ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 567-2 คำสัญญาใต้ทะเลเพลิงสวรรค์ (2)
บทที่ 567-2 คำสัญญาใต้ทะเลเพลิงสวรรค์ (2)
ข้างหลังนาง ในตำหนักเทพ ทุกๆ คนรวมถึงทูตเทวะในนั้นด้วย ตอนนี้นั่งขัดสมาธิ นิ่งไม่ขยับราวกับรูปสลัก
ทุกสิ่งบนท้องฟ้า หุบเขาที่นี่ไม่มีใครสังเกตได้ แม้ว่าเงาร่างของผู้หญิงคนนั้นชัดเจนมาก แต่ต่อให้เงยหน้า คนทั้งหลายก็สัมผัสไม่ได้เลย
การรับรู้ของทุกคนถูกเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว
นิ้วเทพเจ้าที่อยู่ในติงหนึ่งสามสองในร่างสวี่ชิง ทั่วทั้งกายตลบอวลไปด้วยคำสาป ขณะที่ส่งเสียงทำท่าอาเจียนไม่หยุดร่างพลันชะงักนิ่ง จากนั้นก็ทำเป็นมองไม่เห็น ส่งเสียงทำท่าอาเจียนต่อไป
สวี่ชิงสัมผัสไม่ได้เช่นกัน ตอนนี้เดินไปทางประตูไม้ข้างหน้า พูดคุยกันครู่หนึ่งก็จากไป อีกฝ่ายไม่ไปทางใต้
สวี่ชิงจึงหาเผ่าสัญจรมิติคนอื่นอย่างอดทน
จวบจนกระทั่งถามไปหลายสิบบาน เขามาถึงข้างหน้าประตูไม้ที่เล็กกว่าเดิมอีกแห่งหนึ่ง
ประตูบานนี้มีขนาดครึ่งจั้ง ดูแล้วค่อนข้างทรุดโทรม จากการเข้ามาใกล้ของสวี่ชิง กรอบประตูพลันบิดม้วนราวกับงู หลังจากขยับเขยื้อน ในประตูก็มีใบหน้าดวงหนึ่งปรากฏขึ้น มองมาทางสวี่ชิง
“สหายผู้นี้ ท่านส่งข้ามไปถึงทางใต้หรือไม่”
สวี่ชิงถามราบเรียบ
ใบหน้าในประตูประเมินสวี่ชิงครู่หนึ่ง เผยรอยยิ้มออกมา
“หินวิญญาณแสนก้อน!”
สวี่ชิงมองใบหน้าในประตูผาดหนึ่ง ราคานี้เกินสมควรไปมาก อีกทั้งหินวิญญาณของเขาส่วนมากก็ทิ้งไว้ให้ตวนมู่ฉาง ในตัวมีเหลือไม่มาก
“อย่าคิดว่าแพง ตอนนี้เป็นช่วงนาทีทอง เผ่าต่างๆ ล้วนส่งเครื่องเซ่น หากข้าไม่ได้คิดจะไปทำการค้าทางใต้ เจ้าให้หินวิญญาณข้าแสนก้อนข้ายังไม่อยากจะไปเลย ไกลเสียขนาดนั้น”
ใบหน้าในประตูเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง
สวี่ชิงหลังขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้า
“ใช้ผลึกเพลิงสวรรค์คำนวณ”
“ไม่มีปัญหา ผลึกเพลิงขาวพันก้อน หรือไม่ก็ผลึกแดงเพลิงหนึ่งก้อน” ใบหน้าในประตูได้ยินก็ดวงตาเป็นประกาย เขาชอบผลึกเพลิงสวรรค์มากกว่า
สวี่ชิงพยักหน้า เจรจากันอีกครู่หนึ่ง เพียงแต่อีกฝ่ายไม่สามารถเดินทางได้เลย เขายังมีแขกอีกหลายกลุ่มที่ส่งข้ามยังไม่เสร็จ จึงนัดว่าจะส่งข้ามที่นี่เย็นวันนี้
สวี่ชิงขมวดคิ้ว เขาวางแผนว่าจะเดินทางทันที จึงจากไปหาเผ่าสัญจรมิติคนอื่น จนกระทั่งหาจนทั่วแล้ว ประตูบานที่เร็วที่สุดก็ต้องรอสามวัน สู้ประตูไม้ทางนั้นไม่ได้
ดังนั้นสุดท้ายแล้ว เขาก็เลือกประตูไม้ครึ่งจั้งบานนี้
