ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 568 ความลับต้องประสงค์ (1)
บทที่ 568 ความลับต้องประสงค์ (1)
สามวันต่อมา ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดบนฟากฟ้าก็สาดแสงสีแดงเจิดจ้าจากการที่วันเซ่นไหว้สิ้นสุดลง พุ่งหวีดหวิวไปไกล
รอบๆ หัวใจ อุกกาบาตน้อยใหญ่นับสิบติดตามซ้ายขวา เคลื่อนไปข้างหน้าพร้อมกัน
เหล่าเผ่าที่ยังไม่ออกจากหุบเขา สวมหน้ากากแบบเดียวกัน ทุกตนหมอบอยู่กับพื้น คารวะส่งอย่างนอบน้อม
และการจากไปของตำหนักเทพก็ทำให้พวกเขารู้สึกโล่งใจ ผ่านการเซ่นไหว้ครั้งนี้ อย่างน้อยในช่วงห้าปีพวกเขาก็ไม่ต้องขบคิดเรื่องเครื่องเซ่นไหว้แล้ว
ขณะที่ผ่อนลมหายใจ แต่ความจริงในใจทุกเผ่าล้วนหนักอึ้ง
เพราะหากคำนวณเวลา ก็เริ่มนับถอยหลังวันที่พระจันทร์สีชาดจะมาเยือนแล้ว
ตามปกติ การกลับมาของพระจันทร์สีชาดนั้นไม่มีกำหนดเวลาแน่นอน แต่มีลักษณะเด่นอย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้คนสามารถประมาณการได้คร่าวๆ
นั่นก็คือความถี่การเก็บเกี่ยวเครื่องเซ่นไหว้ของตำหนักเทพ
ระยะเวลาที่เว้นช่วงส่งเครื่องสังเวยเปลี่ยนเป็นสามถึงห้าปีหนึ่งครั้ง ก็บ่งบอกว่าพระจันทร์สีชาด…จะปรากฏตัวได้ตลอดเวลา
ดังนั้นก่อนที่ชีวิตจะจบสิ้น ความโหดเหี้ยมอำมหิตหลายรูปแบบก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเมื่อถึงตอบจบก็คือความโกลาหลวุ่นวายถึงที่สุด ทุกเผ่าล้วนเกิดศึกสงคราม
เป็นเช่นนี้ทุกครั้ง ไม่มีข้อยกเว้น
“แผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ใกล้จะกลายเป็นนรกแล้ว” บนหัวใจสีเลือด หญิงสาวชุดแดงยืนอยู่นอกตำหนักเทพ มองแผ่นดินใหญ่ไกล เอ่ยเสียงเรียบ
สวี่ชิงยืนอยู่ข้างกายนาง หันกลับไปมองหุบเขาไกลๆ ผ่านไปนานจึงถอนสายตากลับมา ก้มหน้ามองใต้เท้าตัวเอง
สามวันนี้ เขาตรวจสอบหัวใจที่ตำหนักเทพนี้ตั้งอยู่บ้างแล้ว
หัวใจนี้ประหลาดยิ่ง มันมีพลังชีวิต ทั้งยังกำลังเต้นอยู่ เสียงตึกตักนั่นยิ่งมีพลังสั่นสะเทือนจิตใจ
“ด้านนอกตำหนักเทพพระจันทร์สีชาด ล้วนเป็นด้านบนอวัยวะบางอย่าง” เมื่อสังเกตเห็นสายตาของสวี่ชิง หญิงสาวชุดแดงก็ส่งเสียงเรียบออกมา
“ผู้อาวุโสทราบหรือไม่ขอรับว่าเป็นอวัยวะของผู้ใด” สวี่ชิงถาม
หญิงสาวชุดแดงส่ายศีรษะ
“ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยตรวจสอบเช่นกัน นี่ไม่ใช่เหล่าพี่น้องของข้า ขณะเดียวกันอวัยวะเหล่านี้ก็มีร่องรอยถูกบูชายัญมาก่อน
“ข้าถูกผนึกไว้นานเกินไป ไม่ค่อยรู้เรื่องโลกภายนอกมากนัก รับรู้ข้อมูลโลกภายนอกบางส่วนได้แค่จากการกินตัวตนของตำหนักเทพเหล่านี้
“แต่น่าเสียดาย ระดับของพวกเขาต่ำเกินไป จึงไม่รู้ว่านี่เป็นอวัยวะของผู้ใด”
สวี่ชิงพยักหน้า ตอนนี้เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดคลุมสีแดงแล้ว
นี่คือชุดคลุมบูชายัญของตำหนักเทพพระจันทร์สีชาด ฐานะของเขานอกจากศิษย์สำนักบุปผาหยินหยางแล้ว ยังได้รับคุณสมบัติทาสเทวะด้วย
“ผู้อาวุโส ข้าเคยอ่านเรื่องศึกสงครามระหว่างบิดาท่านกับพระจันทร์สีชาดในพวกบันทึกโบราณมาก่อน ทั้งที่ราบสำนึกบาปก็มีตำนานมากมาย…” สวี่ชิงครุ่นคิด และถามสิ่งที่สงสัยที่ที่สุดในใจออกมา
เขาอยากรู้ที่มาที่แท้จริงของชื่อหมู่
หญิงสาวชุดแดงเงียบนิ่ง ผ่านไปครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
“ชื่อหมู่เคยตายไปแล้วครั้งหนึ่ง เป็นบิดาข้าที่สะกดสังหาร ระหว่างนี้จึงยังมีบุญคุณความแค้นอยู่
“ตอนที่นางกลับมาอีกครั้ง นางก็กลายเป็นเทพเจ้าไปแล้ว ตอนนั้นข้าได้ยินท่านพ่อกล่าววว่า องค์ท่านกลับมาจากเขตแดนต้องประสงค์”
เมื่อหญิงสาวชุดแดงกล่าวสองประโยคนี้ออกมา จู่ๆ บนท้องฟ้าก็มีเสียงอัสนีฟาดผ่า พาดผ่านเส้นขอบฟ้า ครืนครันไปทั่วทิศ
ในใจสวี่ชิงโหมระลอกคลื่นลูกมหึมากระหน่ำซัด นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้เรื่องชื่อหมู่ จึงอดเอ่ยมาไม่ได้
“ชื่อหมู่เคยไม่ใช่เทพเจ้ามาก่อนหรือขอรับ แล้วเขตแดนต้องประสงค์คืออันใด”
หญิงสาวชุดแดงไม่ตอบกลับมาทันที แต่เงยหน้ามองท้องฟ้า แววตาฉายประกายประหลาด จากนั้นก็มองสวี่ชิง หลังจากครุ่นคิดก็กล่าวออกมา
“เทพเจ้า มีทั้งเทพที่เป็นมาแต่กำเนิด มีทั้งฝึกบำเพ็ญจนกลายเป็นเทพ มีทั้งมาจากนอกพิภพ มีทั้งมาจากส่วนลึกของแผ่นดินใหญ่”
เมื่อกล่าวออกมา เสียงอัสนีฟาดผ่าก็ดังขึ้นอีกครั้ง สั่นสะเทือนไปทั้งแปดทิศ
สวี่ชิงสัมผัสได้ว่าที่เส้นขอบฟ้ามีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล และรอบด้านตอนนี้ก็มีปราณหมอกปรากฏขึ้นส่วนหนึ่ง จู่ๆ ก็กลายเป็นพายุขนาดใหญ่ จากนั้นสายฝนโหมกระหน่ำ ยิ่งมีหิมะตกที่ไกลๆ ด้วย
การเปลี่ยนแปลงของฟ้าดินเหล่านี้ปรากฏขึ้นพร้อมกัน ทำให้สวี่ชิงนึกถึงกฎเกณฑ์วิถีสวรรค์
