ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 565-2 เพิ่มเจ้าเข้าไปก็เพียงพอแล้ว (2)
บทที่ 565-2 เพิ่มเจ้าเข้าไปก็เพียงพอแล้ว (2)
พิษในร่างตวนมู่ฉางเข้มข้นถึงขีดสุดแล้ว ร่างเริ่มเน่าสลาย หลังจากเห็นสวี่ชิง เขาก็อ้าปากคิดจะพูดอะไร แต่ก็ไร้เรี่ยวแรง
สวี่ชิงยิ้ม ยกมือขวาขึ้นตบลงไปบนตัวตวนมู่ฉาง พิษในร่างกายตวนมู่ฉางก็พลันออกจากร่างกาย พุ่งมาหาสวี่ชิง
ขณะเดียวกันยังมีแสงรุ่งอรุณสายหนึ่งสองไปบนร่างตวนมู่ฉาง สกัดกั้นพิษต้องห้ามรวมถึงทำลายเครื่องพันธนาการต้องห้ามที่อยู่รอบๆ อีกด้วย
ครู่ต่อมา ร่างของตวนมู่ฉางสั่นเทา จากการที่พิษสลายไป จากการที่เครื่องพันธการหายไป พลังบำเพ็ญของเขาก็เริ่มฟื้นฟู เพียงแต่บาดเจ็บสาหัสเกินไป ตอนนี้เขาจึงทำได้แค่ฝืนลุกขึ้นนั่ง ยิ้มขืนมองสวี่ชิง
“เจ้าไม่น่ามาเลย”
เขาเห็นพระจันทร์สีม่วงของสวี่ชิงลอยขึ้นมาก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้กลับไม่ถามอะไรเลยแม้แต่คำเดียว
สวี่ชิงหอบฮั่ก นั่งอยู่ข้างตวนมู่ฉาง เขาสัมผัสได้จากคลื่นพลังรอบๆ ว่าผู้แข็งแกร่งสองเผ่าในปราณหมอกสังเกตเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นในที่แห่งนี้แล้ว เวลานี้กำลังมารวมตัวกัน
เกรงว่าใช้เวลาไม่นานนักก็คงปรากฏตัว
ส่วนอสูรสมุทรบรรพกาลทางนั้นก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมา เห็นได้ชัดว่ามันก็กำลังจะกักขังสมบัติวิญญาณทั้งหกคนนั้นไม่อยู่ มาถึงขีดจำกัดแล้ว
‘พระจันทร์สีม่วงผนวกกับวิถีสวรรค์ ยังสะกดไว้ไม่ได้แม้แต่สักก้านธูป ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไรนัก’
สวี่ชิงถอนหายใจ เงยหน้ามองท้องฟ้า การหลับใหลของชื่อหมู่ ทำให้เขาปลดปล่อยพลังพระจันทร์สีม่วงออกมาได้โดยไม่ต้องกังวลเหมือนก่อนหน้านี้ มีเพียงตำหนักเทพที่นี่เท่านั้น ที่เขาต้องระมัดระวัง
แต่การอำพรางวิถีสวรรค์รวมถึงพิษต้องห้าม ขอแค่ไม่ปะทุออกมาต่อหน้าคนอื่นก็ไม่มีปัญหา
สวี่ชิงจึงมองไปทางตวนมู่ฉาง
“ดื่มสุราหรือไม่”
เขาพูดพลางล้วงกาสุราออกมาสองกา โยนให้ตวนมู่ฉางกาหนึ่ง ตนเองถือไว้กาหนึ่ง เงยหน้าขึ้นกระดกดื่ม
ตอนที่ตวนมู่ฉางรับไว้ บนท้องฟ้าไกลๆ ก็มีเสียงครืนครันดังมา สั่นสะเทือนทั้งแปดทิศ ทำให้ท้องฟ้าเปลี่ยนสีอย่างกราดเกรี้ยว คล้ายพายุกำลังมา
พื้นดินสั่นสะเทือน เมืองสั่นไหว ปราณพิษที่นี่ก็ล่องลอย ราวกับถูกปัดเป่าออกไปจากเขตเมือง
อสูรสมุทรบรรพกาลร้องโหยหวน ร่างแตกสลาย สมบัติวิญญาณทั้งหกในร่างกายก็หลุดออกมาได้ในตอนนี้