ตอนนี้ห่างจากพลบค่ำอีกสามชั่วยาม ชิงจึงไม่เที่ยวเดินวุ่นวาย หามุมหนึ่งขัดสมาธินั่งลง รอคอยเงียบๆ
ไม่นานเวลาก็หมุนผ่านไป หลังจากที่ผ่านไปกว่าครึ่ง ในกลุ่มคนที่เดินสัญจรผ่านไปมาสวี่ชิงก็เห็นเงาร่างของตวนมู่ฉาง
สังเกตเห็นสวี่ชิง ตวนมู่ฉางก็ก้าวเดินมา
“ยังหาเผ่าสัญจรมิติที่เหมาะสมไม่ได้อีกหรือ” ตวนมู่ฉางถาม
“หาเจอแล้ว ออกเดินทางมืดหน่อยขอรับ” สวี่ชิงมองไปข้างหลังตวนมู่ฉาง ขบวนรถก่อนหน้านี้ไม่มีแล้ว
สังเกตเห็นสายตาของสวี่ชิง ตวนมู่ฉางนั่งลงข้างๆ แล้วยิ้ม
“ส่งไปตำหนักเทพหมดแล้ว
“เรื่องก็จัดการเรียบร้อยแล้ว เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง จากไปอย่างสบายใจเถิด” สีหน้าของตวนมู่ฉางเป็นปกติ มองจุดที่ผิดปกติไม่ออก
แต่ความจริงแล้ว ในใจของเขาเต็มไปด้วยความกังวล ไม่ใช่เพราะการล่มสลายของสองเผ่า ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดกระทั่งว่าไม่พูดถึงเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ
ความกังวลของเขาคือเงื่อนไขที่ตำหนักเทพสั่งมา
ให้เขากลับไปส่งเครื่องเซ่นจำนวนห้าแสนมาภายในเวลาที่กำหนด
เรื่องนี้ยากมาก แต่ตวนมู่ฉางไม่คิดจะบอกสวี่ชิง สวี่ชิงทำเพื่อพวกเขามามากพอแล้ว เรื่องในอนาคตเขาเตรียมแก้ไขด้วยตัวเอง
สวี่ชิงมองดวงตาของตวนมู่ฉาง
ตวนมู่ฉางยิ้มๆ ด้วยเรื่องราวที่เขาประสบพบเจอ และจิตใจที่สะสมจากวันเวลา ไม่ใช่สิ่งที่สวี่ชิงจะสามารถมองออกได้ในทันที
โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์ที่เขาจงใจปกปิด ยิ่งไม่มีทางเผยช่องโหว่ออกไปแม้เพียงเล็กน้อย
“ทำไม ไม่เชื่อหรือ” ตวนมู่ฉางหัวเราะถาม
“เจ้านี่นะ ระแวงเกินไป ข้ากะว่ารอเจ้าส่งข้ามเรียบร้อยก็จะกลับไปแล้ว”
สวี่ชิงเงียบนิ่ง เขามองร่องรอยไม่ออกจริงๆ จึงพยักหน้า ตอนนี้ท้องฟ้ามืดยิ่งขึ้นแล้ว เวลาพลบค่ำมาเยือน สวี่ชิงลุกขึ้น เอ่ยลากับตวนมู่ฉาง
“วันหน้าหากมีเวลา จำไว้ว่ากลับมาหาพวกเราบ้าง” ตวนมู่ฉางสีหน้าแฝงด้วยความทอดถอนใจ
“แน่นอน!” สวี่ชิงเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“กลับมาแน่ๆ !” หลิงเอ๋อร์มุดออกมาจากปกเสื้อ ตอบเสียงกังวาน
ดวงตาตวนมู่ฉางแฝงไว้ด้วยคำอวยพร หลังจากพยักหน้าน้อยๆ สวี่ชิงก็หันหลัง เดินไปยังประตูไม้ที่อยู่ห่างไปไม่ไกล
ไม่นานก็เข้าไปใกล้ หยิบเอาผลึกเพลิงสวรรค์ออกมา
ใบหน้าในประตูไม้บานนั้นปรากฏขึ้นมาแล้วกลืนมันลงไป จากนั้นประตูก็กะพริบแสงส่งข้าม ก่อเป็นคลื่นวน สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก ก้าวเท้ากำลังจะก้าวเข้าไป
