ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 567 คำสัญญาใต้ทะเลเพลิงสวรรค์ (1)
บทที่ 567 คำสัญญาใต้ทะเลเพลิงสวรรค์ (1)
ลมหวีดหวิว ดังก้องไปบนผืนดินที่อ้างว้างห่างไกลของแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา แปรเปลี่ยนเป็นท่วงทำนองที่โศกเศร้าฮึกเหิม คล้ายว่ากำลังรำพันอดีตอันไกลโพ้น
ลมเม็ดทรายถูกพัดหอบม้วน ลอยตลบไปทั่วทั้งฟ้าดิน ผสานรวมเป็นหนึ่งไปกับท้องฟ้าอันมืดสลัว แยกซึ่งกันและกันไม่ออก ทำได้เพียงเห็นขบวนรถยาวเหยียดขบวนหนึ่งท่ามกลางความรางเลือน กำลังเคลื่อนไปข้างหน้าในความสลัวคลุมเครือนี้
ขบวนรถก่อกลุ่มจากกรงเหล็กขนาดมหึมาแต่ละกรงๆ ในนั้นมีเผ่าเงาคันฉ่องและเผ่าผืนนภานับไม่ถ้วนถูกความสิ้นหวังแแผ่ปกคลุม
ข้างหน้า มีคนนั่งอยู่สองคน อายุของทั้งสองฝ่ายห่างกันหนึ่งยุค
บนใบหน้าของชายชราสวมหน้ากากอันหนึ่ง บนใบหน้าของชายหนุ่มเองก็เช่นกัน
สีหน้าของหน้ากากนี้แสดงสีหน้าจนเกินสมควร ฉายความยึดมั่นและศรัทธา คล้ายว่าจะหมอบคารวะอยู่ทุกเมื่อ
“เผ่าพันธุ์ที่มุ่งหน้าไปส่งเครื่องเซ่นตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดต้องใส่หน้ากากนี้ นี่เป็นพิธีที่ตำหนักเทพกำหนด และเป็นคุณสมบัติของการบรรณาการเครื่องเซ่น ดีที่หลายปีก่อนข้าก็เคยทำเรื่องแบบนี้เหมือนกัน มีคุณสมบัติเข้าไป
“ส่วนความร่วมมือสองเผ่าที่ถูกทำลาย เรื่องประเภทนี้อยู่ในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราไม่นับเป็นเรื่องอะไร ก็แค่เผ่าเล็กๆ สองเผ่าเท่านั้น ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดอยู่สูงส่ง โดยปกติแล้วไม่สนใจเรื่องพวกนี้
“โดยเฉพาะช่วงปลายที่ชื่อหมู่จะมาเยือน เครื่องเซ่นในเวลาเนิ่นนานหลายปีก็รวบรวมได้พอสมควรแล้ว ช่วงนี้ความจริงแล้วเป็นช่วงเวลาที่เผ่าต่างๆ บ้าคลั่งที่สุด
“แต่ว่าก็ยังมีการเตรียมตัวไว้บ้าง เรื่องนี้ข้าจัดการเอง”
ท่ามกลางลมเม็ดทราย เสียงสงบนิ่งของตวนมู่ฉางดังขึ้นในหูสวี่ชิง
สวี่ชิงยกมือลูบๆ หน้ากากที่อยู่บนหน้า พยักหน้าหงึกๆ เกี่ยวกับท่าทีของคนทั้งหลายที่มีต่อตำหนักเทพพระจันทร์สีชาด เรื่องนี้ในรายงานข่าวของนายกองมีกล่าวถึง
วันนี้เป็นวันที่เก้าที่พวกเขาออกไปจากเมืองศักดิ์สิทธิ์
ห่างจากจุดเซ่นสังเวยที่ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดกำหนดยังเหลืออีกครึ่งเดือน หลายวันนี้สวี่ชิงขบคิดเรื่องที่ตวนมู่ฉางพูดเมื่อหลายวันก่อนอยู่หลายครั้ง
