ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 569 อาวุธเทพเจ้าเหนือหัวสะกดที่ราบแดนเหนือ (1)
บทที่ 569 อาวุธเทพเจ้าเหนือหัวสะกดที่ราบแดนเหนือ (1)
ใต้ธารน้ำแข็ง หลังจากที่รัฐทายาทเจ้าเหนือหัวผสานเข้าไปในตะปูกลางหน้าผากน้องสาม ก็ไม่มีกลิ่นอายใดๆ แผ่ออกมาอีก
ส่วนตะปูนั่นดูแล้วก็คล้ายจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงด้วย
ทุกอย่างราวกับไม่มีอะไรเคยเกิดขึ้นมาก่อน
สวี่ชิงนั่งขัดสมาธิลงในที่ที่ไกลออกมา จ้องมองธารน้ำแข็งใต้เท้า สายตาฉายแววครุ่นคิด ครู่ต่อมาเขาก็ลุกขึ้นยืนช้าๆ ถอยหลังอย่างระมัดระวัง ลองหนีออกมา
แม้ติดตามอีกฝ่ายมาตลอดทางเขาจะไม่พบกับอันตรายใด แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเรื่องที่อาจเกิดขึ้นหลังจากนี้จะปกติเหมือนระหว่างทางที่มา
ดังนั้นตอนนี้ สวี่ชิงคิดว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่ตนจะจากไปแล้ว
ส่วนเรื่องหลังจากนี้ พลังบำเพ็ญตอนนี้ของตน ไม่เข้าร่วมจะดีที่สุด
แต่ตอนที่สวี่ชิงถอยหลังมาไม่ถึงสิบก้าว จู่ๆ ตะปูบนใบหน้ายักษ์นั้นก็เปล่งแสงวูบวาบขึ้นมากะทันหัน เสียงทุ้มต่ำสะท้อนก้องในใจสวี่ชิง
‘เจ้าหนูน้อย ยังไม่ถึงเวลาไป รอข้าสักครู่’
สวี่ชิงชะงักฝีเท้า ตอนที่ชั่งน้ำหนักในใจอย่างรวดเร็ว เสียงทุ้มต่ำดังก็มาอีกครั้ง
‘หากเจ้าจะไป ข้าจะไม่รั้งไว้ อันที่จริงตอนนี้ข้าก็ไม่มีกำลังเหลือจะรั้งเจ้า
‘แต่เจ้าเคยกล่าวกับข้าว่าชื่อหมู่เป็นศัตรูตนเดียวกันของเจ้ากับข้า ครั้งนี้…ข้าเตรียมจะทำการใหญ่เรื่องหนึ่ง เจ้าช่วยข้า โอกาสสำเร็จก็ยิ่งสูง เจ้าไม่ช่วยข้า ข้าก็ยังจะทำดังเดิม
‘อนาคตอยู่ที่ฝีเท้าของเจ้า เจ้าตัดสินใจเอาเองเถิด’
เสียงไม่สะท้อนก้องอีก
สีหน้าสวี่ชิงไร้อารมณ์ ก้มหน้ามองร่างมหึมาที่อยู่ในธารน้ำแข็งใต้เท้า ครู่ต่อมาเขาก็ประสานหมัดคารวะ หันหลังหวีดหวิวจากไป เพียงพริบตาก็ไม่เห็นแม้เงา
ที่นี่เงียบสงัดไปหมด ครู่ต่อมา เสียงถอนหายใจแผ่วเบาเสียงหนึ่งก็ดังก้องขึ้นใต้ธารน้ำแข็ง
หลังจากนั้นสี่ชั่วยาม จุดที่มืดมิดไกลๆ ร่างของสวี่ชิงพลันปรากฏขึ้น เมื่อมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้ขัดขวางที่ตนจากมา เขาจึงเลือกย้อนกลับไป ตอนที่ย้อนกลับไปได้หนึ่งเค่อเขาก็นั่งลงขัดสมาธิ เอ่ยอย่างสงบนิ่ง
“ข้าจะรอท่านหนึ่งวัน!”
