ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 573 ถือโอกาสช่วงเดือนมืดเปิดสุสาน (1)
บทที่ 573 ถือโอกาสช่วงเดือนมืดเปิดสุสาน (1)
ตอนนี้ด้านหลังนายกองกับสวี่ชิง อู๋เจี้ยนอูที่เดินพลางส่ายหน้าไปด้วย ไม่รู้เลยว่าใต้หล้านี้ ในที่สุดคนที่ชื่นชมและฟังกลอนของเขาออกก็ปรากฏตัวออกมา
“ใบไม้แห้งเหี่ยวเปล่าเปลี่ยวเหลือครึ่งซีก วิหคไร้ปีกจักบินสูงได้เยี่ยงไร”
อู๋เจี้ยนอูถอนหายใจแผ่วเบา
หนิงเหยียนที่อยู่ข้างๆ เบ้ปาก แอบบ่นในใจว่าสมองของอู๋เจี้ยนอูจะต้องไม่เหมือนกับคนทั่วไปแน่ๆ หากวันหนึ่งตนยืนอยู่บนจุดสูงสุดในใต้หล้า จะผ่าศีรษะเขาออกมา ดูว่าข้างในมีสัตว์ประหลาดอันใดกอความวุ่นวายอยู่ด้านในหรือไม่
รู้สึกได้รางๆ ว่าสายตาของหนิงเหยียนไม่ชอบมาพากล อู๋เจี้ยนอูก็หันหน้าไปมอง แค่นเสียงเย็นชาเสียงหนึ่ง
“เจ้าเด็กไร้ประสาหน้าไม่อาย จดจ้องไม่วางตาไอ้ขี้หมา!”
หนิงเหยียนมองอย่างหงุดหงิด โมโหในใจ แต่เมื่อคิดถึงอสูรร้ายข้างกายอีกฝ่ายเหล่านั้น จึงอดทนไว้
คำพูดของนายกองก็ดังมาจากด้านหน้าในตอนนั้น
“พวกเจ้าสองคนหยุดได้แล้ว ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว ข้าจะพาพวกเจ้าไปที่บ้านข้า
“ให้พวกเจ้าได้เห็นว่าอะไรคือความโอ่อ่าตระการตา อะไรคือความมั่งคั่งน่าตื่นตะลึง ข้าลงทุนลงแรงไปไม่น้อยสร้างห้องสุสานขึ้นมา ยิ่งมีทรัพย์สมบัติที่น่าตกตะลึงทิ้งไว้ด้วย!”
“พี่เจี้ยนเจี้ยน ท่านอยากได้ม้วนคัมภีร์จักรพรรดิโบราณ ข้ามีให้ท่านห้าม้วน
“หนิงหนิงน้อย เจ้าอยากได้ของไว้หวนคืนสายโลหิตบรรพชน ข้ามีอยู่เจ็ดอย่าง เจ้าเลือกได้ตามใจชอบเลย
“แล้วก็ศิษย์น้องเล็ก ข้าจะบอกกับเจ้าให้ว่านี่เป็นพื้นฐานในการทำการใหญ่ของพวกเรา หรือก็คือต้นกำเนิดการล่มสลายของตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดในอนาคต!
“พวกเจ้าจำไว้ว่าต้องกดคางของตัวเองเอาไว้ครู่หนึ่ง ไม่เช่นนั้นจะตกลงมาง่ายๆ!”
