ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 572-2 ทัณฑ์สวรรค์ดับวิญญาณ หนิวเอ๋อร์กลับมาแล้ว (2)
บทที่ 572-2 ทัณฑ์สวรรค์ดับวิญญาณ หนิวเอ๋อร์กลับมาแล้ว (2)
เมื่ออู๋เจี้ยนอูกลับมา คนก็ครบแล้ว จึงรีบไปที่ที่เขาวัวสวรรค์ตั้งอยู่
ระหว่างทาง ไม่รู้ว่านายกองเกลี้ยกล่อมอย่างไร สุดท้ายอู๋เจี้ยนอูก็ค่อยๆ คล้อยตามคำพูดของนายกอง ใบหน้ายิ้มแย้มมากขึ้น ขับกลอนมากขึ้นด้วยเช่นกัน
แต่เขาโกรธหนิงเหยียนมาก ระหว่างทางไม่พูดด้วยเลยสักคำ
ส่วนสวี่ชิงก็ไม่ได้สนใจคนเหล่านี้เลย ระหว่างทางก็โคจรผลึกวารีสีม่วงในร่างกาย เพิ่มความเร็วในการฟื้นฟู เนื่องจากพลังทัณฑ์สวรรค์ก่อนหน้านี้หนักหนาเกินไป ผิวหนังบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นระหว่างที่ฟื้นฟู ร่างสวี่ชิงจึงปรากฏการลอกคราบ
ผ่านไปกว่าครึ่งเดือนเช่นนี้
จากการที่พลังห้ามเหาะเหินบนท้องฟ้าที่อ่อนกำลังลง ดวงอาทิตย์นที่นายกองสร้างขึ้นก็ล่องลอยขึ้นต่อ ทำให้ความเร็วของพวกเขาเพิ่มขึ้น ครึ่งเดือนต่อมา เขาวัวสวรรค์จึงปรากฏขึ้นในครรลองสายตาของทุกคน
เขาวัวสวรรค์มิรู้สิ้น ตั้งอยู่บนเทือกเขามิรู้สิ้น
เทือกเขาใหญ่มโหฬาร ในนั้นมีสำนักเล็กชนเผ่าเล็กๆ มากมายอาศัยอยู่หนาแน่นราวกับต้นไม้ในพงไพร
เพราะสภาพแวดล้อมแตกต่างกับแดนเหนือและแดนตะวันออก ดังนั้นพืชพันธุ์ที่นี่จึงเจริญงอกงามมาก มองไกลๆ เทือกเขาเขียวขจีไปหมด กระทั่งท้องฟ้าก็ไม่ได้ขมุกขมัวถึงเพียงนั้น
พลังชีวิตเปี่ยมล้นอย่างมากในที่แห่งนี้
“มองเห็นแล้วกระมัง ภูเขาที่สูงที่สุดลูกนั้น ก็คือเขาวัวสวรรค์”
บนพื้นดิน นายกองยกมือชี้ไปยังเทือกเขาที่ห่างไกล เอ่ยอย่างภาคภูมิ
“ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ว่าเขาวัวสวรรค์ในอดีต เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่ ฐานะสูงส่งยิ่ง!
