ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 568-2 ความลับต้องประสงค์ (2)
บทที่ 568 ความลับต้องประสงค์ (2)
“หากอยากกลายเป็นคนในเผ่าพวกเขา ก็ต้องผ่านพิธีกรรมหนึ่ง เมื่อครู่เจ้าก็ได้เห็นพิธีกรรมที่ว่า ศิษย์เหล่านั้นจะถูกส่งเข้าในยังสถานที่พิเศษแห่งหนึ่ง ถ้ามีชีวิตรอดมาจากในนั้น ก็ถือว่าสำเร็จ
“เพราะที่รอดออกมา จะไม่ใช่พวกเขาอีกต่อไปแล้ว”
หญิงชุดแดงเอ่ยอย่างสงบนิ่ง
“สิงร่าง?” สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด
“บรรพจารย์ของเผ่าเงารัตติกาลเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเสด็จพ่อข้า ตอนที่ชื่อหมู่จุติ เขาเลือกทรยศ ถูกเสด็จพ่อสะกดสังหาร โลกใบใหญ่ที่ครอบครองพังทลาย แตกเป็นเสี่ยงๆ ส่วนใหญ่ถูกทำลายล้าง สรรพชีวิตด้านในล้มตายดับสูญ
“ชิ้นส่วนหนึ่งในนั้นร่วงหล่นลงมาที่นี่
“ชื่อหมู่เห็นความดีของเขา จึงอวยพรให้คนในเผ่าที่ตายในชิ้นส่วนโลกชิ้นนี้สามารถรักษาเศษเสี้ยววิญญาณเอาไว้ได้ เผ่าเงารัตติกาลจึงปรากฏขึ้น”
เมื่อสวี่ชิงได้ยินก็หันหน้าไปมองทะเลสาบอีกครั้ง เขารู้ดีว่าการถูกเจ้าเหนือหัวสะกดสังหารด้วยตนเองได้ ทั้งโลกใบใหญ่ก็พังทลาย อธิบายได้ว่าบรรพจารย์เผ่าเงารัตติกาลตนนั้นมีพลังบำเพ็ญคือเตรียมสู่เทวะ
“ไปกันเถอะ ที่ที่พวกเราจะไป ยังไม่ใช่ที่นี่”
หญิงสาวชุดแดงมองทะเลสาบ ในดวงตาเกิดระลอกคลื่นขึ้นเล็กน้อย หันหลังเดินไปยังส่วนลึกของถ้ำน้ำแข็ง
สวี่ชิงสังเกตเห็นความนัยที่แฝงในคำพูดของอีกฝ่าย ไม่ถามอะไรมาก เดินตามไปด้านหลัง ไกลออกไปเรื่อยๆ
ทว่าเนื่องจากรยางค์สีรุ้งในทะเลสาบก่อนหน้านั้นกระชากเร็วเกินไป โลงศพที่มีจำนวนมาก ประกอบกับสายตาและสัมผัสรับรู้ในระดับหนึ่งถูกปิดกั้น สวี่ชิงจึงไม่ทันสังเกตว่าในโลงศพใบหนึ่ง มีร่างที่เขาคุ้นเคยร่างหนึ่งนอนอยู่
ตอนนี้ ใต้ทะเลสาบนั่น จู่ๆ ศพร่างหนึ่งที่นอนอยู่ในบรรดาโลงศพที่มีนับร้อยใบก็ขยับตัว ดวงตาทั้งคู่ค่อยๆ ลืมขึ้น กวาดตามองไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว
หลังจากสังเกตเห็นน้ำทะเลสาบด้านนอก สีหน้าคนผู้นี้ก็เผยความลำพองใจออกมา จากนั้นก็มองรยางค์สีรุ้งที่ดึงโลงศพอย่างรวดเร็ว สายตาลำพองใจก็ยิ่งเข้มข้น
‘จากนั้นเข้าไปด้านในโลกใบเล็กของเผ่านี้ ข้าก็สามารถเริ่มแผนการได้แล้ว