“เจ้ายังกล้าฟังต่อหรือไม่”
หญิงสาวชุดแดงมองสวี่ชิงอย่างล้ำลึก
สวี่ชิงมองท้องฟ้า สัมผัสอสูรสมุทรบรรพการที่กำลังฟื้นฟูหลังจากร่างแยกแตกสลายในร่างกายช้าๆ ครู่หนึ่ง ระลึกถึงภาพของต้นสิบลำไส้ จึงพยักหน้าตอบรับ
“ในเมื่อยังกล้าฟังต่อ…เอาเถอะ ข้าจะดูว่าเจ้าจะฟังได้มากเพียงใด”
หญิงสาวชุดแดงยิ้ม เอ่ยต่อว่า
“ประวัติศาสตร์ที่มีอยู่ในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ถูกจักรพรรดิโบราณที่รวมแผ่นดินต้องประสงค์เป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ลบทิ้งไปจนหมด ดังนั้นคนที่รู้จึงมีน้อยมาก และที่นั่น…ในโบราณกาล ถูกเรียกขานว่านภาจรัสมาโดยตลอด
“มีตำนานเล่าว่า อันที่จริงเผ่าต่างๆ ในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ช่วงแรกเริ่มล้วนมาจากที่นั่น
“จนกระทั่งจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวเรียกมันว่าเขตแดน”
บนท้องฟ้าส่งเสียงรุนแรงยิ่งขึ้น ความว่างเปล่ารอบๆ บิดเบี้ยวในพริบตา แรงกดดันน่าครั่นคร้ามวูบหนึ่งแผ่ออกมาจากฟ้าดิน ไม่ว่าจะท้องฟ้าหรือภูเขาแม่น้ำ พริบตานี้มีเจตจำนงพวยพุ่งขึ้นมา
ท่ามกลางเจตจำนงยิ่งใหญ่นี้ สีหน้าสวี่ชิงเปลี่ยนเป็นซีดขาว ใจสั่นสะท้านสะเทือน การเปลี่ยนแปลงของฟ้าดินเช่นนี้ คล้ายกำลังบอกกับสวี่ชิงว่า คำพูดเหล่านี้เป็นสิ่งต้องห้ามของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์
วิถีสวรรค์ทั้งหมดของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ไม่อนุญาตให้ถ่ายทอดเรื่องนี้
“น่าสนใจ ได้ยินคำพูดเหล่านี้ วิถีสวรรค์กลับยังไม่แผ่พลังสะกดให้เงียบและลืมเลือนเลย เจ้าหนู ท่าทางวิถีสวรรค์จะเอ็นดูเจ้ามาก”
สายตาหญิงสาวชุดแดงฉายแววแปลกประหลาด ประเมินสวี่ชิงอย่างละเอียด
สวี่ชิงพยายามสุขุมเยือกเย็น แต่เจตจำนงที่มาจากรอบด้าน ยังทำให้เขารู้สึกอกสั่นขวัญแขวน
“เช่นนั้นข้าจะบอกความลับกับเจ้าอีกเรื่อง อันที่จริงเทพเจ้าทุกองค์ เป้าหมายสุดท้ายของพวกเขา…” หญิงสาวชุดแดงเผยความรู้สึกสนใจออกมาแล้วกล่าวต่อ
เสียงของนางสะท้อนก้อง ทว่าสวี่ชิงกลับหดม่านตาลง เพราะเขาไม่ได้ยินเลย
เสียงรอบๆ ยังคงปกติ มีเพียงคำพูดของหญิงสาวชุดแดง ที่เขาไม่ได้ยินเลยแม้แต่น้อย
หญิงสาวชุดแดงสังเกตเห็นภาพนี้ จึงไม่กล่าวต่อ
จนผ่านไปครึ่งชั่วยาม สวี่ชิงถึงฟื้นฟูกลับมาด้วยใจที่หวาดผวา
