ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 574-2 พรหมลิขิต อัศจรรย์จนไม่อาจพรรณา (2)
บทที่ 574-2 พรหมลิขิต อัศจรรย์จนไม่อาจพรรณา (2)
พูดจบ สวี่ชิงก็เอ่ยเสริมอีกประโยค
“นายกอง ในตัวท่านยังมีเสื้อผ้าของนางอีกหรือไม่”
นายกองสีหน้าแปลกประหลาด ประเดี๋ยวเหี้ยมเกรียม ประเดี๋ยวฉายแววเหลือเชื่อออกมา การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างนี้ สวี่ชิงล้วนเข้าใจดี
“ผู้ชายข้างกายนาง…” สวี่ชิงลังเล
นายกองขมขื่นระทมใจ ถอนหายใจยาว
“คนผู้นั้น บางที อาจจะ มีความเป็นไปได้ว่า…คือร่างเมื่อชาติก่อนของข้า”
อู๋เจี้ยนอูกับหนิงเหยียนต่อให้ไม่รู้จักโยวจิง แต่ฟังคำพูดของเขาทั้งสองคน ในใจจะมากจะน้อยก็เดาได้ จึงต่างถอนหายใจออกมา
“ขอแสดงความยินดีด้วย!” หนิงเหยียนลังเล เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
“ภาพนี้ฉากนี้ชวนให้ใจหวาดหวั่น เอ้อร์หนิวงงงันสมองขาวโพลน ในวันโน้นเจ้าและข้าเห็นหน้าจ้องฆ่ากัน มาวันนี้สองเรากลับปลงใจร่วมอยู่กันชั่วกาลนาน!”
อู๋เจี้ยนอูประทับใจ ในสมองมีเรื่องเกี่ยวกับบุพเพวาสนามากมายผุดขึ้นมา เกิดอารมณ์กวีขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
สวี่ชิงเงียบนิ่ง นายกองเงียบนิ่ง
“เช่นนั้นหากพวกเขามีลูกกันขึ้นมา ศิษย์พี่เอ้อร์หนิว เด็กต้องเรียกท่านว่าอะไรหรือ” หนิงเหยียนจะปล่อยโอกาสนี้ไปได้อย่างไร เอ่ยถามเสียงต่ำทุ้ม
นายกองที่หน้าผากเส้นเลือดเขียวนูนปูดขึ้นมา
เห็นเป็นเช่นนี้ อู๋เจี้ยนอูก็ทิ้งจิตปฏิปักษ์ที่มีต่อหนิงเหยียน หลังจากขบคิดอยู่ข้างๆ ก็มองนายกองด้วยสายตาที่มีความหมายลึกซึ้ง
“บิดาลูกข้ากลับไม่ใช่บิดาเขา แต่มารดายังคงเป็นมารดาเขา หากถามว่าบุตรข้า ควรเรียกข้าว่ากระไร คนโน้นก็พ่อ นี่ก็พ่ออย่างไรก็พ่อ!”
อู๋เจี้ยนอูเพิ่งร่ายกลอนจบ นายกองก็ชกมาหมัดหนึ่ง ท่ามกลางเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น อู๋เจี้ยนอูครวญคราง ร่างกระแทกห่างออกไปร้อยจั้ง
หนิงเหยียนกำลังจะหนี นายกองถีบออกไป หลังจากส่งเขาไปอยู่กับอู๋เจี้ยนอูแล้ว ในดวงตานายกองเต็มไปด้วยเส้นเลือด เงยหน้ามองท้องฟ้า
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นายกองก็โหยไห้ออกมา
“นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!