‘ไม่รู้ว่าตอนนี้อาชิงน้อยเป็นอย่างไรบ้าง คิดแล้วคงจะไม่ได้มีชีวิตชีวาและเร้าใจเท่าข้าหรอก เขาน่าจะรอข้าอยู่ที่เขาวัวสวรรค์มิรู้สิ้นกระมัง…’
ศพร่างนี้ คือนายกองนั่นเอง
‘อาชิงน้อยเอ๋ย ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้ไปสายหรอก ไม่มีทางเลือก เพื่อการใหญ่ของพวกเรา เจ้าก็รอที่นั่นอีกสักหน่อยแล้วกัน ใครให้เจ้าไม่ตามข้ามาเล่า’
ขณะที่ในใจนายกองไม่ยอมแพ้ โลงศพสั่นสะเทือน เขารีบปิดตาลง แสร้งตายต่อไป
ขณะเดียวกัน ใต้ธารน้ำแข็งที่ไกลจากทะเลสาบ หญิงสาวชุดแดงเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมาถึงนางก็โบกมือดึงสวี่ชิงให้ไปเดินด้านหน้า
ความเร็วของนางน่าครั่นคร้ามยิ่ง หลังผ่านไปเจ็ดแปดชั่วยาม ก็พาสวี่ชิงมายังส่วนลึกสุดของธารน้ำแข็งแห่งนี้
กลิ่นอายเย็นเยียบที่นี่เข้มข้นถึงขีดสุด ยิ่งแผ่ซ่านพลังผนึกต้องห้ามพระจันทร์สีชาดอกมาเป็นระลอก
เมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังผนึกต้องห้าม ดวงตาสวี่ชิงก็หรี่ลง เขารู้ว่าถึงที่หมายแล้ว
ก็เป็นเช่นนี้จริงๆ ไม่นานนักหญิงสาวชุดแดงก็หยุดยืนอยู่บนชั้นน้ำแข็ง ก้มหน้ามองเบื้องล่าง สีหน้าฉายแววโศกสลด
ความโศกเศร้านี้เข้มข้นยิ่ง ส่งผลกระทบไปรอบด้าน ทำให้ที่นี่คล้ายมีเสียงร้องไห้ดังก้องเลาๆ
สีหน้าสวี่ชิงเคร่งขรึม นึกถึงจุดประสงค์ที่อีกฝ่ายเคยพูดไว้ตอนอยู่ที่ตะวันออกก่อนหน้านี้ จึงมองตามสายตาของหญิงสาวชุดแดงลงไปยังชั้นน้ำแข็งใต้เท้า เมื่อมองลงไป เขาก็เพ่งสมาธิ
ที่แห่งนี้ขมุกขมัว ด้านในธารน้ำแข็งก็เป็นเช่นนี้ สิ่งที่อยู่ในครรลองสายตาสวี่ชิงจึงเป็นความมืดมิด แต่เขาก็สัมผัสได้รางๆ ว่าด้านล่างคล้ายจะมีสิ่งของขนาดมหึมาอยู่
“เจ้าอยากเห็นหรือไม่”
ครู่ต่อมา หญิงสาวชุดแดงก็เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา ทั้งๆ ที่เป็นคำถาม แต่นางกลับไม่ให้สวี่ชิงตอบ ระหว่างที่เอ่ย นางก็ยกมือขึ้นโบกเบาๆ
ฉับพลันในธารน้ำแข็งรอบๆ ก็มีแสงหิ่งห้อยนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น
แสงหิ่งห้อยเพียงตัวเดียวริบหรี่มาก แต่หลังจากที่มีจำนวนมากขึ้น พื้นที่รอบๆ จึงสว่างไสวไปหมด
ด้วยแสงที่กระจัดกระจาย สวี่ชิงจึงเห็นทิวทัศน์ใต้ธารน้ำแข็ง ในใจโหมระลอกคลื่น
ใต้ธารน้ำแข็ง มีศพร่างหนึ่งนอนอยู่
ศพร่างนี้ขนาดราวหมื่นจั้ง ถูกผนึกอยู่ในชั้นน้ำแข็ง สวมชุดเกราะสงครามสีน้ำตาลทั้งตัว