แต่ละวันก็ผ่านไปเช่นนี้ ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดทะยานไปทางเหนือมาตลอดด้วยความเร็วที่น่าตกตะลึง
ระหว่างนี้ สวี่ชิงก็ลองถามอยู่หลายครั้ง แม้ว่าในช่วงเวลาสำคัญเขาก็จะไม่ได้ยิน แต่การทดสอบนี้ เขาก็ได้รู้ความลับมาบ้างเล็กน้อย
ในนี้รวมถึงระดับที่เหนือกว่าเตรียมสู่เทวะอีกด้วย
‘เพลิงเทวะ…’ สวี่ชิงพึมพำในใจ เขารู้แค่คำเรียกนี้ ส่วนรายละเอียด เขาไม่ได้ยิน
หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน จากการเดินทาง พื้นดินก็กลายเป็นสีขาว สายลมที่พัดมาก็เย็นขึ้นเรื่อยๆ
ธารน้ำแข็งนิรันดร์ทางเหนือ ปรากฏขึ้นในครรลองสายตาของสวี่ชิง
พื้นที่ทางเหนือทั้งหมดเกิดขึ้นจากธารน้ำแข็ง ที่นี่ไม่มีดิน มีเพียงน้ำแข็งหนาๆ ปกคลุมทุกสิ่งไว้ในส่วนลึก
ยอดเขาที่ตั้งตระหง่านก็เป็นน้ำแข็ง ทำให้ที่นี่เปี่ยมไปด้วยความโรยรา มีสิ่งมีชีวิตอยู่น้อยมาก
“พวกเรามาถึงแล้ว เจ้าหนู ตามข้ามา”
บนท้องฟ้าธารน้ำแข็งทางเหนือ ดวงตาหญิงสาวชุดแดงฉายแววระลึกย้อนความทรงจำ น้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อย เดินไปเบื้องหน้า
สวี่ชิงติดตามอยู่ด้านหลัง
ส่วนตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดก็ไม่หยุดที่นี่ มันเปลี่ยนทิศทางหวีดหวิวไปไกล
สวี่ชิงหันกลับไปมอง
“ในที่แห่งนั้นมีของกำนัลชิ้นหนึ่งที่ข้ามอบให้กับสหายเก่าตำหนักเทพพระจันทร์สีชาด มันจะพาไป”
หญิงสาวชุดแดงเอ่ยเสียงราบเรียบ เดินไปบนธารน้ำแข็ง เดินพลางสัมผัส ราวกับกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง
สวี่ชิงไม่พูดไม่จา ตามไปเงียบๆ
ทั้งสองเดินอยู่ท่ามกลางสายลมหนาวเหน็บหลายวัน ในที่สุดสวี่ชิงก็ได้เห็นสำนักแห่งหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่บนธารน้ำแข็ง ขนาดไม่เล็ก เห็นร่างของศิษย์ไม่น้อยเข้าๆ ออกๆ
“นั่นคือเผ่าเงารัตติกาล พึ่งพาอาศัยตำหนักเทพพระจันทร์สีชาด เผ่านี้เคยสร้างคุณความดีกับชื่อหมู่ จึงอนุญาตให้พวกเขาส่งคนในเผ่ารุ่นแล้วรุ่นเล่าเข้ามาเป็นองครักษ์ของตำหนักเทพ”
สีหน้าหญิงสาวชุดแดงฉายแววเย้ยหยัน ไม่พูดอะไรมาก พาสวี่ชิงไปยังสำนักนี้
การมาถึงของพวกเขา สำนักนี้ไม่ได้สังเกตเห็นแต่อย่างใด การรับรู้ของพวกเขาได้รับผลกระทบ ในสายตาพวกเขา สวี่ชิงกับหญิงสาวชุดแดงนั้นไม่มีตัวตน
