ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 571 ตื่นขึ้นเถิด พี่หญิงสามของข้า (1)
บทที่ 571 ตื่นขึ้นเถิด พี่หญิงสามของข้า (1)
ในโลกเศษเสี้ยวแห่งนี้ ตอนนี้ไม่มีท้องฟ้าแล้ว
ม่านฟ้าชั้นน้ำแข็งแต่เดิมตอนนี้ถล่มลงมาแล้วกว่าครึ่ง รอบๆ เต็มไปด้วยรอยร้าวขนาดมหึมาเป็นทางๆ ฉีกทึ้งผืนฟ้า
โพรงขนาดมหึมาตรงกลางทะลุทั้งในและนอก ทอดตัวไปสู่นอกโลก
ส่วนชั้นน้ำแข็งบนพื้นก็เช่นกัน ผืนดินกว้างใหญ่ไพศาล ภายใต้การแตกหักนี้ดูแล้วไร้ระเบียบ ทั้งชั้นน้ำแข็งถูกโลงสัมฤทธิ์ที่อยู่ข้างใต้ดันขึ้นมา น่าหวาดหวั่นขวัญเสียนัก
โลงสัมฤทธิ์ขนาดมหึมาใบนี้กระทั่งว่าใหญ่กว่าโลงที่สวี่ชิงได้เห็นใต้ทะเลเพลิงสวรรค์ขึ้นมาอีกเท่า
ตอนนี้พื้นที่กว่าครึ่งปรากฏอยู่ข้างนอก มองดูไกลๆ เต็มไปด้วยพลังมหาศาล
กลิ่นอายโบราณเก่าแก่ของห้วงเวลาที่หมุนผ่านไปแผ่ซ่านไปในโลกใบนี้ โจมตีทุกสิ่ง เหมือนว่าจะปลดปล่อยเวลาที่ฝังมันออกมาทั้งหมดในเสี้ยวขณะนี้
มันถูกฝังอยู่นานมากๆ จะเห็นบนผิวโลงเต็มไปด้วยไปด้วยรอยสนิม ฉายความเก่าแก่ผ่านห้วงเวลามาเนิ่นนานออกมา
และแรงปะทะที่พลังตะปูแห่งเจ้าเหนือหัวดอกนั้นพุ่งไปก่อนหน้านี้เห็นได้ชัดว่ารุนแรงมาก ฉายความทรงพลังบ้าคลั่งออกมา แม้ตอนนี้จะปักลงมาเพียงครึ่งหนึ่ง แต่ก็ยังมีรอยแยกเกิดขึ้นในบริเวณที่มันตอกลงไปและเชื่อมกับชายขอบ
ขณะเดียวกับที่มีจำนวนมากมายมหาศาล ก็ยังมีพื้นที่อีกจำนวนไม่น้อยที่สูงต่ำสลับขึ้นลงเป็นคลื่น โลงทั้งใบดูแล้วห่างจากแตกเป็นเสี่ยงๆ อีกเพียงแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น
ภาพนี้ทำให้สวี่ชิงที่อยู่บนท้องฟ้าและพวกนายกองสามคนที่อยู่ที่ไกลๆ หลังจากที่ต่างมองหน้ากัน ก็ลอยขึ้นฟ้าไปตามสัญชาตญาณเล็กน้อย
ขณะเดียวกัน เงาร่างที่แปลงมาจากหมอกสีฟ้าที่ลอยตลบอวลอยู่บนตะปูแห่งเจ้าเหนือหัว เสียงของเขาก็ดังสะท้อนก้อง
“พี่หญิงสาม หลังจากที่ข้าหลุดพ้นจากพันธการก็สัมผัสรับรู้ต้นกำเนิดพลังเดียวกัน ผู้ที่ยังมีระลอกคลื่นสติสัมปชัญญะรับรู้ทั่วทั้งผืนแผ่นดินบรรพชน มีเพียงข้าและท่านเท่านั้น…พี่น้องคนอื่นๆ สูญสิ้นสติสัมปชัญญะไปกันหมดแล้ว
“วิญญาณของพวกเขาไม่สมบูรณ์แล้ว ถูกหลีพั่นน้องสี่ของพวกเราดูดเอาไปแล้ว…
“ดังนั้น ข้าจึงมาที่นี่ เปิดผนึกของท่าน พี่หญิงสาม…ตื่นเถิด”
เสียงจากเงาร่างที่แปลงมาจากหมอกสีฟ้าแฝงด้วยความโศกเศร้าอย่างเข้มข้น ตอนนี้ขณะที่แผ่ไปในโลกใบนี้ โลงสัมฤทธิ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้นก็พลันสั่นคลอนขึ้นมา