ต่อให้ตายไปนานมากแล้ว แต่เสี้ยวพริบตาที่สวี่ชิงมองเห็น ปราณพิฆาตจากร่างเขาก็ยังทะลวงเข้าไปในสมอง กลายเป็นเสียงคำรามอย่างโกรธแค้น
สวี่ชิงร่างสั่นเทิ้ม ถอยหลังไปหลายก้าว สะกดระลอกคลื่นในใจ แล้วเพ่งมองอย่างละเอียด
ศพร่างนี้เป็นชายหนุ่มผู้หนึ่ง ใบหน้าห้าวหาญ หล่อเหลาอย่างยิ่ง โดยเฉพาะคิ้วคมราวกระบี่ เปี่ยมไปด้วยความองอาจผึ่งผาย
เพียงแต่กลางหน้าผากมีตะปูสีดำขนาดยักษ์ตัวหนึ่งแทงทะลุศีรษะ เลือดสดแข็งตัวอยู่บนแก้ม ทำให้สีหน้าเขาเปี่ยมไปด้วยความโหดเหี้ยม
ส่วนร่างกายของเขาน่าสยดสยองยิ่งกว่า แห้งเหี่ยวไปแล้วเกินครึ่ง เห็นส่วนที่ยังไม่แห้งเหี่ยวหลายจุดมีปราณเลือดกระจายออกมา
ปราณเลือดที่แฝงไว้ด้วยความตายเหล่านี้ กระจายไปใต้ธารน้ำแข็งไม่รู้ว่ารวมตัวในจุดที่ไกลออกไปที่ใด
ภาพนี้ ทำให้สวี่ชิงคาดเดาอยู่ในใจมากมาย มองหญิงสาวชุดแดงที่สีหน้าโศกเศร้าข้างๆ
“นี่คือน้องสามของข้า ตอนเขายังเด็กชอบติดตามข้าเป็นพิเศษ ข้าในฐานะที่เป็นรัฐทายาท ต้องช่วยท่านพ่อจัดการงานราชการ ราชกิจรัดตัว หากข้าเดินไปที่ใด เขาก็จะเดินตามด้านหลังต้อยๆ บางครั้งข้าก็รำคาญแล้วทิ้งเขาไว้ เขาก็จะร้องไห้พร้อมร้องเรียกว่าท่านพี่…
“นิสัยเขาค่อนข้างหุนหันพลันแล่น เข้ากับน้องเก้าของข้าไม่ได้ ทั้งสองคนชอบทะเลาะกันบ่อยๆ…
“และทุกครั้งข้า ก็จะลำเอียงเข้าข้างเจ้าเก้า”
หญิงสาวชุดแดงเอ่ยเสียงแผ่วเบา
สวี่ชิงเงียบนิ่ง เขาสัมผัสได้ว่าความโศกเศร้ารอบๆ เข้มข้นขึ้น
“ตะปูที่หน้าผากคืออาวุธของเสด็จพ่อ น้องสี่ของข้าตอกมันลงไปที่กลางหน้าผากเขา
“เจ้ารู้หรือไม่ เดิมน้องสี่จะจัดการข้า แต่น้องสามยอมตายแทนข้า”
หญิงสาวชุดแดงกล่าวถึงตรงนี้ก็คลี่ยิ้ม เสียงก้องสะท้อน
“เจ้าหนู ข้ายังไม่ได้แนะนำน้องสี่คนนั้นของข้ากับเจ้าเลย เขาอาศัยเรื่องตอนที่ชื่อหมู่มาเยือนแสดงความภักดี ตอนนี้โด่งดังเลื่องชื่อมาก กลายเป็นบุตรเทวะของแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราไปแล้ว”
เมื่อสวี่ชิงฟังถึงตรงนี้ก็พลันใจสั่นสะท้าน เขารู้ว่าที่ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรามีบุตรเทวะอยู่ และเดาไว้ว่าอีกฝ่ายต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าที่มาของบุตรเทวะตนนี้จะเป็นเช่นนี้
บุตรชายคนที่สี่ของเจ้าเหนือหัวในตอนนั้น คือบุตรเทวะพระจันทร์สีชาดในตอนนี้!