“แต่เรื่องในอดีตก็ไม่ต้องกล่าวถึงแล้ว นั่นก็เป็นเพียงความรุ่งโรจน์ในวันวานเท่านั้น ตอนนี้น่ะหรือ ที่นี่มีสำนักอยู่มากมาย กลายเป็นพันธมิตรแห่งหนึ่ง
“ส่วนชื่อ อะแฮ่ม พวกเขาระลึกถึงตำนานเล่าขานของที่นี่ จึงตั้งชื่อว่าพันธมิตรวัวสวรรค์”
นายกองกล่าวคำนี้ออกมา ก็รู้สึกสุขอุราเหลือเกิน หลังจากที่เขาได้รับรายงานก่อนหน้านี้ ก็อารมณ์ดีไปหลายวัน
“รู้สึกว่าที่นี่สว่างกว่าที่อื่นกว่าเล็กน้อยใช่หรือไม่” นายกองยิ้มเอ่ยขึ้น
“เพราะว่าม่านฟ้าที่นี่เคยถูกผ่าเปิดมาก่อน และเทือกเขาก็พิเศษ สามารถเปล่งแสงออกมาได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นเทือกเขามิรู้สิ้นนี้จึงมีชื่อเสียงมากในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา
“ไป ข้าจะพาพวกเจ้าไปเมืองหลักด้านล่างเขาลูกนี้
“เพราะผู้บำเพ็ญที่นี่มีอยู่มากมาย ดังนั้นด้านล่างภูเขาจึงค่อยๆ กลายเป็นเมืองขึ้นมา ด้านในคึกคักยิ่ง”
นายกองนำมือไพล่หลัง เดินนำพวกสวี่ชิงลงไปเหมือนกลับมาที่บ้าน ไม่นานนักเมืองขนาดใหญ่แห่งหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในครรลองสายตาสวี่ชิง
ได้ยินเสียงคึกคักดังมาแต่ไกล เห็นได้ชัดว่ามีผู้บำเพ็ญเผ่าต่างๆ อยู่ในที่แห่งนี้ไม่น้อย คนธรรมดาก็มีเช่นกัน
นอกประตูเมือง นายกองจงใจกระแอมไอ พยักพเยิดเป็นสัญญาณให้พวกเขามองไปที่ชื่อของเมือง
เมืองต้อนรับวัว
อักษรขนาดใหญ่เหล่านี้ เผยความทรงพลังน่าอัศจรรย์ ยิ่งมีกลิ่นอายเก่าแก่ ราวกับมีอายุมานานปี
อู๋เจี้ยนอูกับหนิงเหยียนมองชื่อเมือง แล้วอดมองไปทางนายกองไม่ได้ นายกองมีความสุขยิ่ง มองไปทางสวี่ชิง
สวี่ชิงจ้องตัวอักษรเหล่านั้น สีหน้าหวั่นไหว
นายกองหัวเราะออกมา เดินไปด้านหน้าอย่างพึงพอใจพลางกล่าวว่า
“เห็นแล้วใช่หรือไม่ นี่คือเมืองที่สร้างขึ้นเพื่อต้อนรับข้า เมื่อมาถึงที่นี่ ก็เหมือนมาถึงบ้านตัวเอง”
นายกองกระปรี้กระเปร่า เดินไปด้านหน้าก้าวใหญ่ เพียงแต่ตอนเข้าเมืองก็เกิดเรื่องเล็กน้อยขึ้น นั่นก็คือพวกเขาต้องจ่ายหินวิญญาณไม่น้อยถึงจะเข้าไปได้
นายกองเพิ่งกล่าวว่าที่นี่คือบ้านของตน ดังนั้นเมื่อเจอกับการเก็บค่าใช้จ่ายเช่นนี้ เขาจึงค่อนข้างไม่สบอารมณ์ขึ้นมา
หนิงเหยียนก้มหน้า อู๋เจี้ยนอูมองไปรอบๆ พวกเขาไม่มีเงิน
สวี่ชิงกะพริบตาปริบๆ มองออกว่านายกองไม่พอใจ จึงเข้าไปปลอบข้างๆ เสียงแผ่ว