แต่ในตอนนี้เอง เสียงต่ำทุ้มเสียงหนึ่งก็ดังเนิบนาบมาจากข้างหลังเขา
“ปิดประตู”
เสียงนี้เมื่อดังขึ้น สวี่ชิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที กำลังจะก้าวไป แต่ประตูบานนั้นก็ปิดลงทันที ระลอกคลื่นส่งข้ามในนั้นหายไปทันที กลายเป็นปกติ
สวี่ชิงสีหน้าย่ำแย่ หลังจากหันไปมองข้างหลัง สายตาก็เห็นเงาร่างหนึ่งเดินมาจากที่ไกล รูม่านตาหดเล็ก
นี่เป็นหญิงสาวชุดแดงคนหนึ่ง ร่างแผ่ระลอกคลื่นพลังระดับสมบัติวิญญาณ ทุกที่ที่ผ่าน กลุ่มคนที่อยู่รอบๆ เหมือนมองไม่เห็นตัวตนของนาง แม้แต่ตวนมู่ฉางก็สัมผัสอะไรไม่ได้เลย
เหมือนว่าประสาทสัมผัสรับรู้ของพวกเขาถูกเปลี่ยน โลกที่เห็นไม่เหมือนกับสวี่ชิงทางนี้
สวี่ชิงเงียบนิ่ง ก้มหน้าประสานหมัด โค้งคารวะผู้มาเยือน
“คารวะผู้อาวุโส”
เขาจำอีกฝ่ายได้ว่าเป็นผู้รับใช้เทวะตำหนักพระจันทร์สีชาดที่ถูกตนโยนเข้าไปในรอยแยกโลงศพ แต่ทั้งๆ ที่ตายไปแล้วกลับมาปรากฏตัวอยู่ข้างหน้า คำตอบความจริงแล้วก็ง่ายที่จะวิเคราะห์
โดยเฉพาะภาพที่ประสาทสัมผัสการรับรู้ของคนทั้งหลายรอบๆ ถูกเปลี่ยนไปภาพนั้นก็ยิ่งยืนยันถึงฐานะของผู้มาเยือน
ส่วนคนอื่นๆ ในตำหนักเทพกลางท้องฟ้า หรือจะเป็นทูตเทวะคนนั้นทำไมถึงไม่รู้ตัว เรื่องนี้ยิ่งอธิบายได้ง่าย
ตัวตนที่น่าครั่นคร้ามในโลง ในเมื่อสามารถเปลี่ยนประสาทสัมผัสการรับรู้ได้ เช่นนั้นก็จะต้องเปลี่ยนประสาทสัมผัสการรับรู้ของทูตเทวะได้ แล้วใช้วิธีอะไรสักอย่างสร้างตัวตนออกมา ทุกอย่างสมเหตุสมผล
นึกถึงตรงนี้ สีหน้าสวี่ชิงเคารพนอบน้อม
หญิงสาวชุดแดงคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ภายใต้ความกดดันอย่างมหาศาลที่ผุดขึ้นมาในใจของสวี่ชิง ก็เดินมาทีละก้าวๆ สุดท้ายยืนอยู่ข้างหน้าเขา
เห็นสวี่ชิงมีท่าทีเช่นนี้ หญิงสาวชุดแดงยิ้มออกมา สำหรับเรื่องที่สวี่ชิงจำนางได้ นางไม่แปลกใจเลย
“เจ้าหนูคนนี้ ทุกครั้งล้วนมีมารยาทขนาดนี้ ทำให้ข้าเกิดจิตคิดร้ายขึ้นมาไม่ได้”
“ผู้อาวุโสฐานะสูงส่ง ผู้เยาว์ควรแล้วที่จะทำเช่นนี้ และนี่ก็เป็นสิ่งที่อาจารย์สั่งสอนข้า”
สวี่ชิงสีหน้าเคร่งขรึม
“พูดถึงอาจารย์ของเจ้าอีกแล้วหรือ” หญิงสาวชุดแดงรอยยิ้มลึกล้ำ
สวี่ชิงสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง คำนับทำความเคารพอีกครั้ง
“ในเมื่อผู้อาวุโสไม่ชอบให้ผู้เยาว์เอ่ยถึง เช่นนั้นผู้เยาว์ก็จะไม่พูดถึง”
หญิงสาวชุดแดงได้ยิน สายตาก็ประเมินไปบนร่างสวี่ชิง หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็ส่ายหน้าหัวเราะ