สายตานายกองฉายแววภูมิอกภูมิใจ เชิดคางขึ้น ทะยานไปเบื้องหน้า
เห็นนายกองมั่นใจและเฝ้าหวังถึงเพียงนั้น สวี่ชิงก็รู้สึกสงสัย เขาเคยคาดเดาชาติก่อนของนายกอง แต่กลับไม่มีเบาะแสอะไรเลย
แต่เมื่อมองจากการแสดงออกของนายกองตลอดทางมานี้ ที่ชาติก่อนของเขาไม่ธรรมดา คงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
ดวงตาจึงฉายแววรอคอย
กระทั่งอู๋เจี้ยนอูก็เลิกร่ายกลอน เพิ่มฝีเท้า หนิงเหยียนทางนั้นก็สีหน้าฮึกเหิม ส่วนหลิงเอ๋อร์ดวงตาฉายแววอยากรู้อยากเห็นเต็มประดาเช่นกัน
ทั้งห้าจึงออกจากเมืองต้อนรับวัว เข้าไปภายในเทือกเขามิรู้สิ้นท่ามกลางราตรีที่ย่างกรายเข้ามาเช่นนี้
นายกองอยู่ด้านหน้า ต่อให้เขาจะไม่ได้มานานแล้ว แต่ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นที่ที่เขาใช้ชีวิตในชาติก่อน ดังนั้นตอนแรกยังต้องหยุดดูรอบด้านระลึกความทรงจำอยู่บ้าง แต่ไม่นานก็คุ้นเคย
สองชั่วยามต่อมา พวกเขาทั้งห้าก็เข้าไปในเทือกเขามิรู้สิ้น ผ่านภูเขาไปลูกแล้วลูกเล่า ทุกครั้งที่มาถึงที่แห่งหนึ่ง นายกองก็มักจะบอกเล่าความทรงจำออกมา
“ที่นี่เคยเป็นยอดเขาสาวชาวบ้าน เป็นสำนักที่คนรักข้าในตอนนั้นอยู่ น่าเสียดาย ตอนนี้นางเหลือแต่กระดูก มาไล่สังหารข้าไม่ได้แล้ว
“ที่นี่ในอดีตเคยเป็นสำนักกระถางสามขา เป็นบ้านเกิดของเพื่อนรักข้าคนหนึ่งในตอนนั้น คิดถึงเขาจริงๆ ด้วยฐานะที่เขาเป็นเผ่าศัสตรา แข็งแกร่งกว่าหนิงหนิงน้อยมากนัก เปลี่ยนเป็นอาวุธศัสตราได้อย่างอิสระ
“สรรพสิ่งยังคงเหมือนเดิม มีแต่ผู้คนที่เปลี่ยนแปลงไป”
นายกองถอนใจยาว เสียงทอดถอนใจก้องสะท้อน ในที่สุดหลังจากฟ้ามืด ก็พาพวกสวี่ชิงมาถึงตีนภูเขาหัวโล้นแห่งหนึ่งในเทือกเขามิรู้สิ้น
ตลอดทาง พวกเขาหยุดพักเจ็ดที่ และทุกครั้งนายกองก็จะทำปางมือ เหมือนกำลังเปิดผนึก
“การจะเปิดสุสานของข้าชาติที่แล้วต้องใช้แปดขั้นตอน และยังต้องใช้ตราประทับของข้ารวมถึงต้องทำให้เสร็จในสามชั่วยาม จะผิดขั้นตอนไม่ได้ หากที่ใดที่หนึ่งเกิดปัญหาก็จะเปิดไม่ออก ที่สำคัญที่สุดคือยังต้องคอยหยุดการเดินทางเป็นระยะ มากไปหรือน้อยไปก็ไม่ได้
“ที่นี่คือที่สุดท้ายแล้ว”
นางกองมองไปทางภูเขาหัวโล้น ที่นี่ดูปกติทุกอย่าง สภาพแวดล้อมรอบๆ ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ
เขาพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง คำนวณเวลา ยกมือขวาขึ้นทำปางมือกดไปเบื้องหน้า