“ขอบคุณ!” ใต้ธารน้ำแข็ง เสียงทุ้มต่ำดังก้อง
สวี่ชิงหลับตา เฝ้ารอเงียบๆ
ขณะเดียวกัน ในบริเวณที่ห่างจากที่นี่ระยะหนึ่งใต้ธารน้ำแข็ง เรื่องใหญ่อีกเรื่อง กำลังจะเปิดฉากขึ้น
รัฐทายาทที่พาสวี่ชิงมาที่นี่ เขาไม่ได้โกหกสวี่ชิง
เผ่าเงารัตติกาลที่อาศัยอยู่บนธารน้ำแข็งนิรันดร์ บรรพจารย์เผ่าก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าเหนือหัว และตอนที่ชื่อหมู่มาเยือนก็เลือกทรยศ
ต่อมาถูกเจ้าเหนือหัวสะกด จนร่างกายแตกสลาย โลกใบใหญ่พังทลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ส่วนใหญ่กลายเป็นเถ้าธุลี มีเพียงชิ้นส่วนแกนกลางร่วงหล่นอยู่ที่นี่ ฝังอยู่ใต้ธารน้ำแข็ง
ในชิ้นส่วนแกนกลางนั้น แฝงจิตวิญญาณความตายนับไม่ถ้วนในโลกใบใหญ่ของผู้ทรยศตนนั้นเอาไว้ พวกมันเลื่อนลอย ไร้สติสัมปชัญญะ ส่วนใหญ่อยู่ในห้วงนิทราลึก
เพราะการกระทำในตอนนั้นถูกเข้าใจว่าเป็นความดีความชอบ จึงปล่อยให้จิตวิญญาณความตายในชิ้นส่วนโลกใบนี้ยึดร่างแล้วออกไป จึงเกิดสำนักเผ่าเงารัตติกาลต่อมาภายหลัง
แต่การแบ่งแยกระหว่างหยินหยาง ไม่ใช่สิ่งที่จะก้าวข้ามได้ง่ายดายเช่นนั้น
ในนี้มีข้อจำกัดอยู่ไม่น้อย ดังนั้นหลายปีมานี้แม้เผ่าเงารัตติกาลจะกลับมามากมาย แต่ส่วนใหญ่ก็ตายอยู่ในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา
มีคนกล่าวว่า นี่คือสิ่งที่เกิดจากความโกรธแค้นที่ผสานกับวิถีสวรรค์ของเจ้าเหนือหัว
ที่ที่คลื่นวนใต้ทะเลสาบเชื่อมอยู่ ก็คือชิ้นส่วนโลกใบใหญ่นั้น
แม้จะเป็นเพียงชิ้นส่วน แต่ความจริงแม้จะถูกฝังอยู่ใต้ธารน้ำแข็งนิรันดร์ลึกนี้ อาณาเขตก็ไม่ได้แตกต่างกับโลกใบเล็กใบหนึ่งไม่มากนัก
ดวงไฟจิตวิญญาณริบหรี่ใต้ธารน้ำแข็ง คือต้นกำเนิดแสงของที่แห่งนี้
หิมะสีดำที่โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า ทับถมพื้นดินเป็นชั้นๆ ลมหนาวพัดมาที่นี่เป็นระลอก ส่งเสียงหวีดหวิวอื้ออึงราวกับผีคร่ำครวญหมาป่าเห่าหอน
หากมีคนธรรมดาได้ยิน จะต้องจิตวิญญาณสั่นสะท้านแน่นอน
ดั่งนรกอเวจี
ท่ามกลางความืดสลัวที่สามารถมองเห็นได้อย่างเลือนรางว่าธารน้ำแข็งสีดำของโลกใบนี้ก่อตัวเป็นผืนแผ่นดินกับเทือกเขา วิญญาณความตายนับไม่ถ้วนล่องลอยไปมาอย่างไม่มีจิตสำนึก เข้าออกธารน้ำแข็งทั้งด้านในและด้านนอก
สำหรับพวกมันแล้ว ไม่มีแนวคิดเรื่องเวลา ในความเลื่อนลอยนี้ เหลืออยู่เพียงสัญชาตญาณความหิวโหยเท่านั้น