“โยวจิงนั้นทำไมจึงมาชื่นชอบร่างเมื่อชาติก่อนของข้า!” ความซับซ้อนในสีหน้าของนายกองยากจะใช้คำพูดมาพรรณนาได้
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านอย่าได้เศร้าใจไปเลย ความจริงทางโยวจิงทางนั้นหากรู้ความจริง นางน่าจะอารมณ์ซับซ้อนมากกว่าท่าน” สวี่ชิงปลอบคนเป็นมากๆ เอ่ยโน้มน้าวอยู่ข้างๆ
ประโยคนี้ได้ผลจริงๆ นายกองหลังจากฟังก็อึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็ฟื้นคืนกลับมา กัดฟันกรอดๆ
“ไม่เป็นไร เมื่อครู่เห็นผาดหนึ่ง ข้ามั่นใจแล้วว่าเป็นวิญญาณศัสตราที่เกิดจากของฝังให้คนตายที่ถูกข้าฝังเมื่อขาติที่แล้วสิงชิงร่าง
“ส่วนเป็นของฝังให้คนตายชิ้นใด ตอนนี้ข้ายังไม่อาจยืนยันได้
“แต่นี่ไม่ส่งผลต่อการชิงคืนมา ขอแค่ให้ข้าได้สัมผัส!” นายกองดวงตาฉายแววบ้าคลั่ง ลากสวี่ชิงมาหารือ
เพียงแต่เรื่องนี้หากคิดจะทำให้ได้มีความยากไม่น้อยเลย ก่อนอื่นคือกลิ่นอายที่โยวจิงแผ่ออกมา จากการสัมผัสรับรู้เป็นระดับสมบัติวิญญาณบริบูรณ์แล้ว
นี่ตรงกับในรายงานสงครามที่สวี่ชิงเคยอ่านเกี่ยวกับเรื่องที่โยวจิงได้รับบาดเจ็บสาหัสในสนามรบแล้วหายตัวไป
“ผู้อาวุโสใหญ่มณฑลรับเสด็จราชันจงใจปล่อยให้นางหนีเพื่อที่จะควบคุมองค์ชายเจ็ด เดิมข้าคิดว่าคงถูกผู้อาวุโสใหญ่พันธนาการอย่างลับๆ แต่ตอนนี้ดูแล้วคือปล่อยนางไปจริงๆ
“แต่ว่าสำหรับเรื่องนี้ทางผู้อาวุโสใหญ่จะต้องมีการวางแผนอย่างอื่นอีกแน่นอน
“น่าเสียดายที่นี่ห่างกับเขตปกครองผนึกสมุทรมากนัก ไม่เช่นนั้นก็ยังจะถามอะไรได้บ้าง”
สวี่ชิงเอ่ยพึมพำ
นายกองหรี่ตา เอ่ยออกมาเนิบนาบ
“ส่วนร่างเมื่อชาติที่แล้วของข้านั้นบนร่างกลิ่นอายความตายตลบอวล อีกทั้งยังไม่มีระลอกคลื่นวิชาใดๆ ทั้งสิ้น นี่ตรงกับการวิเคราะห์ของข้า อย่างไรเสียก็ตายมานานขนาดนั้น ไอ้บ้าที่สิงชิงร่างนั่นก็แค่ครอบครองเปลือกเอาไว้เท่านั้น
“แต่ว่าพลังกายเนื้อของร่างชาติก่อนข้าเทียบได้กระทั่งระดับสมบัติวิญญาณบริบูรณ์”
นายกองขมวดคิ้ว ร่างชาติก่อนร่างหนึ่งก็ทำให้เขาไร้หนทางจะต่อกร ตอนนี้ยังมีโยวจิงอีก เช่นนี้แล้วหากคิดจะสัมผัสร่างชาติก่อน โดยพื้นฐานแล้วเป็นไปไม่ได้เลย
“ดูจากความสนิทชิดเชื้อของโยวจิงกับร่างชาติก่อนของศิษย์พี่ใหญ่ ตัวตนของร่างชาติก่อนท่านก็คงเป็นเสวียนมิ่งจื่อ ผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งแห่งเทือกเขามิรู้สิ้น
“เพียงแต่ค่อนข้างแปลกใจว่าไยโยวจิงจึงมาอยู่ที่นี่ แล้วไยจึงตกหลุมรักทันทีที่เห็น รักจนถึงขั้นนี้”
สวี่ชิงยังคงรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล จึงมองไปทางนายกอง
“เราต้องการรายงานเกี่ยวกับเสวียนมิ่งจื่อผู้นี้”
“ข้ามีรายงานของมัน ก่อนหน้านี้แม้ข้าจะไม่ได้สนใจบุคคลตัวเล็กๆ พวกนี้ แต่ก็ถือโอกาสรวบรวมมาอยู่บ้าง” นายกองพูดพลางเปิดถุงเก็บของค้นหา ไม่นานก็หาแผ่นหยกแผ่นหนึ่งเจอ ในนั้นมีกล่าวถึงเรื่องของเสวียนมิ่งจื่อผู้นี้อยู่บ้าง
อีกฝ่ายสร้างสำนักขึ้นมาสำนักหนึ่งที่เทือกเขามิรู้สิ้น ชื่อว่าสำนักชีวาทมิฬ