จากการสั่นคลอน รอยร้าวบนฝาโลงใหญ่ขึ้น ทำให้โลกใบเล็กท่ามกลางการสั่นคลอน มือเหี่ยวแห้งข้างหนึ่งพลันยื่นทะลุฝาโลงออกมาจากข้างใน
เสียงครืนครันสนั่นหวั่นไหวดังก้อง เศษโลงนับไม่ถ้วนแตกกระจายออกไปข้างนอก มือข้างนั้นปรากฏออกมาโดยสมบูรณ์
วิเคราะห์จากลักษณะของมือก็มองไม่ออกแล้วว่าเป็นมือของผู้หญิง ผิวหนังบนนั้นไม่มีแล้ว เหลือเพียงเลือดเนื้อเหี่ยวแห้ง อัปลักษณ์เป็นอย่างยิ่ง
เล็บทั้งหมดหายไป กลิ่นอายความตายเป็นระลอกๆ ลอยขึ้นจากในนั้นอย่างต่อเนื่อง
เงาร่างที่แปลงมาจากหมอกสีฟ้ามองมือข้างนี้ยิ่งเกิดความหมองเศร้าขึ้นไปอีก
นี่คือพี่หญิงสามของเขา ลูกสาวสุดรักปานแก้วตาดวงใจของเสด็จพ่อ และเป็นเพียงคนเดียวในบรรดาพี่น้องทั้งเก้าคนที่ทางด้านพรสวรรค์คุณสมบัติเทียบเคียงได้กับน้องเก้า
พลังบำเพ็ญยิ่งน่าครั่นคร้าม เคยออกรบไปทั่วทุกทิศแทนเสด็จพ่อ คุณงามความชอบมากมาย
ไม่ใช่เพียงแค่นี้ ความงามของนางยิ่งเป็นที่เลิศล้ำในทั้งหมื่นเผ่าในตอนนั้น บุตรชายผู้มีตำแหน่งสูงส่งมากมายหลงรัก จักรพรรดิโบราณแต่งตั้งเป็นองค์หญิงหมิงเหมยด้วยตัวเอง
ตอนนั้นเคยมีคำกล่าวไว้ว่า งามล้ำงามเลิศพริ้งเพริศดุจพรายเมฆา งามสุดแสนโสภาบริสุทธิ์ล้ำไร้มลทิน
แต่การมาเยือนของชื่อหมู่ ทุกอย่างเปลี่ยนไป องค์หญิงหมิงเหมยโฉมสคราญหยาดเยิ้มผู้นั้น จากการแตกดับของเสด็จพ่อ ก็ถูกผนึกเอาไว้ในโลง
น้องสี่ที่เลวยิ่งกว่าเดรัจฉานของตนผู้นั้น เหนี่ยวนำเลือดลมของเจ้าสามส่งไปที่โลง ทำให้นางที่อยู่ในสภาพหิวโหย จำต้องวางเกียรติศักดิ์ศรีและขีดจำกัดในฐานะที่เป็นมนุษย์ลง เพื่อแก้แค้น ทำได้เพียงแค่ดูดซับเท่านั้น
คนไม่ใช่คน ผีไม่ใช่ผี มีชีวิตแต่ก็ไม่มีชีวิต ตายแต่ก็ไม่ตาย
รัฐทายาทเจ้าเหนือหัวความโศกเศร้าพวยพุ่งขึ้น มองไปที่โลง
ตรงนั้นมืดมิด มองไม่ชัด มองเห็นเพียงมือที่ยื่นออกไปยกขึ้นอย่างช้าๆ คล้ายว่าวางอยู่ข้างหน้า
โลงทั้งใบสั่นคลอนอย่างรุนแรง หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็เปลี่ยนมาสงบนิ่ง เสียงแหบแห้งของผู้หญิงดังมาจากในโลง
“รัฐทายาท…”
เสียงที่คุ้นเคยนี้ทำให้รัฐทายาทนึกถึงห้วงเวลาที่งดงามในอดีต
และหลังจากที่เสียงนั้นดังขึ้น เงาร่างในโลงก็เดินออกมาช้าๆ เดินมายังโลกใบนี้ สะท้อนภาพในดวงตาสวี่ชิง
นั่นเป็นเงาร่างสูงใหญ่ที่สวมชุดเกราะเปื่อยผุ ทั้งร่างแห้งเหี่ยว เกราะเหมือนแขวนอยู่บนนั้น ฉายให้เห็นจุดที่ว่างโล่งมากมาย