สิ่งมีชีวิตทั้งหมด ล้วนเป็นเป้าหมายในการแย่งชิงของพวกมัน
ตอนนี้ ที่ชายขอบชิ้นส่วนโลกใบใหญ่ จู่ๆ ในความว่างเปล่าก็เปล่งแสงประกายหลากสีสัน ตอนแรกแสงนี้เป็นสีชาด จากนั้นก็มีสีน้ำเงิน สีเหลืองเพิ่มขึ้นมา จนสุดท้ายกลายเป็นสีรุ้ง กระจายไปทั่วสารทิศ
ท่ามกลางแสงสีรุ้งพร่างพราย จิตวิญญาณนับไม่ถ้วนในโลกนี้ก็พุ่งเป้ามาที่นี่ตามสัญชาตญาณ กระทั่งจิตวิญญาณที่หลับใหลอยู่ใต้ธารน้ำแข็งลึก ก็มีเค้าลางว่าจะตื่นขึ้นมา
จากนั้น ก็มีแถบแสงหลายสายปรากฏขึ้นในคลื่นวนสีรุ้ง พันโลงศพผลึกวารีหลายใบยื่นออกมาราวกับรยางค์ นำโลงศพเหล่านี้วางไว้บนธารน้ำแข็งสีดำ
หลังจากวางโลงศพนับร้อยใบเรียบร้อยแล้ว แถบแสงสีรุ้งเหล่านี้ก็ค่อยๆ หดกลับไปผสานกับคลื่นวนแล้วสลายหายไป
แต่คลื่นวนยังคงอยู่ กำลังเฝ้ารอ
ไม่นานนัก ลมหนาวในที่แห่งก็มีเสียงหวีดแหลม จิตวิญญาณคนตายเหล่านั้นแต่ละดวงที่ลอยอยู่กลางอากาศพุ่งมาอย่างรวดเร็ว ราวกับหมาป่าที่หิวโหย
ราวกับในความรู้สึกของพวกมันโลงศพเหล่านั้นคือลูกแกะตัวน้อย
พลังชีวิตที่แผ่ซ่านออกมา ทำให้พวกมันคลุ้มคลั่งไปตามสัญชาตญาณ
มองไกลๆ จิตวิญญาณเหล่านี้หวีดหวิวมา เพียงพริบตาก็โถมเข้าไปใกล้กับโลงศพ
จำนวนมากมายมหาศาล ก่อตัวเป็นพายุคลั่งสีดำลูกหนึ่ง พัดกวาดไปทั่วสารทิศ
เห็นได้ชัดว่าโลงศพก็ทำขึ้นด้วยวัสดุพิเศษ สามารถผนึกศิษย์ที่อยู่ด้านในได้ แต่ไม่อาจขัดขวางจิตวิญญาณความตายที่ผสานเข้าไปจากภายนอกได้ ไม่นานนักจิตวิญญาณอย่างน้อยนับหมื่นดวงก็มุดเข้าไปในโลงศพเหล่านี้
ร่างกายที่ถูกปิดผนึกไว้ล้วนผ่านการจัดการมา จิตวิญญาณของพวกเขาดับสลายไปนานแล้ว เหลืออยู่เพียงกายหยาบ
เช่นนี้ก็จะยิ่งทำให้สิงร่างได้สะดวก
เพียงแต่ความเลื่อนลอยและไม่มีระเบียบของจิตวิญญาณความตาย ทำให้พวกมันไม่ได้เลือกเข้าสิงทันที การกลืนกินต่างหากที่เป็นความต้องการอันดับแรก นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ที่จะกลายเป็นเผ่าเงารัตติกาลสำเร็จจึงมีไม่มาก
ดังนั้นในชั่วพริบตานี้ จึงมีกายหยาบในโลงศพนับสิบใบที่แห้งเหี่ยวไปอย่างเห็นได้ชัด การกลืนกินในร่างกายของจิตวิญญาณความตายนับร้อย ทำให้พวกเขากลายเป็นศพอย่างแท้จริงในชั่วไม่กี่อึดใจ ต่อมาจิตวิญญาณเหล่านั้นก็พุ่งออกมาอีกครั้ง ไปยังโลงศพอื่นต่อ