พื้นดินสั่นเล็กน้อย หินภูเขาก็คล้ายจะเคลื่อนเปลี่ยนตำแหน่งเล็กน้อย
หลังจากสัมผัส นายกองก็คลี่ยิ้ม พลันยกมือขึ้นตบที่หน้าอกตัวเอง ส่งเสียงอุกพ่นเลือดรดลงบนพื้น รอยเลือดผสานเข้าไปอย่างรวดเร็ว หายวับไปในพริบตา
และการกระทำของนายกองยังไม่จบ เขาวิ่งวนรอบภูเขาเตี้ยๆ นี้อย่างรวดเร็ว วิ่งพลางซัดพลังใส่ร่างตัวเอง ขณะที่หนิงเหยียนและอู๋เจี้ยนอูกำลังตกตะลึง ไม่รู้ว่านายกองกระอักเลือดออกมากี่ครั้ง
เลือดเหล่านั้นล้วนผสานเข้าไปในดิน ไม่ทิ้งร่องรอยใดไว้ ราวกับซึมเข้าไปในส่วนลึก
จนผ่านไปหนึ่งก้านธูป นายกองถึงหอบหายใจกลับมา ใบหน้าซีดขาวหมดเรี่ยวแรง แต่สีหน้ากลับคึกคัก เอ่ยอย่างภูมิใจว่า
“วิธีการทั้งหมดในการเปิดสุสาน พลาดไปหนึ่งก็ไม่ได้ นอกจากข้าก็ไม่มีผู้ใดทำได้แล้ว”
สวี่ชิงคำนวณปริมาณเลือดที่นายกองกระอักออกมา เกือบจะเท่ากับเลือดของคนสองร้อยคน ดังนั้นสีหน้าสวี่ชิงจึงฉายแววแปลกใจเช่นกัน เรื่องนี้นอกจากนายกองแล้ว คงมีไม่กี่คนจริงๆ ที่ทำได้
“ตอนนี้ ขยี้ตาของพวกเจ้าเสีย!”
นายกองหัวเราะ ย่ำลงไปบนพื้นดิน ฉับพลันดินใต้เท้าเขาก็ยุบลงไป กลายเป็นคลื่นวนวงหนึ่ง ดูดร่างของเขาหายเข้าไปด้านใน
สวี่ชิงไม่ลังเล พาหลิงเอ๋อร์เข้าไปพร้อมกัน หนิงเหยียนและอู่เจี้ยนอูก็รีบตามเข้าไปยังคลื่นวนในพริบตา
อึดใจต่อมา คลื่นวนหายไป ทุกอย่างกลับสู่สภาวะปกติ
ตอนที่วางผนึกต้องห้ามของที่นี่ เห็นได้ชัดว่าพิจารณาถึงคลื่นพลังและการซ่อนอำพรางไว้แล้ว จึงไม่เกิดการสั่นสะเทือนเท่าไรนัก ทุกอย่างเงียบสนิท
ส่วนที่ที่เชื่อมกับคลื่นวน สวี่ชิงไม่อาจสัมผัสได้ จากความกระจ่างชัดเบื้องหน้าตอนนี้ พวกเขาทั้งห้าก็อยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง
ที่แห่งนี้กว้างไม่น้อย มีลักษณะกลมรี สูงนับร้อยจั้ง รอบด้านมีรูปปั้นขนาดใหญ่สิบสองรูปตั้งตระหง่าน
ด้านในมีเผ่ามนุษย์และต่างเผ่า มีทั้งถืออาวุธ มีทั้งดวงตาเปี่ยมโทสะ เผยความเก่าแก่โบราณออกมา เทียบกับพวกเขาแล้ว สวี่ชิงทั้งห้าเหมือนมาถึงถิ่นของยักษ์
เบื้องหน้า มีบัลลังก์ขนาดใหญ่อยู่ตัวหนึ่ง บนนั้นว่างเปล่า มีเพียงกวานจักรพรรดิที่ทำจากหินชิ้นหนึ่ง ไม่มีสิ่งใดอีก
แม้จะเรียบง่าย แต่กลับมีความเผด็จการและความกระด้างในถ้ำหินนี้เต็มเปี่ยม
หนิงเหยียนมองที่นี่ หลังจากเข้าใจโครงสร้างเขาก็ถอนหายใจออกมา
“เจ้าเหนือหัวสิบสององค์สูงเก้าสิบเก้าจั้ง บัลลังก์คารวะราชาสูงร้อยจั้ง นี่คือลักษณะของมหาจักรพรรดิ!”