หลังจากปรากฏตัว คำสาปในร่างกายพวกเขาแต่ละคนฟื้นตื่นขึ้นมา แต่ฝืนสะกดไว้ และเมืองที่ปรักหักพังรวมถึงการที่คนในเผ่าล้มตายเป็นจำนวนมหาศาล หายนะทั้งหมดนี้ทำให้โทสะในใจพวกเขาโหมขึ้นอย่างน่าตื่นตะลึงยิ่ง
ดังนั้นแต่ละคนจึงร่ายวิชาเวทย์ เสียงครืนครันสั่นฟ้าสะเทือนดินดังขึ้นไม่หยุด ทะเลเพลิงถูกสะกด ปราณหมอกเคลื่อนคล้อย บรรพจารย์สำนักวัชระลอยกลับมาอย่างรวดเร็ว คนในเผ่าที่เหลืออยู่ของทั้งสองเผ่าก็รู้สึกมีความหวัง
เห็นภาพนี้ ในดวงตาตวนมู่ฉางก็ฉายแววเด็ดขาด ดื่มสุราจากกาในมืออึกใหญ่ กำลังจะลุกขึ้น ก็ถูกสวี่ชิงรั้งไว้
“ไม่ต้องรีบหรอกขอรับ”
สวี่ชิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
มองรอยยิ้มของสวี่ชิง มองผีร้ายเหล่านั้นที่กำลังหายไปและกัดกินร่างเขา ตวนมู่ฉางก็ใจสั่นเทิ้มไปหมด เอ่ยอย่างอดไม่อยู่
“เจ้าพวกนี้ที่ร่างเจ้า…”
“ไม่ใช่ร่างของข้าเสียหน่อย ไม่เป็นไร ปล่อยมันกัดไป”
เมื่อสวี่ชิงกล่าวประโยคนี้ออกมา ด้านในติงหนึ่งสามสองในร่างกายก็สั่นสะเทือน แต่ไม่นานนักก็หายไป
สวี่ชิงไม่สนใจ มองไปรอบๆ เอ่ยเสียงแผ่วเบา
“ผู้อาวุโส เผ่ามนุษย์ในเมือง ข้าช่วยไว้กว่าครึ่ง แต่สุดท้ายก็ยังมีส่วนหนึ่ง…ข้าไร้ความสามารถ”
ตวนมู่ฉางเงียบนิ่ง ถอนหายใจเบาๆ
ตอนนี้ปราณหมอกรอบๆ ตีเกลียว ด้วยการปรากฏตัวของสมบัติวิญญาณทั้งหกกลางอากาศ สายลมหอบใหญ่หวีดหวิว พัดกวาดไปทั่วสารทิศ ในที่สุดก็ทำให้พายุทรายหมอกพิษที่นี่ค่อยๆ เบาบางลง หายไปจากในเขตเมือง
ส่วนวิหคทองก็เต็มที่แล้ว ตอนนี้จึงกลับมา เพลิงสวรรค์ในเมืองก็มอดดับไป
ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ทำให้ภาพโดยรวมของเมืองทั้งหมดชัดเจนขึ้นในฟ้าดิน
มองออกไป เมืองในตอนนี้ไม่เหลือเค้าเดิมเลยแม้แต่น้อย สิ่งปลูกสร้างกว่าครึ่งพังทลาย บ้างถูกเพลิงเผาไหม้ บ้างถูกอสูรกลายพันธุ์ทำลาย ยิ่งไปกว่านั้นคือกลายเป็นเถ้าธุลีด้วยพิษต้องห้าม
ส่วนซากศพ…กลับมีอยู่น้อยมาก
เพราะผู้ที่ตายทั้งหมดหนีการกัดกร่อนของพิษไม่พ้น หลังจากกลายเป็นน้ำเลือดก็ถูกอุณหภูมิสูงลบร่องรอย ดังนั้นกลิ่นของที่นี่จึงไม่น่าพิสมัยอย่างยิ่ง
เสียงร้องไห้ เสียงกรีดร้อง เสียงคำรามด้วยความกราดเกรี้ยว ดังก้องไม่หยุดหย่อน
เมื่อสองเผ่าที่เหลืออยู่เห็นภาพนี้ก็ร่างกายสั่นเทิ้ม ความโกรธพวยพุ่งมหาศาลอยู่เนิ่นนานแล้ว ส่วนสมบัติวิญญาณทั้งหกบนท้องฟ้า ยิ่งดวงตาแดงก่ำ ทุกตนมองไปที่ลานกว้าง มองสวี่ชิงที่นั่งดื่มสุราอยู่ตรงนั้น
“เจ้าเป็นใครกันแน่!”