“ไม่เป็นไรนะขอรับศิษย์พี่ใหญ่ พวกเขาไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร อีกทั้งเดิมที่นี่ก็เป็นเขตอิทธิพลของท่าน หินวิญญาณที่ต้องจ่ายไม่ใช่ว่าเป็นของท่านหรอกหรือ”
ดวงตานายกองฉายแววชื่นชม เขารู้สึกว่าอาชิงน้อยช่างใส่ใจ จึงจ่ายหินวิญญาณจากถุงข้างเอวตนอย่างสุขใจ พาพวกเขาเข้าไปในเมือง
สิ่งที่เห็นตรงหน้า คือบรรยากาศคึกคัก คนในเมืองนี้มีมากมาย หลายเผ่าหลายสำนักปะปนกัน ร้านรวงก็มีอยู่ไม่น้อย
เดินอยู่ในเมือง สายตาที่มองไปรอบๆ ของนายกองฉายแววทอดถอนใจ จวบจนตอนที่เห็นโรงบ่อวิญญาณแห่งหนึ่ง เขาก็ชะงักฝีเท้า สีหน้าระลึกถึงความหลัง
“ในเทือกเขามิรู้สิ้นนี้มีแม่น้ำวิญญาณสายหนึ่ง คดเคี้ยวลงมา จนกลายเป็นบ่อวิญญาณมากมาย ผ่านไปนานปี เมืองที่อยู่ด้านล่างภูเขาก็ชักนำมา เมื่อก่อนข้าชอบแช่น้ำบนภูเขามาก และให้เหล่าผู้บำเพ็ญหญิงด้านล่างภูเขาได้อาบน้ำที่ข้าแช่ตัว
“ไป ข้าจะพาพวกเจ้าไปแช่น้ำกันก่อน สบายตัวแล้วค่อยไปบ้านข้า”
นายกองเอ่ย จากนั้นก็เดินไปยังโรงบ่อวิญญาณ
เถ้าแก่ร้านนี้เป็นผู้บำเพ็ญเช่นกัน เห็นพวกสวี่ชิงก็พยักหน้าให้เล็กน้อย หลังจากเก็บค่าบริการ ก็พาพวกเขาเดินเข้าไป
บ่อน้ำในร้านนี้ไม่เล็กเลย มีผู้คนอยู่มากมาย แม้จะต่างคนต่างอยู่คนละที่ แต่ท่ามกลางไอร้อนอบอวล ก็ยังมีเสียงหัวเราะดังออกมา
มาถึงที่นี่ หนิงเหยียนและอู๋เจี้ยนอูก็แยกย้าย ถอดเสื้อนอกแล้วเข้าไปแช่ตัว เผยสีหน้าผ่อนคลายสบายใจ โดยเฉพาะอู๋เจี้ยนอู ถึงกับยอมจ่ายเพิ่มอีกเล็กน้อย เรียกพวกลูกๆ ของเขาเหล่านั้นออกมาด้วย
นายกองก็อยู่ในบ่อแยกของตน กางสองแขนพาดกับขอบบ่อ ถอนหายใจยาวออกมา รู้สึกคับแคบอย่างยิ่ง
สวี่ชิงอยู่อีกบ่อหนึ่ง หลิงเอ๋อร์มุดออกมา จากนั้นก็จำแลงกายอย่างรวดเร็ว ใบหน้าแดงก่ำอยู่ข้างกายสวี่ชิง หลับตาปี๋
สวี่ชิงยิ้ม หลับตาทั้งสองลง รู้สึกสงบลงแล้ว
เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมาตลอด ร่างเขาลอกคราบออกไปหลายครั้ง ตอนนี้เมื่อร่างกายอยู่ในบ่อน้ำ ทั้งร่างได้รับการฟื้นฟู สบายตัวอย่างยิ่ง
เสียงหัวเราะพูดคุยรอบด้าน หลังจากที่พวกเขาปรับตัวกับบรรยากาศที่นี่ ก็ไม่ได้รู้สึกวุ่นวายอีก คล้ายว่าควรจะเป็นส่วนหนึ่งของบ่อน้ำอยู่แล้ว
กระทั่งเสียงพูดคุยในบ่อที่ไกลออกไปดึงดูดความสนใจของสวี่ชิง
“น่าเสียดาย เดือนหน้าบ่อวิญญาณทั้งหมดบนเขาและล่างเขาก็จะปิดกันหมด เห็นว่าแม่น้ำวิญญาณจะถูกปิดกั้นอย่างสมบูรณ์ ไปรวมอยู่ที่สำนักย่อยบุปผาหยินหยาง