ลมพัดมาในยามนี้ พัดผ่านช่องว่างชุดเกราะ ส่งเสียงหวีดหวิวออกมา และร่างที่ปรากฏให้เห็นข้างนอก สยดสยองพรั่นพรึงนัก
บนนั้นเต็มไปด้วยรอยแผล ในนั้นยังมีหนอนนับไม่ถ้วนชอนไชกัดกิน ขณะเดียวกันร่างของนางไม่มีหนัง เหมือนถูกคนถลกออกไปทั้งเป็น
ทุกอย่างทำให้นางทั้งคนดูอัปลักษณ์เป็นอย่างยิ่ง และจากร่างกายก็ยากที่จะดูว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย
ส่วนใบหน้ายิ่งเว้าแหว่งไป บริเวณดวงตามีเพียงแค่รูโบ๋สองรู แผ่แสงเย็นยะเยือกออกมา ประดุจว่ากลับมาจากยมโลก
สภาพเช่นนี้ทำให้คนไม่อาจจินตนาการได้เลยว่านางเคยประสบพบเจอกับการทรมานและความเจ็บปวดแบบใด
แต่ว่า ระลอกคลื่นพลังน่าครั่นคร้ามที่แผ่ออกมาจากร่างของนาง จากการก้าวเดินออกมาก็พวยพุ่งขึ้นไม่หยุด ทำให้โลกเศษเสี้ยวใบนี้ยิ่งส่งผลกระทบออกไปนอกโลก
ทั้งที่ราบน้ำแข็งทางเหนือ ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมพัดกรรโชกเมฆหอบม้วน คลื่นวนขนาดมหึมาลูกหนึ่งส่งเสียงครืนครันเลื่อนลั่นปรากฏบนท้องฟ้าที่โลกภายนอก
คลื่นวนลูกนี้หมุนวนอย่างรวดเร็ว ทำให้ทางเหนือทั้งแถบเกิดการบิดเบี้ยวรางเลือน
ประดุจเทพเจ้ามาเยือน
ขณะที่สรรพชีวิตทั้งหลายสั่นสะท้าน ปลายขอบฟ้าไกลประกายแสงสีแดงกะพริบวูบ
นั่นเป็นระลอกคลื่นพลังจากตำหนักเทพพระจันทร์สีชาด ที่นี่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล ตำหนักเทพไม่มีทางไม่รู้
และที่มาเยือนตอนนี้ไม่ใช่ทูตเทวะ แต่เป็นตราประทับฝ่ามือมหึมายิ่งใหญ่ตราหนึ่ง
ลายนิ้วมือบนตราประทับฝ่ามือประดุจร่องน้ำ ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง แผ่ประกายแสงสีแดงพร่างพรายประดุจแสงเลือด แผ่ลามไปทั่วสารทิศ
มันประชิดเข้ามาใกล้จากปลายขอบฟ้า ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จวบจนกระทั่งปกคลุมฟ้าดิน เหมือนว่ามีเทพเจ้าอยู่บ้างบนสูงสุด ซัดฝ่ามือลงมาปกคลุมไปบนที่ราบน้ำแข็งทางเหนือ กดอัดลงมาอย่างรวดเร็วไปยังที่ที่เศษเสี้ยวโลกใบใหญ่อยู่
คล้ายว่าจะสะกดที่นี่อีกครั้งไปพร้อมกับที่ราบน้ำแข็งทางเหนือทั้งแถบ
มิติแตกร้าว ที่ราบน้ำแข็งสั่นคลอน หิมะปลิวหอบม้วน สรรพชีวิตทั้งหลายเหม่อลอย
และในเศษเสี้ยวโลกใบใหญ่นั่น ไม่ว่าจะเป็นเงาร่างสีฟ้าหรือบุตรสาวของเจ้าเหนือหัวที่เดินออกมาจากโลง ล้วนไม่เงยหน้าไปสนใจเลยแม้แต่น้อย
พวกเขามองตากัน
มาถึงระดับพลังอย่างพวกเขา เรื่องราวมากมาย ความคิดต่างๆ เพียงแค่สายตาประสาย ก็ต่างเข้าใจกันกระจ่าง