สวี่ชิงเงียบนิ่ง หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็มองไปทางที่ไกล มองท้องฟ้าที่มืดมิด พลางเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“นับแต่โบราณมา มีคนดิ้นรนหลุดพ้นจากคำสาปและวัฏสงสารของแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราจริงๆ หรือไม่”
ตวนมู่ฉางส่ายหน้า
“ไม่เคยมี”
สวี่ชิงนึกถึงชาติก่อนของนายกอง ในยามที่คล้ายครุ่นคิดอะไร ตวนมู่ฉางก็พลันเอ่ยขึ้นมา
“แต่มีคนกลุ่มหนึ่งทำการทดลองมาโดยตลอด และพยายามอยู่ตลอด” พูดถึงตรงนี้ ตวนมู่ฉางมองสวี่ชิง ในดวงตามีความล้ำลึก ซ่อนไว้ด้วยการหยั่งเชิงเล็กน้อย เอ่ยออกไป
“จันทร์สีชาดหาใช่สิ่งนิจนิรันดร์”
สวี่ชิงประสานสายตากับตวนมู่ฉาง พยักหน้าเล็กน้อย เขาฟังออกว่าประโยคนี้เป็นประโยคที่ชี้บอกความนัย แต่เขาไม่รู้ว่าประโยคต่อไปคืออะไร
ตวนมู่ฉางรออยู่ครู่หนึ่ง อดถามอย่างอดไม่ได้
“เจ้าจะไม่พูดดอะไรหน่อยหรือ”
“จันทร์สีชาดหาใช่สิ่งนิจนิรันดร์” สวี่ชิงตอบเสียงต่ำทุ้ม
ตวนมู่ฉางเงียบนิ่ง
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาถอนหายใจ ยกมือถอดหน้ากากออก นวดหว่างคิ้ว
“สวี่ชิง เจ้ารู้จักตำหนักขบถจันทร์หรือไม่”
สวี่ชิงสีหน้าจริงจัง เขาไม่เคยได้ยินกลุ่มนี้เลย ในรายงานข่าวที่นายกองให้มาก็ไม่มีกลุ่มนี้เหมือนกัน จึงส่ายหน้า
สายตาของตวนมู่ฉางหลังจากที่พูดตำหนักขบถจันทร์นี้ออกมา ก็สังเกตดวงตาของสวี่ชิงอยู่ตลอด คล้ายว่าจะยืนยันอะไร ตอนนี้เห็นปฏิกิริยาของสวี่ชิงก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
สวี่ชิงก็ไม่ได้ถาม เขามองออกว่ากลุ่มนี้ลึกลับและยากพบเจอมาก บุ่มบ่ามถามออกไปจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้
ขบวนรถเคลื่อนไปข้างหน้าต่อไป
ผ่านไปอีกเจ็ดวัน พวกเขาข้ามผ่านที่ราบ ผ่านเทือกเขา ในยามที่ใกล้ใจกลางของทางตะวันออกเข้ามาเรื่อยๆ ณ ยอดเขาแห่งหนึ่งตวนมู่ฉางดื่มสุราอึกหนึ่ง ในใจก็ตัดสินใจแล้ว พลันเอ่ยขึ้นมา
“สวี่ชิง ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่ใช่คนของตำหนักเทพพระจันทร์สีชาด”
สวี่ชิงได้ยินก็มองไปทางตวนมู่ฉาง
“ตำหนักขบถจันทร์เป็นกลุ่มลึกลับที่อยู่ในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรามานาน ประวัติของกลุ่มนี้ยาวนานเท่าๆ กับตำหนักเทพพระจันทร์สีชาด!