และคนผู้นี้ปิดด่านอยู่ในสำนักชีวาทมิฬมาเนิ่นนาน น้อยนักที่จะออกไปข้างนอก จินตนาการได้ว่าสถานที่ที่ปิดด่านจะต้องมีการป้องกันแน่นหนาอย่างแน่นอน หากคิดจะแฝงตัวเข้าไปมีความเสี่ยงสูงมาก
อีกทั้งโอกาสยังมีเพียงแค่ครั้งเดียว หากถูกอีกฝ่ายเจอตัว สถานการณ์ของพวกสวี่ชิงจะอันตรายเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้นหลังจากที่สวี่ชิงกับนายกองหารือกันสองคนแล้ว ก็รู้สึกว่าทำได้แค่แผนการบางอย่างเท่านั้นจึงจะได้
“ศิษย์พี่ใหญ่ ร่างชาติก่อนของท่านกับโยวจิงจะเข้าพิธีสมรสกันช่วงนี้…” สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด ในสมองมีแผนการหนึ่งผุดขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด
นายกองได้ฟังก็มีลางไม่ดีอย่างหนึ่งผุดขึ้น
“ศิษย์พี่ใหญ่ โยวจิงจะไปชำระล้างที่บ่อวิญญาณของสำนักบุปผาหยินหยางหนึ่งเดือนมิใช่หรือ หากตอนนั้นพวกเรามีวิธีขังนางเอาไว้ ทำให้นางไม่สามารถเข้าพิธีได้…
“จากนั้นศิษย์พี่ใหญ่ท่านก็ปลอมตัวเป็นโยวจิง”
สวี่ชิงเพิ่งพูดถึงตรงนี้ นายกองก็เบิกตาโพลง อู๋เจี้ยนอูและหนิงเหยียนก็วิ่งกลับมาแล้ว หลังจากได้ยินเรื่องพวกนี้ ต่างในตาฉายประกายแสงประหลาด โดยเฉพาะหนิงเหยียนยิ่งแสยะยิ้มมีความสุขอย่างอดไม่ได้ แต่ก็กลัวว่าจะถูกอัดอีก จึงพยายามควบคุมตัวเอง
สวี่ชิงพูดต่อไป
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านเข้าใจร่างชาติก่อนของท่านมากที่สุด และท่านก็เข้าใจโยวจิงมากทีเดียว ในเมื่อท่านเคยไปบ้านของนาง โดยเฉพาะท่านยิ่งเชี่ยวชาญการปลอมตัวเป็นเพศตรงข้าม อีกทั้งยังมีประสบการณ์ ยังจำองค์หญิงเผ่าสิงซากสมุทรเมื่อตอนนั้นได้หรือไม่ ท่านในตอนนั้นปลอมได้เหมือนมาก เหมือนจริงเกินบรรยาย”
สวี่ชิงจ้องมองนายกอง เอาผิงกั่วออกมาลูกหนึ่งแล้วยื่นไป เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
“ดังนั้นข้ารู้สึกว่า ท่านปลอมตัวเป็นโยวจิงไปเข้าพิธีสมรสกับร่างชาติก่อนของท่าน เช่นนี้ท่านก็สามารถสัมผัสร่างชาติก่อนของท่านได้แล้วมิใช่หรือ
“แน่นอน เงื่อนไขคือพวกเรามีวิธีกักขังโยวจิง และท่านสามารถปิดบังร่างชาติก่อนของท่านได้”
นายกองรับผิงกั่วเอาไว้ตามสัญชาตญาณ สีหน้าลังเล
เขารู้สึกว่าแผนที่สวี่ชิงว่ามาลงมือทำได้ เพียงแต่คิดถึงว่าตัวเองไปแต่งงานกับร่างชาติก่อน ความรู้สึกเหลวไหลก็ทำให้ในใจของเขาสับสนทำอะไรไม่ถูก
“ศิษย์พี่ใหญ่ ตอนนี้วิธีที่คิดได้ก็มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น เพียงแต่บ้าระห่ำไปหน่อย ท่านอาจจะรับไม่ได้” สวี่ชิงถอนหายใจ ตบๆ บ่านายกอง
นายกองกัดฟัน สีหน้าเหี้ยมเกรียม หายใจหอบถี่ สุดท้ายในดวงตาก็ฉายแววบ้าระห่ำออกมา
“ข้าทำได้!
“แต่ว่าแผนนี้ต้องเตรียมการให้ดีถึงจะได้ อาชิงน้อย เศษเสี้ยวโลกของเจ้าเอามาให้ข้ายืมหน่อย นี่เป็นพื้นฐานในการกักขังนาง
“คิดจะกักขังโยวจิง วิธีธรรมดาไม่ได้ผล ข้ายังต้องวางค่ายกลขนาดใหญ่มโหฬารเอาไว้ในเศษเสี้ยวโลกของเจ้า กระทั่งว่ายังต้องเดินทางไปที่นั่น ปลดผนึกบางส่วน รวมกับพลังหนังวิเศษของข้า และพลานุภาพของดวงอาทิตย์ ใช่แล้ว ปราณเขาจักรพรรดิภูตของเจ้าก็รวมอยู่ในนี้ด้วย
“เช่นนี้ถึงจะปิดเศษเสี้ยวโลก ขังนางเอาไว้ข้างในได้!