“ข้าคือทูตเทวะของพวกเจ้า” สวี่ชิงเงยหน้ามองท้องฟ้า เอ่ยเสียงราบเรียบ
สมบัติวิญญาณทั้งหกเงียบนิ่ง คำสาปที่ฟื้นตื่นขึ้นมาในร่างกายไม่ใช่ของปลอมแน่นอน ส่วนตัวตนของสวี่ชิงจนถึงตอนนี้ พวกเขาก็คาดเดาไว้แล้ว
“ทูตเทวะจากดินแดนภายนอก”
คำตอบนี้ ทำให้พวกเขารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ดวงตาแต่ละตนต่างจิตสังหารเข้มข้น
กลิ่นอายของพวกเขาส่งผลกระทบกับท้องฟ้า ทำให้สายอัสนีแล่นแปลบปลาบ ม่านฟ้าขมุกขมัว สุดท้ายก็กลายเป็นคลื่นวนขนาดยักษ์ ปรากฏใบหน้าหกหน้าขึ้นมาภายในนั้น
ทูตเทวะ จะอย่างไรพวกเขาก็ไม่กล้าสังหาร แต่ถ้ามาจากดินแดนภายนอก พวกเขาสามารถจับกุมได้ ส่งไปที่ตำหนักเทพ ไม่แน่ว่าอาจแลกกับลูกกลอนขจัดภัยที่ล้ำค่าเหลือประมาณมาได้ส่วนหนึ่ง นำมาบรรเทาคำสาปในร่างที่กำลังเพิ่มขึ้นตามพลังบำเพ็ญที่มาพร้อมกับความเจ็บปวดทรมาน
หลังจากมองหน้ากัน ด้วยการส่งสัญญาณของเจ้ารัฐของเผ่าเงาคันฉ่อง ราชครูเผ่าเงาคันฉ่องตนนั้นก็เดินมาหาสวี่ชิงจากบนท้องฟ้า
เขาก้าวเดินไม่เร็วนัก สำหรับเขาแล้ว คนตรงหน้านี้มีวิธีการมากมาย ทั้งยังประหลาดยิ่ง ในใจเขาจึงระมัดระวังมาก
เห็นเป็นเช่นนี้ สวี่ชิงก็ถอนสายตากลับมา ลุกขึ้นยืน สื่อประสาทสัมผัสเทพราบเรียบไปหานิ้วเทพเจ้าในใจ
‘ผู้คนในสองชนเผ่าที่นี่อยู่ท่ามกลางพิษต้องห้ามของข้า เหลือจำนวนไม่มากแล้ว ทั้งการรุกรานของพระจันทร์สีม่วงยังมีพลังวิถีสวรรค์ด้วย เนื้อไม่ได้เหม็นบูดถึงเพียงนั้น หากท่านไม่กินเสียตอนนี้ หลังจากนี้หากหิวก็ไม่มีให้กินแล้วนะขอรับ ข้ายังต้องอยู่ในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราอีกนาน’
‘ถ้าข้าหลับ ก็ไม่หิวแล้ว!’ นิ้วเทพเจ้ายังคงหยิ่งยโส ทนความโหยหิวเอ่ยขึ้นอย่างเหยียดหยาม
‘เจ้าคิดจะใช้ความตายของตัวเองมาขู่ข้าอีกรึ ข้าบอกเจ้าไว้เลยว่าไม่มีประโยชน์ ชื่อหมู่กำลังหลับใหล ไม่มีทางตื่นขึ้นมาในช่วงเวลาอันใกล้นี้ และเจ้าก็ใช้ไม้นี้มาหลายรอบแล้ว ข้ามองออก เด็กอย่างเจ้าก็กลัวตายอยู่ล่ะสิ ทำไม จะตายก็ตายด้วยกัน ต่อให้ตายข้าก็ไม่กิน!’
เมื่อสวี่ชิงได้ยินก็สีหน้าเรียบสงบ มองราชครูเผ่าเงาคันฉ่องที่เดินมาจากบนท้องฟ้า ยกมือล้วงป้ายหยกส่งข้ามที่จักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลให้เขาออกมา
พริบตาที่ป้ายนี้ปรากฏ นิ้วเทพเจ้าก็สั่นเทา เปิดปากอย่างรวดเร็ว
‘เจ้าจะทำอะไร!’