“ไม่รู้ที่มาที่ไปของกลุ่มนี้ และถูกทำลายไปหลายครั้ง แต่ทุกครั้งชื่อหมู่มาเก็บเกี่ยว ในยามที่สรรพชีวิตทั้งหลายโรยราและฟื้นฟูกลับมาอีกครั้ง กลุ่มนี้ก็จะก่อตัวขึ้นมา”
สวี่ชิงสายตาฉายประกายแปลกประหลาด มีตัวตนในเวลาเดียวกับตำหนักเทพพระจันทร์สีชาด นี่มากพอจะอธิบายถึงความไม่ธรรมดาของตำหนักขบถจันทร์
และอยู่ในแหล่งเพาะเลี้ยงวิญญาณจันทร์สีชาดแห่งนี้ หลังจากที่ถูกทำลายทุกครั้งก็ยังสามารถฟื้นคืนกลับมาได้ ยิ่งน่าตื่นตะลึง
ต้องรู้ว่าชื่อหมู่ตอนนี้แม้จะหลับใหล แต่ที่ผ่านมาก็ไม่ใช่เช่นนี้
เสียงของตวนมู่ฉางดังมาอีกครั้ง
“ในตำหนักขบถจันทร์รวบรวมผู้ที่ในใจดิ้นรนต่อต้านในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราเอาไว้ ความฝันของพวกเขาคือมีวันหนึ่งสามารถแก้คำสาปโบราณนี้ โค่นล้มทุกอย่าง
“แม้ว่าความฝันนี้จะริบหรี่ยิ่งนัก แต่มันก็เป็นความฝัน
“และเพื่อความพยายามนี้ แม้สมาชิกในนั้นจะไม่สามารถช่วยเหลือสนับสนุนกันในความเป็นจริงได้ แต่ล้วนต่างค้นคว้าวิธีแก้คำสาป”
สวี่ชิงฟังถึงตรงนี้ ในใจเกิดระลอกคลื่นเล็กน้อย ในตอนที่เขาอยู่ที่หลุมร้างก็ทำการค้นคว้าคำสาปเช่นกัน แต่ไม่ได้ลงลึก นี่ต้องใช้การทดลองจำนวนมหาศาลถึงจะได้
เสียงของตวนมู่ฉางตอนนี้แฝงไว้ด้วยระลอกคลื่นอารมณ์เล็กน้อย ดังก้องในทะเลความรู้สึกของสวี่ชิงต่อไป
“สมาชิกทุกคนของตำหนักขบถจันทร์ ตัวตนล้วนเป็นความลับ นอกจากตัวพวกเขาเองแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าเป็นใคร ป้องกันไม่ให้ตัวเองเปิดเผยออกมาเป็นเงื่อนไขข้อแรกของตำหนักขบถจันทร์
“เพราะตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดโดยปกติแล้วจะทำการกำจัดสมาชิกตำหนักขบถจันทร์อยู่ตลอด กระทั่งว่าในสมาชิกเหล่านั้นก็มีคนของตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดแฝงตัวในนั้นด้วย”
ตวนมู่ฉางสูดลมหายใจลึก หันไปมองตากับสวี่ชิง
“จันทร์สีชาดหาใช่สิ่งนิจนิรันดร์ ความหวังนั้นคงอยู่ตลอดกาล
“สวี่ชิง เจ้าอาจจะไม่ใช่คนของตำหนักขบถจันทร์จริงๆ แต่ข้ารู้สึกว่าในอนาคตเจ้าจะได้สัมผัสอย่างแน่นอน หากเจ้าอยากเข้าร่วมตำหนักขบถจันทร์ เจ้าไปที่เทือกเขาทนทุกข์ได้”
ตวนมู่ฉางไม่พูดอะไรอีก ดวงตาทั้งสองหลับลง ออกเดินทางต่อ
สวี่ชิงเห็นเป็นเช่นนั้นก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่อยากสนทนาเรื่องนี้ต่อแล้ว จึงไม่ได้ถาม
เขารู้ดี ตวนมู่ฉางน่าจะเป็นสมาชิกของตำหนักขบถจันทร์ และสามารถพูดเรื่องเหล่านี้ต่อหน้าเขาได้ มากพอจะบ่งบอกถึงความเชื่อมั่นของตวนมู่ฉางที่มีต่อเขา