“หลายปีที่ผ่านมา คนที่คอยป้อนอาหารพวกเราก็คือเขา” หญิงสาวชุดแดงยิ้มออกมา
“เขากังวลว่าพวกเราพี่น้องจะตายเร็วเกินไป จึงเอาประชาชนมาให้พวกเรากิน เมื่อก่อน บางครั้งเขายังเอาใจใส่ขั้นเฉือนเนื้อของพวกเราแลกเปลี่ยนกันกิน
“ต่อมา เขาก็ไม่ค่อยปรากฏตัวออกมาแล้ว
“ดังนั้นเจ้าดูสิ เขาดีกับพวกเราพี่น้องเพียงใด”
หญิงสาวชุดแดงกัดฟัน แววตาเผยจิตสังหารรุนแรง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าปราณเลือดของน้องสามไปที่ใด
“อีกประเดี๋ยวเจ้าก็จะรู้แล้ว”
สวี่ชิงเงียบนิ่ง เขาไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ทำได้เพียงถอนหายใจ
เขาได้ฟังเรื่องราวมากมายระหว่างที่เดินทางกับอีกฝ่ายตลอดทาง ก็พลันเข้าใจเรื่องราวในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรามากขึ้น
แต่ยิ่งเข้าใจ เขาก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงแรงกดดันของทุกสรรพชีวิตบนแผ่นดินใหญ่ผืนนี้
“เจ้าหนูน้อย ช่วยข้าเปิดช่องโหว่ผนึกต้องห้ามพระจันทร์สีชาดของที่นี่ที แค่รอยเล็กๆ ก็พอ” หญิงสาวชุดแดงมองสวี่ชิง สีหน้ากลายเป็นราบเรียบ
สวี่ชิงพยักหน้า นั่งลงขัดสมาธิกระตุ้นปราณก่อกำเนิดพระจันทร์สีม่วงในร่างกาย ชั่วพริบตาคลื่นพลังพระจันทร์สีชาดรอบๆ ก็รุนแรงขึ้น พลังผนึกต้องห้ามพลันปะทุ รอบๆ ปรากฏเส้นใยสีแดงออกมา
เส้นใยเหล่านี้แผ่ขยายไปรอบทิศกลายเป็นตาข่ายขนาดยักษ์ ปกคลุมทุกสิ่ง ไม่นานนักเส้นใยเส้นบางส่วนในนี้ก็เปลี่ยนสีไป แผ่เจตจำนงสีม่วงออกมา
จนกระทั่งตอนที่กลายเป็นสีม่วงทั้งหมด ผนึกต้องห้ามพระจันทร์สีชาดที่นี่ก็พลันหยุดชะงัก เริ่มหมุนช้าๆ
สวี่ชิงหายใจหอบถี่ สำหรับเขา นำผนึกต้องห้ามที่นี่มาใช้ไม่ยาก แต่หากจะเปิดช่องโหว่นั้นยากไม่น้อย
ดังนั้นสิ่งที่เขาทำได้ตอนนี้ คือสูดรับพลังพระจันทร์สีชาดที่นี่ ทำให้ผนึกต้องห้ามเบาบางลง จากนั้นก็ใช้อำนาจพระจันทร์สีม่วงของตนเอง ฝืนเปิดช่องโหว่เล็กน้อย
นี่คือขีดจำกัดของเขาในตอนนี้
เวลาผ่านไปช้าๆ ไม่นานก็ล่วงเลยไปสามวัน
ในสามวันนี้ สวี่ชิงสูดรับและผสานอย่างต่อเนื่อง จนถึงช่วงสายัณห์ของวันที่สาม เขาก็มาถึงระดับสูงสุดที่ร่างกายตนเองจะแบกรับไหว ลืมตาขึ้นฉับพลัน ยกมือขวาขึ้น กดลงไปที่ชั้นน้ำแข็งเบื้องล่าง
ผนึกต้องห้ามพระจันทร์สีชาดรอบๆ ตีเกลียวฉับพลัน กลายเป็นคลื่นวนวงหนึ่ง