“ไม่มีทางเลือก เซียนเซียงหานผู้นั้นจะอภิเษกสมรส นางต้องเข้าพิธีชำระล้างหนึ่งเดือน เทือกเขามิรู้สิ้นส่วนใหญ่ล้วนต้องไว้หน้า ไม่ใช่ว่าสำนักบุปผาหยินหยางยอมให้นางทำพิธีชะรำล้างแล้วหรือ”
“ไม่ใช่เพราะเสวียนมิ่งจื่อคู่หมั้นของเซียนเซียงหานผู้นั้นหรอกหรือ ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของเทือกเขามิรู้สิ้น ทุกคนก็ทำได้แค่ยอมรับกระมัง”
“แต่ว่าเซียนเซียงหานผู้นี้ก็งดงามเย้ายวนใจเสียจริง ปีที่แล้วข้าบังเอิญพบครั้งหนึ่ง งดงามหยาดเยิ้มจริงๆ ไม่มีผู้ใดเทียบได้”
“ได้ยินว่าแต่ก่อนเซียนเซียงหานผู้นี้ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญของเทือกเขามิรู้สิ้น แต่เป็นผู้ที่มาเยือนอย่างกะทันหันเมื่อหลายปีก่อน เดิมแค่ผ่านทางมา แต่มาพบรักกับเสวียนมิ่งจื่อเข้า”
คำพูดเหล่านี้สอดแทรกอยู่ท่ามกลางเสียงหัวเราะพูดคุย ดังเข้ามาในหูสวี่ชิง
สวี่ชิงค่อนข้างสนใจ นี่เป็นนิสัยของเขา ไม่ว่าจะไปที่ใด สภาพแวดล้อมและข้อมูลข่าวกรองล้วนเป็นเรื่องสำคัญ
โดยเฉพาะอย่างหลัง หลังจากประสบการณ์ในทะเลเพลิงสวรรค์ที่เกิดเรื่องลำบากเล็กๆ จากการที่มีข้อมูลน้อย เขาจึงยิ่งให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
อู๋เจี้ยนอูกับหนิงเหยียนไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้ ทว่านายกองทางนั้นคล้ายจะหูผึ่งอยู่เช่นกัน สบตากับสวี่ชิงผาดหนึ่ง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา ในบ้านของพวกเราเป็นเพียงพวกประสบการณ์น้อยทั้งนั้น”
เห็นนายกองมั่นอกมั่นใจถึงเพียงนี้ สวี่ชิงจึงพยักหน้า หลับตาแช่น้ำต่อ
หนึ่งชั่วยามผ่านไปเช่นนี้ ตอนที่พวกเขาออกจากโรงบ่อวิญญาณ แต่ละคนล้วนมีชีวิตชีวา เมื่อลมพัดมา สีหน้าก็สดชื่นปลอดโปร่ง
แม้สวี่ชิงจะปลอมตัว แต่รูปร่างสูงโปร่งกับบุคลิกผึ่งผาย หลังจากที่เดินออกมาก็งดูดสายตาบางคน โดยเฉพาะหลิงเอ๋อร์ หลังจากที่จำแลงหายออกมา ใบหน้าเล็กแดงระเรื่อสวยงามจับตายิ่ง เมื่อเดินอยู่ข้างสวี่ชิงก็ดึงดูดสายตาผู้คนไม่น้อย
อู๋เจี้ยนอูก็รู้สึกสดชื่นเช่นกัน ความกลัดกลุ้มในใจก็สลายไปมากแล้ว ตอนนี้เดินอยู่บนถนนกับพวกสวี่ชิง เขาก็หยิบพัดออกมาเคาะที่มือ เดินพลางเอ่ยว่า
“เมฆาบนนภาประหนึ่งภูผาบนเวหา ศิลาในใจข้าสูงกว่าผสุธา!
“ดั่งขนนกวิญญาณแปรเปลี่ยนเป็นสามัญ ผู้ใดกันจะกล่าวว่าร่างกายยังคงงดงามได้!”