ดังนั้นสวี่ชิงขบคิดพิจารณาเรื่องที่ตวนมู่ฉางพูดในใจ
เวลาผ่านไปแต่ละวันๆ เช่นนี้เอง
แปดวันหลังจากนั้น ในที่สุดขบวนรถของพวกเขาก็มาถึงใจกลางของทางจะวันออก หุบเขากว้างใหญ่ไกลลิบๆ สะท้อนขึ้นในดวงตาสวี่ชิง
เทือกเขาทั้งสองฝั่งน่าตื่นตะลึง เหนือกว่าขุนเขาที่สวี่ชิงเคยเห็นมาทั้งหมด หินประหลาดสลับซับซ้อนบนนั้น ภายใต้ท้องฟ้าอันมืดมิด ราวกับภูตผีปีศาจร้าย
หุบเขาที่เกิดจากการยุบตัวลงไปตรงกลางเหมือนทางเข้าน้ำพุเหลืองที่เปิดออก ในขณะที่ดูน่าสยดสยองพรั่นพรึง การพัดมาของสายลมก็เหมือนเสียงผีร่ำไห้ หมาป่าหอน ดังก้องไปทั่วทิศ
กลางท้องฟ้าเหนือหุบเขามีหัวใจสีเลือดขนาดมหึมาดวงหนึ่งลอยอยู่อย่างน่าสยดสยอง
มันกำลังเต้นอยู่ เสียงตุบๆ ดังมา ยิ่งเพิ่มบรรยากาศที่แปลกประหลาดให้กับหุบเขาที่ชวนขนลุกแห่งนี้ คลุมผ้าคลุมโปร่งบางสีเลือดให้มัน
และตำหนักเทพกับรูปสลักบนนั้นก็แผ่พลังอำนาจสยบที่ครั่นคร้ามออกมา อยู่สูงส่ง
รอบๆ ยังคงมีอุกาบาตมากมายลอยอยู่ เงาร่างที่นั่งขัดสมาธิบนนั้น ก็ยังคงนิ่งไม่ขยับเช่นเคยเหมือนกับตอนที่สวี่ชิงได้เห็นเพียงแวบเดียวในตอนนั้น
ส่วนบนพื้นดินมีประตูที่รูปร่างต่างกัน วัสดุต่างกันมากมาย มีขนาดเล็ก มีขนาดใหญ่ รายล้อมอยู่รอบๆ ระลอกคลื่นส่งข้ามเป็นระลอกๆ แผ่ผ่านมาจากในประตูเหล่านี้ไม่หยุด
มีกลุ่มคนเดินออกมาและจากไปจากประตูเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา
เช่นนี้แล้วก็ทำให้กลุ่มคนบนพื้นดินในหุบเขาหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย ในนั้นมีเผ่าแปลกประหลาดมากมาย บ้างก็มีร่างจริง บ้างก็เป็นภาพมายา
แต่ส่วนใหญ่ล้วนสวมหน้ากากที่เหมือนกับตวนมู่ฉาง
พวกนี้ล้วนเป็นเผ่าของทางตะวันออกแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรานำเครื่องสังเวยของพวกเขามาบรรณาการให้กับตำหนักเทพพระจันทร์สีชาด
“ประตูพวกนั้นก็คือเผ่าสัญจรมิติ
“สวี่ชิง เจ้าไปคุยกับพวกเขาได้ ในนั้นมีหลายบานที่ส่งข้ามไปยังทางใต้ที่เจ้าอยากจะไปได้ ส่วนค่าใช้จ่าย หินวิญญาณหรือผลึกเพลิงสวรรค์ใช้ได้หมด
“ส่วนตำหนักเทพที่อยู่บนท้องฟ้าอย่าได้เงยหน้ามองเด็ดขาด”
จากการเดินเข้าไปใกล้ ตวนมู่ฉางเอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
ในฐานะที่เป็นคนพื้นที่ เขาคุ้นเคยกับขั้นตอนที่นี่ดี ตอนนี้เมื่อเตือนสวี่ชิงแล้ว สีหน้าของเขาแฝงด้วยความสะท้อนใจ เอ่ยอย่างจริงจัง
“สุดท้ายนี้ ขอให้เจ้าเดินทางปลอดภัย!”