“ข้ารู้ว่าที่มาที่ไปเจ้าไม่ธรรมดา อาจารย์เจ้าก็น่าจะเป็นผู้วิเศษเก่งกล้า ทว่า ที่นี่คือแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา”
หญิงสาวชุดแดงพูดพลางเงยหน้ามองท้องฟ้า
สวี่ชิงเงียบนิ่ง
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เสียงของหญิงสาวชุดแดงก็ดังก้องมา
“เจ้าหนู เจ้ายังจำคำสัญญาณใต้ทะเลเพลิงสวรรค์ได้หรือไม่”
“ผู้เยาว์จำได้ขอรับ!” สวี่ชิงสีหน้าเคร่งขรึม พยักหน้าเอ่ย
“เช่นนั้น เจ้าไปที่ราบน้ำแข็งนิรันดร์ที่ทางเหนือของแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรากับข้าสักรอบก็แล้วกัน พี่สาวของข้าถูกสะกดไว้ที่นั่น และมีน้องชายหนึ่งคนถูกฝังร่างไว้ใต้ที่ราบน้ำแข็งเช่นเดียวกัน”
เสียงหญิงสาวชุดแดงแฝงด้วยรอยย้อนความหลัง แฝงด้วยความโศกเศร้า
สวี่ชิงลังเล เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ ทว่า ไม่ว่าจะอย่างไร หากไปทางเหนือ ความอันตรายที่นั่นจะต้องสูงอย่างมากแน่นอน
ด้วยความสามารถของตน ร่วมมือด้วยตอนนี้ในเรื่องแบบนี้มีความเสี่ยงสูงมาก
ส่วนผลเก็บเกี่ยวเป็นเพียงแค่อายุขัยสวรรค์เท่านั้น พิจารณาแล้วไม่คุ้มค่า
สวี่ชิงไม่ได้ซ่อนความคิดพวกนี้ไว้ในใจ แต่ฉายความลังเลออกมาบนใบหน้า
เขารู้ดี สำหรับผู้ยิ่งใหญ่ข้างหน้าผู้นี้แล้ว สีหน้าของตนแฝงด้วยความหมายอะไร อีกฝ่ายแค่มองเพียงผาดเดียวก็รู้
นี่คือวิธีที่ผู้อ่อนแอเสนอเงื่อนไขกับผู้แข็งแกร่ง
แม้ใช่ว่าจะได้ผล แต่ลองดูก็เป็นเรื่องต้องทำ
“วิธีนี้ก็เป็นสิ่งที่อาจารย์เจ้าสอนหรือ”
หญิงสาวชุดแดงกวาดตามองสวี่ชิงผาดหนึ่ง เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ น้ำเสียงสงบ แฝงด้วยความทรงอำนาจ
ในความทรงจำของเขา ตัวเองในตอนนั้น เอ่ยแบบนี้หรือสีหน้าแบบนี้ หลายคนล้วนตัวสั่น ยอมรับข้อเสนอทุกอย่างของตน
สวี่ชิงสีหน้าฉายความกระอักกระอ่วนออกมา ใช้ท่าทีเช่นนี้คลายบรรยากาศอย่างไม่รู้ตัว
เห็นเป็นเช่นนี้ ในดวงตาหญิงสาวชุดแดงฉายประกายประหลาด คิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยออกมา
“นี่เป็นการแลกเปลี่ยน ข้าต้องการให้เจ้าทำตามข้อเสนอของข้าอย่างซื่อสัตย์จริงใจ
“ประโยชน์ที่เจ้าจะได้มีสามข้อ
“หนึ่ง เจ้าจะได้อายุขัยสวรรค์
“สอง เผ่ามนุษย์ในพื้นที่ทะเลเพลิงสวรรค์จะได้รับโองการจากตำหนักเทพ ยกเว้นจำนวนเครื่องเซ่นที่เพิ่มเติมมา อีกทั้ง ก่อนวันสังเวยครั้งต่อไปจะมาถึงก็จะได้รับโองการนี้คุ้มครอง
“สาม เมื่อเจ้าทำเงื่อนไขของข้าสำเร็จแล้ว ข้าจะให้ของกำนัลลึกลับกับเจ้าชิ้นหนึ่ง