ตอนนี้ บุตรีแห่งเจ้าเหนือหัวผู้นี้รู้ชัดถึงเป้าหมายของรัฐทายาทแล้ว
“เจ้าแน่ใจหรือ” เสียงแหบแห้งคล้ายแผ่นเหล็กสองแผ่นเสียดสีกัน ดังแสบแก้วหูมา
“พี่หญิงสาม ชื่อหมู่หลับใหล โอกาสนี้หาได้ยากยิ่ง ข้าอยากจะไปพบหน้าน้องสี่ของเราสักหน่อย คิดบัญชีบุญคุณความแค้นในช่วงหลายปีมานี้ให้จบไป
“ส่วนผลจะเป็นอย่างไร ข้าไม่อยากไปคิด เทียบกับมีชีวิตไปแบบนี้ ข้ายินดีที่จะทุ่มสุดกำลัง”
เงาร่างสีฟ้าตอบเสียงแผ่วเบา
ผู้หญิงที่เดินออกมาจากในโลงไม่ได้พูดอะไร นางเพียงสะบัดมือ ทันใดนั้น ตะปูแห่งเจ้าเหนือหัวที่หลังจากฝาโลงแตกก็ลอยอยู่ข้างๆ สั่นสะท้านรุนแรงก็หายไปในทันที
ในยามที่มาปรากฏขึ้นอีกครั้งก็ไม่ได้อยู่ในเศษเสี้ยวโลกแล้ว แต่มาอยู่ในโลกภายนอก มาถึงยังท้องฟ้าของที่ราบน้ำแข็ง พุ่งไปหาตราประทับฝ่ามือสีเลือดขนาดมหึมาที่ตรงมาอย่างรวดเร็วทันที
บนนั้นแผ่พลังทำลายล้างบดขยี้ซึ่งทุกสิ่ง ยิ่งมีรังสีอำมหิตกลุ่มหนึ่งระเบิดออกมาจากในนั้น ตรงไปที่ตราประทับฝ่ามือ
แทงไปในนั้นทันที
เสียงเลื่อนลั่นกึกก้องดังไปทั่วที่ราบน้ำแข็งทางเหนือ ในตอนนี้ประดุจสายฟ้าฟาดเปิดฟ้าเบิกปฐพี
ตราประทับฝ่ามือที่แต่เดิมยิ่งใหญ่มาพร้อมด้วยพลังกดดันสูงสุด ตอนนี้หยุดนิ่งกลางอากาศ จุดที่ปะทะกับตะปูบนนั้นแผ่ประกายแสงสีแดงฟ้าออกมา สอดประสานกัน ทำการสะกดซึ่งกันและกัน
จนเมื่อแสงสีฟ้าแหลมคมจนกลายเป็นหนึ่งช่อ ก็ทะลุประกายแสงสีแดง ทำลายปราการป้องกัน ในชั่วขณะที่ทะลุฝ่ามือ รอยแตกเป็นทางๆ ก็แผ่ออกไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว
ขณะที่ร้าวก็ถล่มลงมาด้วย
เพียงพริบตา ตราประทับฝ่ามือนี้ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ไปบนท้องฟ้า พังทลายลง กลายเป็นหลายสิบชิ้น ทั้งยังต่างแหลกสลายเอง แสงเลือดนับไม่ถ้วนมาพร้อมด้วยเศษชิ้นส่วนมากมาย ร่วงลงบนที่ราบน้ำแข็งทางเหนือ
แต่ละชิ้นร่วงลงมา มองไกลๆ คล้ายดาวตกสีเลือด และแผ่นดินในเสี้ยวขณะนี้ก็ถล่มทลาย กลายเป็นหลุมสีเลือดมากมาย
อาบย้อมทั่วทุกทิศจนแดงฉานไปทั่ว
ตะปูสีฟ้านั่นก็ไม่ได้หยุดรอ พุ่งตรงไปที่ขอบฟ้า ไม่รู้ว่าไปที่ใด
ผู้หญิงในเศษเสี้ยวโลกเงยหน้าขึ้น
“เขารู้ว่าเจ้าและข้าหลุดพ้นจากพันธนาการแล้ว ตราประทับฝ่ามือนี้แฝงคำเชิญไว้ด้วย
“เช่นนั้นพวกเราก็ไปเถอะ ดูสิว่าน้องชายแท้ๆ ร่วมพ่อแม่เดียวกันของข้าคนนี้ หลังจากเข้าพวกกับชื่อหมู่แล้ว ตอนนี้พัฒนาไปสักเพียงใดกัน”
เสียงแหบแห้งดังก้อง บุตรีแห่งเจ้าเหนือหัวก้าวไปข้างหน้า เดินไปกลางท้องฟ้า