ปกติอู๋เจี้ยนอูจะร่ายกลอนประโยคเดียว น้อยครั้งที่จะร่ายมาสี่วรรคเช่นนี้ เมื่อกล่าวจบ ใบหน้าเขาก็เต็มไปด้วยความทอดถอนใจ
ส่วนหนิงเหยียนที่อยู่ข้างๆ เดินไปไกลหลายก้าวทันที นายกองก็ฟังไม่เข้าใจ
สวี่ชิงไม่สนใจ
เมื่อผู้คนที่สัญจรไปมาได้ยินก็หันมามองอย่างประหลาดใจ
อู๋เจี้ยนอูแค่นเสียงในใจ แอบกล่าวในใจว่าเป็นเพียงนกกระจอกฝูงหนึ่งเท่านั้น พวกเจ้าจะเข้าใจความนัยของกลอนข้าได้อย่างไร
คิดถึงตรงนี้ ความรู้สึกอย่างหากท่วงทำนองลึกซึ้ง น้อยคนนักจะร้องร่ายตามได้ก็ปกคลุมจิตใจของอู๋เจี้ยนอู ขณะที่ส่ายหน้า เขาก็ค่อยๆ เดินตามพวกสวี่ชิงไป
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้บนชั้นสองของหอข้างๆ มีหญิงสาวนั่งอยู่สองคน
คนหนึ่งก้มหน้ากำลังเอื้อนเอ่ย ส่วนหญิงกลางคนอีกคนที่รูปโฉมค่อนข้างงดงาม แต่เวลานี้กลับสีหน้าประทับใจ
นางไม่ได้สนใจคนตรงหน้า ลุกขึ้นเลิกผ้าม่าน มองไปที่ถนน สายตาจับจ้องแผ่นหลังอู๋เจี้ยนอู
สีหน้าของนางค่อยๆ เผยความชื่นชมยกย่องออกมา
“คนผู้นี้ไม่ธรรมดา ใช้หินภูเขาอุปมาเจตจำนง ใช้จิตวิญญาณอุปมาโลก แสดงเจตจำนงในใจเขาออกมา ค่อนข้างมีเอกลักษณ์ของจักรพรรดิโบราณอยู่!
“โลกในปัจจุบัน มีอัจฉริยะเช่นนี้อยู่ไม่มากแล้ว”
เมื่อคนของนางที่ยืนอยู่ด้านหลังหญิงกลางได้ยินก็ตกตะลึง มองตามออกไปเช่นกัน นางรู้ว่าเจ้าสำนักของนางศรัทธาจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวมาตลอด การที่ถูกเจ้าสำนักชื่นชมเช่นนี้ ต้องไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่ จึงเอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า
“เจ้าสำนัก ให้ข้าไปสืบฐานะคุณชายผู้นั้นสักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่จำเป็น สำนักบุปผาหยินหยางของข้าให้ความสำคัญกับวาสนา ยิ่งไปกว่านั้นด้วยความอัจฉริยะของคนผู้นี้ น่าจะไม่ยอมให้สืบเสาะเป็นแน่”
หญิงกลางคนเอ่ยเสียงแผ่วเบา จากนั้นสายตาก็คมกริบ มองคนของนาง
“ตรวจสอบพื้นเพของสหายเต๋าเซียงหานผู้นั้นได้หรือยัง”
คนของนางก้มหน้าทันที เอ่ยอย่างนอบน้อม
“ตรวจสอบมาได้บางส่วนเจ้าค่ะ เดิมอีกฝ่ายน่าจะเป็นหวนสู่อนัตตาขั้นหนึ่ง แต่ได้รับบาดเจ็บสาหัส พลังบำเพ็ญจึงลดลงมาที่ระดับหวนสู่อนัตตา
“ดังนั้นหากคำนึงถึงสถานที่ที่ปรากฏตัวครั้งแรก ไม่ใช่นภาคิมหันต์ และไม่ใช่ฟ้าทมิฬ แต่น่าจะเข้ามาจากทางเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์
“ส่วนเป้าหมายที่มาที่นี่ยังไม่ทราบ ทว่าจะต้องรู้จักกับเสวียนมิ่งจื่อมากกว่าหนึ่งปีแน่นอนเจ้าค่ะ”
กล่าวจบ คนของนางก็ไม่กล่าวต่อ จนหญิงกลางคนโบกมือ ก็จากไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อรอบๆ ว่างเปล่า หญิงกลางคนผู้นี้ก็มองออกไปไกลๆ พึมพำเสียงเบา
“ร่างเซียงหานผู้นี้ ทำไมจึงมีกลิ่นอายเตรียมสู่เทวะกันเล่า…”