‘ข้าเตรียมจะส่งพวกเขาไปเซ่นไหว้จักรพรรดิวิญญาณบรรพกาล’ สวี่ชิงเอ่ยเสียงราบเรียบ เดินไปบนท้องฟ้า ดวงตาฉายแววเด็ดขาด
‘จักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลบอกให้เจ้าเซ่นไหว้เทพเจ้าไม่สมประกอบในครั้งต่อไปไม่ใช่หรือ สมบัติวิญญาณแค่นี้มันไม่พอหรอก’ นิ้วเทพเจ้าตกตะลึง เริ่มรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
‘เพิ่มท่านไปด้วยก็พอแล้ว’
สวี่ชิงเอ่ยย่างเย็นชา
กล่าวจบ เขาก็อยู่บนท้องฟ้าแล้ว ตอนที่จับจ้องราชครูเผ่าเงาคันฉ่องที่เข้ามา เสียงกรีดร้องหวาดกลัวของนิ้วเทพเจ้าก็ดังก้องในใจ
‘เจ้าๆๆ…เจ้ามันคนไร้จิตสำนึก ข้าช่วยเจ้าไว้ตั้งกี่ครั้งแล้ว!!’ นิ้วเทพเจ้าโอดครวญ เขารู้สึกว่าตนคิดผิดไปเสียแล้ว นึกถึงสายตาที่น่ากลัวรวมถึงเสียงกลืนน้ำลายตอนที่มองตนเองของจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลในตอนนั้น เขาก็กลัวจนตัวสั่น จึงร้องคำรามออกมา
‘เรื่องเล็กแค่นี้ ไยต้องไปวุ่นวายใต้เท้าจักรพรรดิวิญญาณด้วย ข้าจัดการเอง!’
กล่าวจบ นิ้วเทพเจ้าก็พุ่งออกมาจากติงหนึ่งสามสอง มาพร้อมกับความน้อยเนื้อต่ำใจ ความขุ่นเคือง อัดแน่นไปทั่วร่างสวี่ชิงขณะที่สวี่ชิงตอบรับโดยไม่ส่งเสียง
คลื่นพลังเทพเจ้าที่เหนือกว่าก่อนหน้าวูบหนึ่ง ปะทุขึ้นมาจากร่างสวี่ชิงฉับพลัน
ตอนนี้ ม่านฟ้าที่ขมุกขมัวตีเกลียวขึ้นมาในพริบตา กลายเป็นคลื่นวนขนาดยักษ์ ขณะที่หมุนวนครืนครัน ก็แผ่พลังที่สะกดฟ้าดินออกมา
ใบหน้าที่เกิดจากสมบัติวิญญาณทั้งหกของสองเผ่าเปลี่ยนสีไปในพริบตา ราชครูชะงักฝีเท้ากะทันหัน สีหน้าฉายแววตื่นตกใจ
“นี่มัน…”
ขณะที่พวกเขากำลังลนลาน การเปลี่ยนแปลงที่มาจากตัวสวี่ชิงทำให้ฟ้าดินไร้สีสัน ครืนครันไปทั้งแปดทิศ เมืองก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ร่างกายของเขาส่งเสียงกร๊อบ แต่ละเสียงดั่งเสียงของสายฟ้าที่น่าครั่นคร้าม โหมเสียงสะท้อนก้องไม่จบไม่สิ้น
เส้นใยสีทองทั้งหมดในร่างกาย เปล่งแสงสีทองเจิดจรัส ปกคลุมไปทั่วร่าง ต่างสำแดงขีดจำกัดทั้งหมดออกมา แผ่ไปในร่างกายเขาอย่างรวดเร็ว
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ทำให้ร่างกายของสวี่ชิง ขยายใหญ่ขึ้นจากสภาพก่อนหน้านี้อีกครั้ง ไปถึงความสูงที่สามสิบจั้งในพริบตา
เทียบเท่ากับยอดเขา ยืนตระหง่านอยู่บนผืนแผ่นดิน
คลื่นวนบนฟากฟ้าครืนครัน ความว่างเปล่าปรากฏรอยปริแตก ยิ่งมีอัสนีหลายสายปรากฏออกมาจากความว่างเปล่า แล่นแปลบปลาบอยู่รอบตัวสวี่ชิง
กลิ่นอายเทพเจ้า ระเบิดออกมาถึงขีดสุดในพริบตานี้
พลังของไอพลังประหลาด แผ่ขยายออกไปเข้มข้น ทุกที่ที่เคลื่อนผ่านล้วนบิดเบี้ยว เลือนลางไปหมด
เมืองส่งเสียงครืนครัน ถล่มลงอีกครั้ง เสียงโหยหวนดังขึ้นอีกรอบ แม้แต่สมบัติวิญญาณทั้งหกบนท้องฟ้า ก็ยังรู้สึกถึงวิกฤตความเป็นความตายอย่างรุนแรง
ความรู้สึกวิกฤตินี้ แผ่ซ่านออกมาจากเลือดเนื้อของพวกเขา ออกมาจากจิตวิญญาณพวกเขา ปะทุขึ้นมาอย่างจากทุกอณูในร่างกายและทุกสัมผัสรับรู้ของพวกเขามารวมอยู่ด้วยกัน ประหนึ่งร่างทั้งร่างกำลังกรีดร้อง
“เทพเจ้า!!”
