็นท่วงทำนองแห่งความตาย เมื่อแต่ละบทเพลงบรรเลงขึ้น ก็กังวานอยู่รอบกายสวี่ชิง จากนั้นเขาก็อำพรางร่างเงานักฆ่าราวกับภูตผี เดินหน้าต่อไป
การลงมือของเขาทุกครั้ง ล้วนเพิ่มจังหวะให้กับบทเพลงนี้หนึ่งจังหวะ
การสังหารของเขาทุกครั้ง ล้วนทำให้บทเพลงแห่งความตายนี้มีท่วงทำนองเพิ่มขึ้น
กริชในมือไม่มีเลือดติด เพราะเลือดที่หลั่งรินจากการสังหาร ล้วนไหลจากกริชลงไปที่แขน อาบย้อมเสื้อผ้าของสวี่ชิง
ชุดคลุมสีขาว กลายเป็นสีเลือดแนบกับร่างกายนานแล้ว
สวี่ชิงชินกับความรู้สึกนี้
เขาก้มหน้า พุ่งทะยานอยู่ในปราณหมอก เก็บเกี่ยวชีวิตไปทีละชีวิต สวี่ชิงไม่สนใจร้องโหยหวนคร่ำครวญเหล่านั้น ไม่มีทางเมตตาปรานีปลดปล่อยความทุกข์ทรมานของพวกมันไปเช่นนี้
ในหัวสมองเขา ภาพเมืองหิ่งห้อยในความมืดปรากฏขึ้น แต่ละภาพในที่แห่งนั้น ทำให้เขาเหมือนจะรวดเร็วยิ่งขึ้น
และกองเศษเนื้อในกรงเหล็ก ก็ทำให้เขากำกริชในมือแน่นขึ้น
กระทั่งภาพนี้ พอจดจ้องไปบนใบหน้าเล็กของพั่นเยี่ยน สวี่ชิงก็ร่างไหววูบผ่านหน้าผู้บำเพ็ญเผ่าผืนนภาคนหนึ่ง เลือดสดอุ่นๆ รดลงบนมือ
“ยังไม่พอ”
สวี่ชิงพึมพำ ถอยไปด้านหลัง พริบตาที่ผสานเข้าไปในปราณหมอก ที่ที่เขาอยู่ก่อนหน้านี้มีเงาหกร่างหวีดหวิวผ่านไปเสียงครืนครัน
หกร่างนั้นล้วนเป็นปราณก่อกำเนิดสี่ถึงห้าทัณฑ์ทั้งสิ้น แผ่คลื่นพลังที่แข็งแกร่ง แต่ละคนดวงตาฉายแววโกรธแค้น สีหน้ากราดเกรี้ยวเหี้ยมโหด
พวกเขารับผิดชอบในการไล่ล่าสวี่ชิง แต่ในเมืองที่พิษต้องห้ามคละคลุ้ง ทำให้พวกเขาหาร่องรอยสวี่ชิงไม่พบ ต่อให้จะจับคลื่นพลังได้บางครั้ง แต่เมื่อมาถึงก็หาตัวไม่พบเช่นตอนนี้
ขณะเดียวกันพวกเขาต้องต้านทานการรุกรานของพิษต้องห้ามสุดกำลัง ดีที่ยังพอทนไหวในระยะเวลาที่ไม่นานนัก แต่ทั้งหกคนก็ร่างกายเน่าเปื่อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ส่วนสวี่ชิงก็ไม่คิดจะปะทะกับพวกเขาซึ่งๆ หน้าเลย
เป้าหมายของเขาชัดเจนมาโดยตลอด นั่นคือลานกว้างระหว่างวังหลวงทั้งสองในเมือง
ตวนมู่ฉางอยู่ที่นั่น
ตัวตนเผ่าฟ้าทมิฬรวมถึงคำกล่าวตอนลงมือก่อนหน้านี้ ทั้งหมดทั้งมวล สวี่ชิงล้วนทำเพื่อปิดบังเผ่าของตนเองรวมถึงเป้าหมาย
มีเพียงทำเช่นนี้เท่านั้น ถึงจะช่วยเหลือตวนมู่ฉางขณะที่อีกฝ่ายยังตั้งตัวไม่ทันในช่วงเวลาที่พลิกผันฉุกละหุกได้ และจะไม่เกิดเรื่องอย่างการใช้ตวนมู่ฉางเป็นตัวประกันด้วย
ถึงอย่างไรเรื่องการนำเผ่ามนุษย์มาบีบคั้นเผ่าฟ้าทมิฬเกินจริงไป
แน่นอนว่าจุดสำคัญที่จะจัดการเรื่องนี้ให้สำเร็จได้ก็คือเวลา หากความร่วมมือสองเผ่ามีโอกาสตอบสนองและตรวจสอบได้ทัน วิธีการของสวี่ชิงก็จะเกิดช่องโหว่