พูดจบตวนมู่ฉางก็นำขบวนรถจากไป
มองเงาร่างของตวนมู่ฉางหายไปในกลุ่มคน สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก เดินไปในกลุ่มคนเช่นกัน
ที่นี่ผู้บำเพ็ญเผ่าต่างๆ มีมากมาย ผู้คนเดินขวักไขว่ แม้บนท้องฟ้าตำหนักเทพลอยอยู่ แต่ก็ไม่ได้สนใจคนทั้งหลายข้างล่าง ขอเพียงจ่ายเครื่องเซ่นสังเวย ทุกอย่างจัดการกันเอง
และเมื่อคนมีจำนวนมาก ก็ทำให้คนรู้สึกถึงความคึกคักประเภทหนึ่ง บางครั้งก็จะได้เห็นบางเผ่ากำลังทำการแลกเปลี่ยนกัน เสียงเอะอะเซ็งแซ่ไม่น้อย
เดินอยู่ในนั้น สวี่ชิงไม่ได้เลือกประตูขนาดใหญ่เหล่านั้น เป้าหมายของเขาอยู่ที่ประตูบานเล็กบางบาน ไม่นานนักก็พุ่งเป้าหมายไปที่ประตูไม้สูงขนาดหนึ่งจั้งบานหนึ่ง สังเกตเห็นว่าทางนั้นไม่มีใครเดินเข้าออก จึงจะเดินไป
แต่คำซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์ในเสียงเซ็งแซ่รอบๆ ทำให้ฝีเท้าสวี่ชิงหยุดชะงัก
“พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่หรือไม่ ทางตะวันตกเกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
“เรื่องที่เจ้าพูดคือเผ่าตะวันเดียวดายทางตะวันตกเมื่อห้าเดือนก่อนกระมัง พวกเขาเหมือนจะประกาศไล่ล่าทั้งเมือง”
“ข้าก็ได้ยินเรื่องนี้เหมือนกัน เหมือนว่าพวกเขาจะทำของวิเศษล้ำค่าหายไป”
“เผ่าตะวันเดียวดายในฐานะที่เป็นเผ่าพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดทางตะวันตก เมื่อหลายปีก่อนพวกเขาไม่ได้สร้างดวงอาทิตย์ให้ลอยอยู่เหนือท้องเหนือเผ่า ทำให้พื้นที่บริเวณนั้นไม่มืดมิดอีกต่อไปไม่ใช่หรือ ทว่าเมื่อห้าเดือนก่อนดวงอาทิตย์ดวงนี้ถูกคนขโมยไป…”
“อยู่ในเผ่าตะวันเดียวดาย ขโมยดวงอาทิตย์ของพวกเขาไป เรื่องนี้บ้าระห่ำนัก เผ่าพันธุ์ใดที่ทำ”
“ไม่รู้แน่ชัด เหมือนว่าแม้แต่เผ่าตะวันเดียวดายเองก็ยังรู้สึกแปลกประหลาดนัก แต่ว่าจากในประกาศพูดถึงชื่อหนึ่ง ชื่อว่าเว่ยชิงเจี้ยนเหยียน ผู้ที่ขโมยดวงอาทิตย์กำเริบเสิบสานนัก ก่อนจากไปได้สลักชื่อไว้บนพื้น แต่จะดูอย่างไรชื่อนี้ก็แปลกประหลาดนัก”
“เว่ยชิงเจี้ยนเหยียนคนนี้ตอนนี้ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วแล้ว”
เสียงเหล่านี้ดังมาจากที่ไกลๆ ในยามที่มาพร้อมกับเสียงร้องตื่นตกใจและเสียงสูดลมหายใจดังขึ้นมาในหูสวี่ชิง สีหน้าใต้หน้ากากของสวี่ชิงก็ฉายแววแปลกประหลาด
เขารู้สึกได้ตามสัญชาตญาณว่าเป็นฝีมือของนายกอง
‘เว่ยชิงเจี้ยนเหยียนอย่างนั้นหรือ’
สวี่ชิงพึมพำในใจ นึกถึงตอนที่แยกกับนายกอง อีกฝ่ายพูดอย่างภาคภูมิใจ ในอนาคตตนจะต้องได้ยินชื่อของเขาอย่างแน่นอน
และเว่ยยางจื่อ ชื่อในการปลอมตัวของนายกอง กับชื่อของอู๋เจี้ยนอูและหนิงเหยียน รวมกับคำว่าชิงของชื่อตนแล้วก็พอดีเลย
ความทุ่มเทของนายกองก็เหมือนว่าจะแสดงออกมาให้เห็นจากสี่ตัวอักษรนี้แล้ว แม้สวี่ชิงจะไม่ได้ร่วมด้วย แต่ก็ยังใส่ชื่อสวี่ชิงลงไปด้วย
สวี่ชิงถอนหายใจ เดินไปยังประตูไม้ข้างหน้า
ขณะเดียวกัน กลางท้องฟ้าเหนือหุบเขา เหนือขึ้นไปของหัวใจที่เต้นอยู่ ในตำหนักเทพมีผู้หญิงชุดแดงคนหนึ่งเดินออกมา ผู้หญิงคนนี้สีหน้าพึงพอใจ ก้มหน้าจ้องมองพื้นดิน มุมปากฉายรอยยิ้มที่ยากจะคาดเดา
“เจ้าเด็กคนนี้ รังสีอำมหิตบนร่างเข้มข้นขึ้นแล้ว”