เงาร่างสีฟ้าลอยมา ในยามที่มาลอยอยู่ข้างๆ นาง สายตาก็มองไปยังร่างสวี่ชิงที่กำลังถอยไปไม่หยุดตรงปลายขอบฟ้าที่ไกล ส่วนนายกองกับหนิงเหยียนและอู๋เจี้ยนอู เขาไม่ไปสนใจแม้แต่น้อย
“สหายตัวน้อย ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยเหลือ”
พูดจบ เขาก็พยักหน้าให้พี่หญิงสามที่อยู่ข้างๆ เขา บุตรีเจ้าเหนือหัวคนนั้นมองมาทางสวี่ชิงเช่นกัน
สวี่ชิงฝีเท้าหยุดชะงัก โค้งคารวะพวกเขาจากที่ไกล
บนใบหน้าอัปลักษณ์ราวโครงกระดูกของบุตรีเจ้าเหนือหัวไร้ซึ่งอารมณ์ใด นางเพียงแค่ยกมือเหี่ยวแห้งกดไปบนพื้น
ทันใดนั้นเศษเสี้ยวโลกใบนี้ก็ส่งเสียงครืนครันเลื่อนลั่น พื้นสั่นคลอนขุนเขาสะเทือน ชั้นน้ำแข็งที่เหลือแหลกละเอียด หอบม้วนพลิกตลบพวยพุ่งขึ้นฟ้า แปรเปลี่ยนเป็นหิมะสีดำ เหมือนว่านับจากเสี้ยวขณะนี้ ที่นี่จะโปรายปรายไปด้วยหิมะสีดำตลอดกาลนาน
ในเสี้ยวขณะนี้ยิ่งมีเสียงกร๊อบดังออกไปจากโลกเศษเสี้ยวทั้งใบ เหมือนว่ามาจากมือของบุตรีเจ้าเหนือหัว กำลังกำเศษชิ้นส่วนนี้เอาไว้ในมืออย่างไร้รูปร่าง
ตอนนี้จากการบีบ เศษเสี้ยวโลกใบนี้ก็เริ่มหดเล็ก
เพียงพริบตา โลกทั้งใบก็กลายเป็นเศษชิ้นส่วนขนาดเท่ากับฝ่ามือ แผ่แสงสีดำออกมา เหมือนกระจกสีดำที่ไร้รูปทรง ตรงไปหาสวี่ชิง
จากการเข้าไปใกล้ของมัน บนนั้นมีเปลวไฟลุกท่วมขึ้นมา เผาไหม้ไม่หยุด หลอมไม่หยุด ยามที่มันร่วงอยู่ข้างหน้าสวี่ชิง มันก็กลายเป็นเหมือนกับผลึกวารี ใสแวววาว
กลิ่นอายมหาศาลทรงพลังตลบอวลในนั้น ประดุจดวงดาราบนท้องฟ้า เจิดจรัสเป็นประกายโดดเด่นนัก สิ่งที่หาได้ยากยิ่งคือ ภายใต้การหลอม มันไร้เจ้าของแล้ว
ราคาของมันยากจะพรรณา!
สวี่ชิงในใจเกิดคลื่นยักษ์ซัดโหม ต่อให้ก่อนหน้านี้มีการเตรียมใจ แต่ตอนนี้ในใจของเขาก็ยังตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งอยู่ดี ตอนนี้เมื่อรับมา หลังจากเก็บลงไปก็โค้งคารวะไปทางเงาร่างของบุตรีแห่งเจ้าเหนือหัวและรัฐทายาทอย่างนอบน้อม
นายกองที่อยู่ที่ไกลๆ ลมหายใจหอบถี่ ในดวงตาฉายความปรารถนาอย่างแรงกล้า หนิงเหยียนและอู๋เจี้ยนอูในใจก็สั่นสะท้านบ้าคลั่งเช่นกัน ฝ่ายหลังยังดี แต่หนิงเหยียนรู้ดีถึงราคาและความหมายของเศษเสี้ยวโลกใบหนึ่ง
“นี่ๆๆ ให้กันแบบนี้เลยน่ะหรือ”
ในยามที่ในใจของหนิงเหยียนเกิดคลื่นซัดโหม ร่างของบุตรีแห่งเจ้าเหนือหัวก็ไหววูบแล้วหายไปจากที่ตรงนั้น มาปรากฏที่โลกภายนอก ส่วนรัฐทายาทเจ้าเหนือหัวคนนั้นพยักหน้าให้สวี่ชิงน้อยๆ ในดวงตาแฝงด้วยรอยกล่าวลา แล้วหายไปเช่นกัน