แต่อย่างน้อยตอนนี้ยังมีช่องโหว่ไม่มากนัก
สวี่ชิงรวดเร็วอย่างยิ่ง พุ่งทะยานอยู่ในหมอกพิษนี้ ค่อยๆ เข้าใกล้ลานกว้างใจกลางเมือง ใช้หมอกพิษสัมผัสหาตวนมู่ฉางที่ทั้งร่างปกคลุมไปด้วยพิษต้องห้ามนอนหายใจรวยรินอยู่ตรงนั้น
สวี่ชิงก็ควบคุมหมอกพิษที่เข้มข้นเช่นนี้อย่างเอาใจใส่ไม่ได้ การแผ่ขยายและรุกรานของพวกมัน ไม่มีทางละเว้นตวนมู่ฉาง
แต่ตวนมู่ฉางก็มีข้อได้เปรียบ นั่นก็คือเขาเคยติดพิษมาแล้ว และสวี่ชิงก็เคยถอนพิษให้ ดังนั้นเมื่อเทียบกับผู้บำเพ็ญสองเผ่า จะมากหรือน้อยร่างเขาก็มีภูมิต้านทานอยู่บ้าง
ภูมิต้านทานนี้ แม้จะไม่สามารถหยุดการกำเริบของพิษได้ แต่ก็สามารถทำให้เขาอดทนได้นานขึ้นเล็กน้อย
แต่ต่อให้แผนการรัดกุมเพียงใด ก็ยากที่จะทำได้อย่างไร้ข้อบกพร่องในช่วงเวลาที่ฉุกละหุกเช่นนี้
แม้สวี่ชิงจะเปลี่ยนตัวตน อำพรางเป้าหมาย แต่การปรากฏตัวตอนที่ตวนมู่ฉางถูกหลอม สุดท้ายก็ยังทำให้ผู้บำเพ็ญบางส่วนของความร่วมมือสองเผ่าคาดเดาได้ เลือกที่จะเฝ้าตอไม้รอกระต่ายที่นี่
เพียงแต่การก่อความวุ่นวายของปัจจัยที่ไม่ชัดเจนรวมถึงการรุกรานของหมอกพิษ ทำให้การผู้บำเพ็ญสองเผ่าที่รออยู่ที่นี่มีไม่มากนัก
ดวงตาสวี่ชิงเปล่งแสงเย็นวาบ จับจ้องร่างหลายร่างที่ปรากฏตัวในปราณหมอกขมุกขมัวเบื้องหน้า
เขาหรี่ตาลง ซ่อนประกายเย็นเยียบ พุ่งออกไปจากจุดที่พรางตัวไปอยู่ด้านหลังผู้บำเพ็ญเผ่าเงาคันฉ่องคนหนึ่งในพริบตา
ยกมือขวาขึ้นอย่างไร้ซุ่มเสียง ปิดที่กระจกหว่างคิ้วผู้บำเพ็ญเผ่าเงาคันฉ่อง
พริบตาที่คนผู้นี้สังเกตเห็น ยังไม่ทันได้ขัดขืน สวี่ชิงก็จับไว้แล้วบีบอย่างแรง
เสียงกระจกแตกดังขึ้น กำลังจะเปล่งเสียงกรีดร้องออกมา มือขวาของสวี่ชิงก็อุดที่ปากเขาเอาไว้แน่น
เสียงกรีดร้องกลายเป็นเสียงอู้อี้ กลืนหายไปกับเสียงร้องโหยหวนที่ยังก้องอยู่ในเมือง
พิษต้องห้ามแผ่ออกมาจากร่างกายสวี่ชิงเข้มข้นกว่าเดิมในเสี้ยวขณะนี้ ผสานเข้าไปในร่าอีกฝ่าย หลังจากที่คนผู้นี้ตายแน่นิงไม่ไหวติง สวี่ชิงจึงวางเขาเบาๆ โน้มตัวไหววูบหายไปจากจุดเดิม
ไม่นานนัก ร่างเงาในปราณหมอกขมุกขมัว ก็หายไปอีกหนึ่งคน
หลังจากผ่านไปสิบอึดใจ ก็หายไปอีกหนึ่งคน
และตอนนี้ ผู้บำเพ็ญที่เหลืออยู่เหล่านั้นก็ทยอยสังเกตเห็น ตอนที่สวี่ชิงลงมืออีกครั้ง รอบด้านของเขาก็ปรากฏร่างผู้บำเพ็ญสองเผ่าอีกสิบกว่าร่าง พุ่งตรงมาหาเขา
สวี่ชิงสีหน้าปกติ เขาคำนวณเวลาในใจ ไม่ได้เลือกถอยเหมือนก่อนหน้านี้ แต่เปลี่ยนจากสภาวะพรางมารยา เส้นใยสีทองในร่างกายขยายออกไปในพริบตา