เดินมาถึงด้านในเผ่าเงารัตติกาล สวี่ชิงรู้สึกสงสัย เขาไม่เข้าใจว่าทำไมสำนักนี้จึงกลายเป็นชนเผ่าหนึ่งจากคำบอกเล่าของหญิงสาวชุดแดง
จากที่เขาเห็น ศิษย์สำนักนี้มีอยู่หลายเผ่าพันธุ์ ไม่ใช่เป็นเผ่าเดียวกัน
แต่หญิงสาวชุดแดงไม่พูดอะไร สวี่ชิงก็ไม่ถามอีก ทั้งสองเดินเข้าไปในส่วนลึกของสำนักนี้ ที่นั่น บนธารน้ำแข็งมีรอยแยกขนาดยักษ์รอยหนึ่ง
ด้านนอกรอยแยกนี้ หญิงสาวชุดแดงหลับตาลงสัมผัส
“ที่นี่แหละ”
สีหน้านางเศร้าโศกเล็กน้อย เดินเข้าไปในรอยแยก
สวี่ชิงก้มหน้ามอง ครุ่นคิดแล้วเดินตามเข้าไป
ลมหนาวเย็นพัดเข้ามาจากใต้รอยแยก ที่หนาวเย็นไม่ใช่แค่กายเนื้อ จิตวิญญาณก็เช่นกัน และยิ่งลึกลงไป ความหนาวเย็นของที่นี่ก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
กระทั่งทั้งสองลงไปไม่รู้ว่าลึกเท่าไร ตอนที่เส้นผมของสวี่ชิงรวมถึงขนคิ้วกลายเป็นสีขาว พวกเขาก็มาถึงก้นรอยแยก
ที่นี่เป็นถ้ำน้ำแข็งขนาดยักษ์ ราวกับเป็นโลกใบเล็ก ท้องฟ้าแทนที่ด้วยชั้นน้ำแข็ง พื้นก็กว้างใหญ่ไร้จุดสิ้นสุด
ที่ไกลๆ สวี่ชิงเห็นทะเลสาบใต้ดินผืนหนึ่ง
น้ำในทะเลสาบนี้แปลกประหลาดอย่างเห็นได้ชัด ในที่เช่นนี้กลับไม่แข็งเป็นน้ำแข็ง บนนั้นหมอกน้ำคละคลุ้งลอยอวล มองไกลๆ ดูคลุมเครือไม่ชัดเจนอย่างยิ่ง
ในความคลุมเครือนี้ สวี่ชิงมองเห็นศิษย์ของเผ่าเงารัตติกาลไม่น้อย
ศิษย์เหล่านั้นเคลื่อนย้ายโลงศพผลึกวารีทีละใบลงมาจากด้านบน วางเรียงพวกมันไว้ที่ริมฝั่ง
และหลังจากที่ย้ายโลงศพเหล่านี้มา ศิษย์เหล่านั้นก็จากไปทันที
ส่วนในโลงศพ สวี่ชิงกวาดมองจากที่ไกลๆ คล้ายเห็นว่ามีร่างหลายร่างนอนอยู่ด้านใน ดูจากชุดแล้วก็ล้วนเป็นศิษย์ของสำนักนี้ทั้งสิ้น
ภาพนี้ทำให้สวี่ชิงรู้สึกประหลาดใจมาก ขณะที่กำลังสังเกตอย่างละเอียด จู่ๆ ทะเลสาบก็ตีเกลียวหลั่งทะลัก แถบแสงมายาที่เปล่งแสงรุ้งออกมาหลายสายก็ส่องออกมาจากด้านในราวกับรยางค์ โอบล้อมโลงศพ
รยางค์สีรุ้งทุกสาย ล้อมพันโลงศพใบหนึ่ง ลากลงไปในทะเลสาบ
ไม่นานนัก โลงศพที่นี่ทั้งหมดก็ค่อยๆ จมหายไปในทะเลสาบ และทะเลสาบก็ค่อยๆ สงบลง
“ถ้ามองเผ่าเงารัตติกาลอย่างผิวเผินคือสำนักสำนักหนึ่ง ในสำนักมีหลายเผ่าพันธุ์ แต่มีเพียงผู้ที่กลายเป็นเผ่าของพวกเขาจริงๆ เท่านั้น ที่กลายเป็นองครักษ์ของตำหนักเทพได้
“ส่วนผู้ไม่ได้กลายเป็นคนในเผ่าล้วนเป็นอาหารทั้งสิ้น”