สวี่ชิงก่อนหน้านี้ ต่อให้สำแดงพิษต้องห้ามออกมา ก็ทำให้พวกเขาแค่ประหลาดใจ ทว่าตอนนี้…คือความตกตะลึงพรึงเพริด
กลิ่นอายของสวี่ชิงในตอนนี้เหนือกว่าการรับรู้ของสรรพชีวิตสามัญไปแล้ว เขา กลายเป็นองค์ท่าน!
เสียงคำรามกราดเกรี้ยวเปี่ยมไปด้วยโทสะ ดังออกมาจากปากสวี่ชิงขณะที่ฟ้าดินเกิดระลอกคลื่น กึกก้องไปทั้งชั้นเมฆ
หกสมบัติวิญญาณนั้น ไม่ว่าจะสำเร็จสมบัติวิญญาณหนึ่งคลังแล้วหรือจะเป็นหล่อเลี้ยงมรรคา ก็ใจสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นภายใต้เสียงคำรามกราดเกรี้ยวนี้ ทุกตนสับสนมึนงง ร่างกายสั่นเทิ้ม สูญเสียพลังต้านทานทั้งหมด
ราวกับมนุษย์ธรรมดาได้ยินเสียงพยัคฆ์ สั่นเทิ้มคล้ายวิญญาณหลุดจากร่างอยู่ตรงนั้น
นี่เป็นสิ่งที่เกิดจากความหวาดกลัว และความหวาดกลัวก็มาจากความต่างชั้นมหาศาล มาจากการบดขยี้ระดับชนชั้นของชีวิตระหว่างมนุษย์ธรรมดาและเทพเจ้า
ตอนนี้สองตาขององค์ท่านกลายเป็นสีทอง ร่างกายก็เปล่งประกายสีทองพร่างพรายเช่นกัน ขณะที่อำนาจเทพน่าครั่นคร้าม ก็เดินไปหาสมบัติวิญญาณทั้งหกเบื้องหน้า!
ร่างใหญ่มหึมา ก้าวหนึ่งก้าวก็ก้าวข้ามหลายสิ่งหลายอย่างไม่รู้จบ ปรากฏตัวเบื้องหน้าราชครูเผ่าเงาคันฉ่อง
ราชครูเงาคันฉ่องที่สูงส่งในเผ่าร่างแข็งค้างประหนึ่งหินผา ตอนนี้ราวกับมนุษย์สามัญธรรมดา ในกระจกปรากฏใบหน้าที่เต็มไปด้วยความพรั่นพรึง ถูกนิ้วเทพเจ้ายกมือคว้าลำคอเขาที่ไร้พลังต้านทานไว้
สูดรับทันที
ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องก็ดังออกมาจากกระจกของราชครูเงาคันฉ่อง ร่างกายเขาแห้งเหี่ยวลงอย่างเห็นได้ชัด สุดท้ายก็กลายเป็นฝุ่นผง กลายเป็นปราณขาวนับไม่ถ้วน ลอยเข้าไปในรูจมูกของนิ้วเทพเจ้า
“เน่าๆๆ! ไม่อร่อยเลยสักนิด!”
นิ้วเทพเจ้าผะอืดผะอม โทสะยิ่งเข้มข้น เดิมไม่คิดจะกินต่อ แต่เมื่อกินไปคำหนึ่งความหิวโหยขององค์ท่านก็ปะทุ ในท้องส่งเสียงหดตัวออกมา
เทียบกับความหิวโหยถึงขีดสุดนี้ รสชาติไม่ถือเป็นเรื่องสำคัญอะไร องค์ท่านจึงกัดฟันกรอด
‘เลือกกินไม่ได้แล้ว จัดการเรื่องปากท้องก่อนค่อยว่ากัน!’