ร่างกายของเขาพลันขยายใหญ่ขึ้น หน้าตาของเผ่าฟ้าทมิฬสลายไป หน้าตาเผ่ามนุษย์ปรากฏขึ้น และขยายจากร่างปกติกลายเป็นความสูงระดับสามจั้ง
นี่คือสภาวะกายเนื้อแข็งแกร่งที่สุดที่สวี่ชิงสามารถสำแดงออกมาได้ ขณะที่ปะทุขึ้นฉับพลันในตอนนี้ รอบกายเขากลายเป็นคลื่นวน
พริบตาต่อมา สวี่ชิงพุ่งออกไปกะทันหัน กระแทกร่างผู้บำเพ็ญเผ่าผืนนภาด้านหน้าสุดสามตน
เสียงครืนครันกึกก้อง ผู้บำเพ็ญเผ่าผืนนภาสามคนนั้นไม่สามารถต้านทานได้ ตนหนึ่งร่างแตกสลาย อีกสองตนกระอักเลือดถอยหลังไป สีหน้าพรั่นพรึงถึงขีดสุด
วิธีการที่สวี่ชิงใช้น่าตกตะลึงขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ
ส่วนสวี่ชิงก็ไม่หยุดชะงัก แบมือขนาดใหญ่ ขณะที่กระโดดไป ก็ปรากฏตัวข้างกายผู้บำเพ็ญเผ่าเงาคันฉ่องสองตน คว้าร่างพวกเขาโยนออกไปทันที
ท่ามกลางเสียงครืนครันต่อเนื่อง ผู้บำเพ็ญเผ่าเงาคันฉ่องสองตนก็ร่างระเบิด เลือดเนื้อสาดกระเซ็นไปทั่ว ผู้บำเพ็ญสองเผ่าอื่นๆ ก็พุ่งเข้ามาหาสวี่ชิง
ผู้นำคือผู้บำเพ็ญปราณก่อกำเนิดสี่ทัณฑ์ตนหนึ่ง
เมื่อเห็นพวกเขาเข้ามา ร่างกายสวี่ชิงก็พลันส่องแสงเรืองรองไปรอบๆ ในพริบตา
แสงเรืองรองกวาดล้างทุกสรรพสิ่ง เสี้ยวขณะที่สาดส่องออกมา ผู้บำเพ็ญสองเผ่าที่พุ่งมาหาสวี่ชิงต่างก็ต้องถอยหลังเพื่อตั้งรับ
แต่จิตสังหารปราณก่อกำเนิดสี่ทัณฑ์นั้นรุนแรงมาก ไม่เสียดายส่งที่ต้องแลก ไม่สนว่าพิษจะกำเริบ พุ่งมาหาสวี่ชิงในพริบตา
“ตาย!”
ท่ามกลางเสียงครืนครัน สวี่ชิงกระอักเลือด ปราณก่อกำเนิดในร่างสั่นสะท้าน ถอยหลังออกมา
และไม่ทันจะยืนได้มั่นคง อีกฝ่ายก็พุ่งมาอีกครั้ง ยิ่งทำปางมือกลายร่างเป็นผีร้าย กลืนกินร่างของสวี่ชิง
แต่แรงกดดันเทพเจ้าจากร่างสวี่ชิง ก็ทำให้เมื่อผีร้ายเหล่านั้นเข้าใกล้ก็ทยอยกรีดร้องถอยฉากออกไป
ผู้บำเพ็ญสี่ทัณฑ์คนนั้นก็ไม่ตายไม่เลิกรา เขารู้ว่าถอนพิษในร่างกายออกไม่ได้ จึงคิดจะใช้ช่วงชีวิตก่อนจะเน่าเปื่อย สังหารสวี่ชิงทิ้ง
ดังนั้นเมื่อเห็นว่าผีร้ายไม่ไหวแล้ว เขาจึงกัดปลายนิ้วและถ่มเลือดสดออกมา กระตุ้นให้ผีร้ายยิ่งคุ้มคลั่งไร้สติ ขณะเดียวกันก็ล้วงน้ำเต้าลูกหนึ่งออกมา ปลดปล่อยผีร้ายออกมาจำนวนมากกว่าเดิม ระหว่างที่ฝืนกลืนกิน สองมือของเขาก็ทำปางจำแลงระฆังสีทองใบหนึ่งออกมา เขย่าอย่างรวดเร็ว
เสียงระฆังดังออกมา ทิ่มแทงจิตวิญญาณของสวี่ชิง ผีร้ายก็ฉีกทึ้งไม่หยุด สวี่ชิงร่างสั่นเทิ้ม ถอยหลังไปอีกครั้ง