ขณะเดียวกัน กลิ่นหอมที่โลงศพนับร้อยนี้แผ่กำจายออกมา ก็กระตุ้นจิตวิญญาณที่หลับใหลอีกมากมายใต้ธารน้ำแข็งสีดำ
ไม่นานนักจิตวิญญาณความตายที่มีกลิ่นอายเหนือกว่าจิตวิญญาณทั่วไปมาก ก็พุ่งออกมาจากในธารน้ำแข็งสีดำนี้ทีละสาย มาพร้อมกับความโลภและบ้าคลั่งพุ่งมาอย่างรวดเร็ว
แย่งกันลอดเข้าไปในโลงศพเหล่านี้ กระทั่งช่วงชิงและกัดกินกันเอง
เมื่อเทียบกับจิตวิญญาณทั่วไป จิตวิญญาณความตายที่ตื่นขึ้นจากการหลับใหลใต้ธารน้ำแข็งเหล่านี้แข็งแกร่งกว่ามาก ยิ่งได้รับกายหยาบที่สมบูรณ์ง่ายกว่า เมื่อเข้าไปก็เกิดอยากช่วงชิงร่างโดยสัญชาติญาณ
ดังนั้นไม่นานนัก ที่แห่งนี้ก็ปรากฏผู้ที่สิงร่างสำเร็จคนแรก จากเสียงครืนครันกึกก้อง มีโลงศพใบหนึ่งแตกสลายเป็นชิ้นๆ ร่างที่นอนอยู่ด้านในก็ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง
นี่เป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง สีหน้าเฉยชาของเขาตอนนี้ค่อยๆ เปลี่ยนไป แผ่คลื่นอารมณ์ออกมา กลิ่นอายชั่วร้ายปะทุออกมาจากร่างกาย สุดท้ายดวงตาทั้งสองก็ฉายแววปรารถนา เงยหน้าขึ้นมองไปทางคลื่นวนสีรุ้ง
จากนั้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ก้าวไปด้านหน้าอย่างทุลักทุเล
ตอนแรกราวกับหุ่นเชิดไม้ เดินหนึ่งก้าวหยุดหนึ่งก้าว แต่เมื่อเริ่มคุ้นเคยกับร่างกาย ความรู้สึกทุลักทุเลก็หายไปอย่างรวดเร็ว
หลังผ่านไปสิบกว่าอึดใจ เขาก็ปรับตัวได้อย่างสมบูรณ์ ร่างทั้งร่างถลาเข้าไปในคลื่นวน ขึ้นไปสู่โลกมนุษย์
ไม่นานนัก ก็มีโลงอีกใบหนึ่งปริแตกและเผยร่างออกมา
แต่มีโลงศพใบหนึ่งแปลกประหลาดยิ่ง โลงศพอื่นๆ ล้วนมีจิตวิญญาณความตายเข้าๆ ออกๆ มีเพียงใบนี้เท่านั้น…ที่มีแต่เข้าไปแต่กลับไม่มีจิตวิญญาณออกมาเลย
ตั้งแต่ต้นจนจบ วิญญาณที่พุ่งเข้าไป ไม่มีสักดวงที่ออกมา ราวกับว่าในโลงศพใบนั้นมีหลุมดำอยู่ กลืนกินทุกสรรพสิ่ง
ตอนนี้จากการที่กายหยาบในโลงศพอื่นๆ ทยอยแห้งเหี่ยว จิตวิญญาณความตายมากมายที่มีสัญชาตญาณติดตามพลังชีวิต ก็พุ่งเป้ามาที่โลงศพแปลกประหลาดใบนี้
จิตวิญญาณความตายนับร้อยพุ่งเข้าไปชั่วพริบตา เมื่อเห็นนายกองที่นอนอยู่ในโลงศพผลึกวารี แต่ละดวงก็แผ่ความโลภออกมา โถมเข้าไป
แต่ตอนที่พวกมันเข้าใกล้ จู่ๆ ร่างของนายกองก็มีปากจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา อ้าปากสูดรับในพริบตา