“ตอนนี้บอกการตัดสินใจของเจ้ามา” หญิงสาวชุดแดงจ้องสวี่ชิง เอ่ยขึ้นเนิบนาบ
สวี่ชิงเงียบนิ่ง เงยหน้ามองไปทางตวนมู่ฉาง
ตวนมู่ฉางตอนนี้กำลังจากไปไกล ในสัมผัสรับรู้ของเขาสวี่ชิงจากไปไกลแล้ว และเงาแผ่นหลังของเขาก็ค่อนข้างหมองเศร้าเดียวดาย เห็นได้ชัดว่าหลังจากสวี่ชิงจากไปแล้ว ความกังวลในใจเขาก็พวยพุ่งขึ้นมาแผ่ลามไปทั่วร่างกาย
“ข้าตกลง” สวี่ชิงดึงสายตากลับมา มองไปทางหญิงสาวชุดแดง เอ่ยเสียงราบเรียบ
ความเสี่ยงจากการไม่เห็นด้วยเห็นได้ชัด และประโยชน์ที่จะได้รับหลังจากตกลงแล้วกับความอันตรายสมน้ำสมเนื้อ สวี่ชิงในใจเด็ดเดี่ยว
หญิงสาวชุดแดงได้ยินก็เผยรอยยิ้ม เขาชอบคนฉลาดที่มีมารยาท จึงชื่นชมสวี่ชิงมาก หากยินยอมด้วยดีก็จะดีที่สุด เขาจะได้ไม่ต้องไปฆ่าคน
“ชีวิตนี้ข้ารักษาสัญญามาก เจ้าหนู เจ้าวางใจได้ ตามข้ามาเถิด”
หญิงสาวชุดแดงพูดพลางเดินไปทางท้องฟ้า ก้าวไปทางหัวใจทีละก้าวๆ ยืนอยู่หน้าตำหนักเทพ
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก ร่างของเขาทะยานขึ้นไป ตรงไปยังตำหนักเทพ
ไม่นานนักก็ประชิดเข้าไปใกล้ ทันทีที่มาถึงที่นี่สิ่งแรกที่เขามองไปคือรูปสลักของชื่อหมู่
รูปสลักนี้ทำให้เขาขยาดเกรงเป็นอย่างมาก
“อาจารย์ของเจ้ามีฝีมืออยู่บ้างจริงๆ หาเทพชั้นสูงให้ชื่อหมู่กลืนกิน ทำให้มันหลับในขั้นลึก”
หญิงสาวชุดแดงสายตาชัดแจ่มแจ้ง คล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม เห็นได้ชัดว่าเขารู้ทุกอย่าง
สวี่ชิงกะพริบตาปริบๆ ไม่ได้รับคำ แต่มองไปทางตำหนักเทพ มองไปตามประตูที่เปิดอยู่ เขาเห็นคนทั้งหลายที่เหมือนรูปสลักในนั้น
“รสชาติของพวกเขาไม่เลวเลย”
หญิงสาวชุดแดงพูดพลางเลียริมฝีปาก
“เจ้าไปพักสักหน่อย เล่นละครจะต้องเล่นให้แนบเนียน สามวันหลังจากนี้จะสิ้นสุดวันเซ่นสังเวย พวกเราก็จะเดินทาง”
สวี่ชิงได้ยินก็เงียบนิ่งไม่พูด ขัดสมาธินั่งลง มองไปทางตวนมู่ฉางที่หมองเศร้าโดดเดี่ยวเดินจากไปไกลบนพื้น
หญิงสาวชุดแดงสะบัดมือ แสงสีแดงทางหนึ่งพุ่งออกไปจากตำหนักเทพ แปรเปลี่ยนเป็นป้ายแผ่นหนึ่ง พุ่งตรงไปหาตวนมู่ฉาง
บนพื้นดิน ตวนมู่ฉางที่กำลังกลัดกลุ่มอึ้งตะลึง หลังจากยกมือรับเอาไว้ก็เปิดอ่านดู สัมผัสได้ถึงการคุ้มครองจากป้าย และโองการยกเลิกจำนวนเครื่องเซ่นที่มากขึ้น จึงหันมองทางตำหนักเทพอย่างตื่นตะลึงสงสัย
ตรงนั้นไม่มีอะไรทั้งสิ้น
นานหลังจากนั้น ตวนมู่ฉางดึงสายตากลับมา เดินจากไปเงียบๆ พึมพำในใจ
‘ใช่เขาหรือไม่…
‘ตัวตนของเขาคืออะไรกันแน่’
หน้าตำหนักเทพ สวี่ชิงมองเงาแผ่นหลังของตวนมู่ฉางเลือนหายไปในฟ้าดิน ในใจอวยพร
‘ขอให้ปลอดภัย’