แทบจะพริบตาที่คลื่นวนปรากฏขึ้น ร่างของหญิงสาวชุดแดงก็เลือนราง สลายหายไปในพริบตา กลายเป็นปราณหมอกสีน้ำเงินดวงหนึ่ง เห็นได้รางๆ ว่ามีเศษเสี้ยววิญญาณดวงหนึ่งอยู่ในปราณหมอก
รูปร่างของวิญญาณนี้เป็นชายหนุ่ม คล้ายคลึงกับชายหนุ่มใต้ธารน้ำแข็ง แต่น่าเกรงขามยิ่งกว่า ตอนนี้ลอยไปที่คลื่นวนอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาก็ลองพุ่งผสานเข้าไปภายใน
ผนึกต้องห้ามพระจันทร์สีชาดปะทุอย่างรุนแรง กลายเป็นการสกัดกั้น สวี่ชิงควบคุมไว้อย่างสุดกำลัง ความรู้สึกเหมือนลูกม้าตัวน้อยลากรถคันใหญ่เช่นนั้น ทำให้เขารู้สึกประหนึ่งวิญญาณถูกฉีกกระชาก ปราณก่อกำเนิดพระจันทร์สีม่วงสั่นสะท้าน สีหน้าทุกข์ทรมาน
นี่เพียงผสานเศษเสี้ยววิญญาณจากภายนอกสู่ภายใน นึกภาพออกเลยว่าหากที่ผสานไม่ใช่แค่เศษเสี้ยววิญญาณ หากผสานจากภายในสู่ภายนอก เช่นนั้นต่อให้สวี่ชิงทุ่มกำลังทั้งหมด คงไม่อาจทำให้อีกฝ่ายผสานได้สำเร็จ
แม้ขณะนี้สวี่ชิงจะทำอะไรได้ไม่มาก
แต่ตัวตนในโลงศพนั่น มั่นใจได้ว่าหลังจากที่เขาหลบหนีออกมาได้แล้วจะเลือกที่นี่ทันที
ตอนนี้วิญญาณของเขาเปล่งแสงสีน้ำเงินวูบวาบ เลือกที่จะแผดเผาแลกกับพลังถึงขีดสุด ใช้คลื่นวนที่สวี่ชิงสร้างขึ้น พุ่งทะลวงเข้าไป
ขณะที่ครืนครัน สวี่ชิงกระอักเลือดออกมาเจ็ดแปดครั้ง ปราณก่อกำเนิดพระจันทร์สีม่วงก็หม่นหมองลง ส่วนเศษเสี้ยววิญญาณของชายหนุ่มคนนั้น ในที่สุดก็ทำลายผนึกต้องห้ามได้กลายเป็นช่องโหว่เล็กๆ ทางหนึ่ง จากนั้นก็ผสานเข้าไป
หลังจากเข้าไปในผนึกต้องห้าม เศษเสี้ยววิญญาณนี้ก็สลายหายไปอย่างเห็นได้ด้วยตาเนื้อ คล้ายจะอดทนได้ไม่นานนัก เขาไม่ลังเลแม้แต่น้อย ตรงไปยังตะปูที่ตอกอยู่หน้าผากของน้องสามทันที
ก่อนจะสลายไปทั้งหมด ก็ผสานเข้าไปด้านในหายวับไป
สวี่ชิงเช็ดเลือดที่มุมปาก ถอยออกมาเล็กน้อย นั่งขัดสมาธิปรับลมหายใจ เขาทำเต็มที่แล้ว แผนการของอีกฝ่ายจะสำเร็จหรือไม่ ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดคะเนได้
ขณะเดียวกัน ใต้ทะเลสาบแห่งนั้นที่ไกลจากที่นี่ หลายวันหลังจากที่โลงศพนับร้อยใบถูกรยางค์สีรุ้งดึงลงไป ในที่สุดก็ลงมาถึงก้นบึ้งทะเลสาบ
ที่นั่นมีคลื่นวนคลื่นหนึ่งอยู่ ด้านในแผ่คลื่นพลังที่แฝงความละโมบและอารมณ์ปรารถนาเอาไว้
โลงศพเหล่านี้ถูกมันดึงดูดเข้าไปในคลื่นวน
เข้าไปในโลกแปลกประหลาดใบหนึ่ง
นายกองที่นอนอยู่ในโลงศพหนึ่งในนั้น ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ฉายแววคาดหวังออกมา
“ในที่สุดก็มาถึง ฮ่าๆ เจ้าพวกนกกระจอก ข้ามาถึงแล้ว!”