จิตวิญญาณเหล่านั้นพลันก็ถูกปากเหล่านี้กลืนลงไป หลังจากเคี้ยวอย่างรวดเร็ว ปากทั้งหมดก็สลายไป ทุกอย่างเป็นปกติ
ไม่นานนัก จิตวิญญาณก็พุ่งเข้าไปมากกว่าเดิม…
เวลาไหลผ่านไปเช่นนี้ กายหยาบในโลงศพของที่นี่ส่วนใหญ่แห้งเหี่ยวกลายเป็นฝุ่นผง มีที่ฟื้นกลับมาสำเร็จแค่สิบกว่าตนเท่านั้นและออกไปจากที่แห่งนี้
คลื่นวนสีรุ้งนั้น ก็ค่อยๆ หม่นลง สุดท้ายก็สลายหายไปจากโลกใบนี้
ตอนนี้ โลงศพประหลาดใบนั้นก็กลายเป็นจุดเดียวที่มีพลังชีวิตอยู่ ดังนั้นจิตวิญญาณความตายทั้งหมดรอบๆ จึงพุ่งและลอดเข้าไปในโลงศพราวกับหมาป่าที่หิวโหยนับไม่ถ้วนจากทั่วสารทิศ
แต่พริบตาต่อมา ระลอกคลื่นอารมณ์น่าตื่นตะลึงและน่าครั่นคร้ามก็พลันแผ่ออกมาจากโลงศพ
จิตวิญญาณเหล่านั้นที่พุ่งเข้าไปด้านใน ราวกับเห็นสิ่งชั่วร้าย เวลานี้แย่งกันหนีออกมา กระทั่งบางดวงบิดเบี้ยวไป
แต่นายกองที่นอนอยู่ในโลงศพ ครั้งนี้บนร่างเขาไม่ได้มีแค่ปากปรากฏขึ้น แต่ยังมีมืออีกนับไม่ถ้วนยื่นออกมา คว้าจิตวิญญาณเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว
เพียงแต่ก่อนหน้านี้จิตวิญญาณที่เข้าไปในโลงศพมีมากเกินไป ตอนนี้ที่อยากหนีออกมาจึงมีไม่น้อย เมื่อเห็นว่ามีบางส่วนจะหนีออกมา นายกองก็รีบยกมือขึ้นปลดหน้ากากออกอย่างรวดเร็ว
จากนั้นก็มีเสียงคำรามดังก้องไปทั้งแปดทิศ เงามายาสุนัขสวรรค์ขนาดยักษ์ตัวหนึ่งจำแลงออกมา กลืนกินจิตวิญญาณที่กำลังหลบหนีเหล่านั้นในคำเดียว
ชั่วพริบตา จิตวิญญาณในรัศมีร้อยจั้งก็หายไปในปากของสุนัขสวรรค์ เสียงเคี้ยวดังก้อง ทำให้จิตวิญญาณที่เหลืออยู่ด้านนอกร้อยจั้งนั้นเปลี่ยนจากหมาป่าที่หิวโหยกลายเป็นกระต่ายตัวน้อย แตกฮือกระจัดกระจายไปรอบด้าน
ไม่สนใจพวกมัน หลังจากร่างของสุนัขสวรรค์หายไป เสียงเรอเสียงหนึ่งดังออกมาจากในโลงศพ นายกองลุกขึ้นนั่งบิดขี้เกียจ สีหน้าฉายแววภาคภูมิใจ
“ฮ่าๆ ใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ กินอิ่มที่สุดจริงๆ”
“เร็วเข้า พวกเราจะไปทำการใหญ่!”
ระหว่างที่นายกองกล่าว ร่างเงาสองร่างก็ลอยออกมาจากในร่างกายเขา ตอนแรกคือเล็กมาก แต่เพียงพริบตาก็กลายเป็นขนาดปกติ หนิงเหยียนกับอู๋เจี้ยนอูนั่นเอง
ตอนที่พวกเขาสองคนแยกกับสวี่ชิง เห็นได้ชัดว่าผ่านเรื่องราวไม่น่าเชื่อจากการติดตามนายกองบ้างแล้ว อู๋เจี้ยนอูจึงไม่ได้ฮึกเหิมเหมือนตอนแรกอีก แต่ระแวดระวังอย่างมาก
ส่วนหนิงเหยียน เขาเฉยชาไปแล้ว