ทั้งสองคนคนหนึ่งไล่ล่า คนหนึ่งถอยหลัง แต่ความเร็วของสวี่ชิงสู้อีกฝ่ายไม่ได้ ทั้งไม่ได้อยู่ในสภาวะพรางมารยา ไม่นานนักก็ถูกไล่ตามทัน จึงถอยหลังต่อไป
ท่ามกลางเสียงโจมตีดังครืนครันไม่หยุดนี้ ผู้บำเพ็ญสองเผ่ารอบๆ ก็สังเกตเห็น พากันเข้ามา
หลังจากผ่านไปสิบกว่าอึดใจ ร่างของสวี่ชิงก็ถูกผู้บำเพ็ญสี่ทัณฑ์คนนี้ซัดกระเด็นไปสิบจั้งเสียงดังสนั่น ตอนที่ร่วงลงมา ผู้บำเพ็ญสี่ทัณฑ์ตนนั้นกำลังจะลงมือต่อ แต่ที่พุ่งออกมาไม่ใช่ร่างกายที่ครบถ้วนอีกต่อไป
ท่อนล่างของเขาเน่าสลายไปแล้ว ขณะที่พุ่งมา ร่างของเขาครึ่งหนึ่งอยู่กลางอากาศ ปราณก่อกำเนิดในร่างกายละลายหายไปจนหมด พิษต้องห้ามในร่างปะทุถึงขีดสุด
“นี่ข้า…” ในดวงตาผู้บำเพ็ญสี่ทัณฑ์ฉายแววไม่ยินยอม เขาทำเต็มที่แล้ว แต่ร่างกายของศัตรูสามารถทนต่ออาการบาดเจ็บได้มากเกินไป เขาโจมตีให้ตายในกระบวนท่าเดียวไม่ได้ ส่วนเรื่องที่จะจับตัวเอาไว้ แสงรุ้งที่แผ่ออกมาจากร่างอีกฝ่ายก็รับมือยากด้วยเช่นกัน
ขณะที่สิ้นหวังใกล้หมดลมหายใจ อัสนีสีแดงสายหนึ่งก็แล่นแปลบปลาบมา ทะลวงจากด้านหลัง แล้วพุ่งออกมาจากหน้าผากของเขา
ผู้บำเพ็ญที่เหลือร่างเพียงครึ่งเดียว ร่างกายร่วงหล่นลงพื้นดิน ดับสิ้นทั้งกายและจิตวิญญาณ
สวี่ชิงตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา ยังมีผีร้ายมากมายติดพันอยู่ที่ร่างกาย
ผีร้ายเหล่านี้บางส่วนสลายไปจากการตายของผู้บำเพ็ญสี่ทัณฑ์ แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ลอยออกมาจากน้ำเต้า เวลานี้สูญสิ้นสติสัมปชัญญะไปแล้ว แม้ว่าจะสลายไปอย่างต่อเนื่องด้วยกลิ่นอายของสวี่ชิง แต่ขอแค่ยังขยับตัวได้ พวกมันก็ยังคงกัดทึ้งอย่างบ้าคลั่ง
สวี่ชิงไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ เขารู้ว่าตนไม่ใช่คู่มือของผู้บำเพ็ญสี่ทัณฑ์คนนั้น แต่ไม่เป็นไร ที่นี่เป็นสนามรบของเขา พลังต่อสู้ของเขาไม่พอ แต่เกราะคุ้มกันของร่างกายก็ยังแข็งแกร่งถึงขีดสุด
ขอแค่ไม่ถูกสังหารในพริบตา ในหมอกพิษนี้ สุดท้ายคนที่ตายก็ไม่ใช่ตนเองแน่นอน
และการตายของผู้บำเพ็ญสี่ทัณฑ์ก็ทำให้ผู้ที่เหลืออยู่ไม่กล้าทำอะไรต่อ แต่ละตนลอยตัวขึ้นคิดจะหลบหนีขณะที่พิษกำเริบ
สวี่ชิงไม่สนใจ เขาหอบหายใจ เข้าใกล้ลานกว้างอย่างรวดเร็ว
สะกดหกสมบัติวิญญาณ ทลายม่านพลังคุ้มกันเมือง ใช้พิษสังหารสองเผ่าไปอย่างน้อยนับแสน สังหารแก่นลมปราณนับร้อย ปราณก่อกำเนิดอีกนับสิบ ทั้งหมดนี้ ถือเป็นขีดจำกัดของสวี่ชิงแล้ว
เขาในตอนนี้ทุ่มเทพลังทั้งหมด และในที่สุดก็มาถึงลานกว้าง เห็นตวนมู่ฉางที่นอนหายใจรวยรินอยู่ตรงนั้น