แม้อู๋เจี้ยนอูไม่เข้าใจแต่ก็รู้สึกว่าร้ายกาจอย่างยิ่ง สายตาที่มองไปทางนายกองแฝงความประหลาดใจเข้มข้น
ในใจสวี่ชิงก็โหมระลอกคลื่นขึ้นมาเช่นกัน ชาติก่อนของนายกอง ดูจากลักษณะของที่นี่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง ส่วนหลิงเอ๋อร์ก็เบิกตาโต ไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน
สังเกตเห็นสายตาของทุกคน นายกองก็ถอนหายใจแผ่วเบา
เสียงนี้แฝงความระลึกถึง แฝงประสบการณ์โชกโชน ดังก้องอยู่ในถ้ำหิน ตอนที่เสียงสะท้อนก้องออกไป เขาก็เดินตรงไปเบื้องหน้า
ขณะที่ทุกคนจับตามอง นายกองก็เดินไปจนถึงด้านหน้าสุดทีละก้าว ร่างกายใหญ่โตขึ้น หลังจากสูงถึงร้อยจั้ง เขาก็นั่งลงบนบัลลังก์ราชา เงยหน้ามองลงมาที่พื้นดิน
ความสูงและสายตาเช่นนี้ รวมถึงพลังที่มาจากรอบๆ ทำให้นายกองดั่งมหาจักรพรรดิที่หวนกลับมา ยิ่งใหญ่ทรงพลัง
อู๋เจี้ยนอูตัวสั่นตามสัญชาตญาณ ก้มหน้าลงไปคารวะ ส่วนหนิงเหยียนขณะที่สูดลมหายใจก็แข้งขาอ่อนเล็กน้อย
มีเพียงสวี่ชิงที่สะกดระลอกคลื่นในใจไว้ สายตาฉายแววสงสัย มองไปรอบๆ จากนั้นก็มองร่างกายใหญ่โตของนายกอง เอ่ยทันทีว่า
“ศิษย์พี่ใหญ่ ที่นี่คงเป็นเรื่องโกหกกระมัง”
เมื่อสวี่ชิงกล่าวออกมา หนิงเหยียนกับอู๋เจี้ยนอูก็เบิกตากว้าง ส่วนนายกองบนบัลลังก์ สีหน้ายังคงน่าเกรงขาม จ้องสวี่ชิงเขม็งต่อไป
สวี่ชิงหันหน้าไปมองความว่างเปล่าด้านขวาของตน เอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“ศิษย์พี่ใหญ่ เลิกเล่นได้แล้ว”
เสียงหัวเราะดังออกมาจากจุดที่สวี่ชิงมอง ร่างของนายกองก็ปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า
หนิงเหยียนกับอู๋เจี้ยนอูมองไปทันที และมองไปทางร่างใหญ่โตบนบัลลังก์ เข้าใจทันทีว่าบนบัลลังก์นั่นเป็นเพียงภาพมายา ส่วนนายกองตัวจริงก็ซ่อนตัวหลังจากที่เข้ามาในนี้แล้ว
นายกองไม่สนใจพวกหนิงเหยียนทั้งสอง เขายิ้มพลางมองไปทางสวี่ชิง
“ฮ่าๆ ศิษย์น้องเล็กรู้จักข้าดีจริงๆ ถูกต้อง เพื่อป้องกันพวกโจรขโมยสุสาน แม้ว่าวิธีการเปิดก่อนหน้านี้จะซับซ้อนจนมีเพียงข้าผู้เดียวที่รู้ แต่ก็ต้องป้องกันสิ่งที่เหนือความคาดหมายไว้ ข้าจึงจงใจสร้างที่นี่ขึ้นมา
“เมื่อเป็นเช่นนี้ หากมีโจรสุสานสักคนเข้ามา จะต้องถูกที่นี่หลอกแน่นอน จากนั้นก็จะตกอยู่วังวนหายนะที่อันตรายถึงชีวิต”
นายกองเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ
“ข้าทำเรื่องเกี่ยวกับการขโมยสุสานมาทั้งชีวิต เข้าใจพวกเขาเป็นอย่างดี”
สวี่ชิงพยักหน้า นี่ก็เข้ากับนายกองดี
นายกองทำหน้าตระหนี่ถี่เหนียว เดินต่อไป พาพวกสวี่ชิงมาถึงใต้บัลลังก์ พ่นเลือดสดออกมาคำโต จนคลื่นวนปรากฏออกมา ก็กระโดดเข้าไป
พวกเขาเดินไปเรื่อยๆ เช่นนี้ ผ่านที่ที่นายกองบอกไว้อีกหกแห่ง ทุกแห่งล้วนสร้างไว้สมจริงอย่างยิ่ง และยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะที่ที่หก ความรู้สึกเหมือนมีเมฆหมอกโอบล้อม ด้านในมีภาพเงาเลือนรางปรากฏออกมา กระทั่งหนิงเหยียนทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นเรื่องหลอกลวงก็ยังตื่นตกใจอีกครั้ง
นี่เป็นลักษณะของจักรพรรดิโบราณชัดๆ
ไม่ได้ไปต่อ ในจุดหลอกลวงที่หก นายกองเก็บหมอกเมฆ พ่นเลือดผสานเข้าไป สุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นประตูหมอกขนาดใหญ่บานหนึ่ง
“ปกติผู้ที่เข้ามาที่นี่ ถ้ายังทำลายภาพมายาไปเรื่อยๆ ก็จะคิดว่าหลังจากนี้ยังมีอยู่อีกตามสัญชาตญาณ ข้าจึงทำสิ่งที่ตรงกันข้าม ซ่อนของจริงเอาไว้ที่นี่
“เปิดประตูบานนี้ ก็จะเป็นที่อยู่ชั้นแรกของข้าในตอนนั้น”
นายกองยืนอยู่หน้าประตู กล่าวออกมา ท่าทางประหนึ่งนกยูงที่หยิ่งผยอง
อู๋เจี้ยนอูถูกทำให้สั่นสะท้านมาตลอดทาง เขารู้สึกว่าเพื่อจะป้องกันโจรขโมยสุสาน ลงทุนลงแรงวางสุสานมายาไว้มากถึงเพียงนี้ เช่นนั้นในสุสานที่แท้จริงจะต้องอลังการยิ่งกว่าเป็นแน่
ส่วนจุดที่หนิงเหยียนสนใจไม่ได้อยู่ตรงนี่ เขาอดพูดขึ้นมาไม่ได้
“สุสานลวงหลังจากนี้จะเป็นเช่นไรเล่า”
นายกองหัวเราะไม่ตอบ ยกมือขวาขึ้นโบก ดวงอาทิตย์ของเผ่าตะวันเดียวดายก็ปรากฏเบื้องหน้าเขา สลายประตูหมอกตรงหน้า
กระพริบวูบวาบทั้งหมดเก้าครั้ง
หลังจากผ่านไปเก้าครั้ง ประตูใหญ่ปราณหมอกครืนครัน เริ่มเคลื่อนเปิดช้าๆ เบื้องหน้าพวกสวี่ชิง
“ถึงบ้านแล้ว เฮ้อ ไม่ได้กลับมาเสียนาน คิดถึงเหลือเกิน”
เมื่อนายกองจินตนาการถึงเหตุการณ์หลังจากนี้ที่พวกสวี่ชิงจะต้องตกตะลึงอ้าปากค้างกับสมบัติที่เขาสะสมไว้ ก็จงใจทำท่าเชื้อเชิญ โบกมือโบกไม้ให้ทำตัวตามสบาย
สวี่ชิงคาดหวังจริงๆ เดินก้าวเข้าไปก้าวหนึ่ง หนิงเหยียนและอู๋เจี้ยนอูก็รีบตามเข้ามา หลังจากทยอยเข้าไป นายกองก็หัวเราะอย่างภาคภูมิใจ ก้าวตามเข้าไป
“ที่นี่ก็คือ…เอ๋”
เสียงนายกองขาดช่วง มองไปรอบๆ อย่างงุนงง
ถ้ำพำนักนี้ว่างเปล่า ไม่มีอะไรอยู่เลย