“ส่วนปกปิดร่างชาติก่อนของข้า ข้าหาวิธีเอง!”
นายกองตาแดงก่ำ เพื่อเอาร่างของตัวเองกลับมา เขาเหมือนตัดสินใจทุ่มสุดพลัง จึงศึกษาหารือรายละเอียดบางอย่างกับสวี่ชิงอีก ยกตัวอย่างเช่นจะวางแผนอย่างไร จะทำอย่างไรให้ไม่ดึงความสนใจจากสำนักบุปผาหยินหยาง
ระหว่างนั้นสวี่ชิงยังถามข้อสงสัยของตัวเองออกมาด้วย นั่นก็คือเรื่องนี้มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่อีกฝ่ายกำลังวางเหยื่อล่อ
อย่างไรเรื่องบางเรื่องไม่สามารถมองเพียงผิวเผินได้
นายกองได้ยินก็พยักหน้า สายตาที่มองไปทางสวี่ชิงมีประกายแสงประหลาดกลุ่มหนึ่งฉายวาบขึ้นมาแล้วหายไป แต่ไม่นานนักเขาก็ท่าทางมั่นอกมั่นใจ ตบอกบอกว่าเขามีวิธีจัดการ
สวี่ชิงมองนายกองผาดหนึ่ง หลังจากนายกองเข้ามาในเทือกเขามิรู้สิ้น คำพูดคำจาท่าทางเหมือนจะแตกต่างไปจากในความทรงจำของเขาเล็กน้อย แต่ว่าคำพูดมั่นอกมั่นใจเช่นนี้ก็พูดเอาไว้มากมาโดยตลอดจริงๆ
หลายวันหลังจากนั้น พวกเขาหารือกันหลายครั้ง สุดท้ายก็กำหนดแผนการ ออกเดินทางไปยังสำนักบุปฝาหยินหยางที่ตั้งอยู่ทางใต้ของเทือกเขามิรู้สิ้น
สำนักบุปผาหยินหยางอยู่ในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราเป็นสำนักใหญ่สำนักหนึ่ง เนื่องจากขึ้นกับตำหนักเทพรับผิดชอบระบำบวงสรวง มีอำนาจในระดับหนึ่ง ดังนั้นในทิศเหนือใต้ออกตก ล้วนมีสำนักสาขาย่อยมากมาย
ลูกศิษย์มีดีชั่วปะปน ตัวตนปลอมก็หาซื้อเอามาได้ง่ายมาก
นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ตอนนายกองมาเลือกจึงตัวตนของสำนักนี้
ส่วนสำนักย่อยที่เทือกเขามิรู้สิ้นเป็นเพียงแค่สำนักจำนวนหนึ่งในแผ่นดินใหญ่ทางใต้เท่านั้น บรรพจารย์ของพวกเขาเป็นระดับหวนสู่อนัตตา อยู่ที่ที่ราบสำนึกบาป สาขาหลักของตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดเป็นประจำ
ส่วนเจ้าสำนักของสำนักย่อยเป็นบุตรในสายโลหิตของเขา มีพลังบำเพ็ญระดับสมบัติวิญญาณ คอยดูแลสำนักแห่งนี้
แต่เนื่องจากสาขาย่อยของสำนักบุปผาหยินหยางมีมากมายนัก ดังนั้นระหว่างสำนักความจริงแล้วไม่ได้สามัคคีกันเท่าไร ต่อให้มีการไปมาหาสู่กันบ้าง ก็ไม่ได้สนิทสนมกันถึงเพียงนั้น คล้ายว่าต่างฝ่ายต่างกีดกันกัน ค่อนข้างหวาดระแวงป้องกันอีกฝ่าย
แม้นายกองกับสวี่ชิงจะมีตำแหน่งฐานะในสำนักบุปผาหยินหยาง แต่เมื่ออยู่หน้าประตูสำนัก หลังจากที่ยื่นป้ายฐานะออกไปก็ยังคงถูกขวางเอาไว้
ประตูสำนักบุปผาหยินหยางอยู่บนยอดเขาคู่แห่งหนึ่งในเทือกเขามิรู้สิ้น สิ่งก่อสร้างในนั้นรั้วแกะสลักอิฐเป็นหยก หรูหราเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะทะเลสาบวิญญาณข้างหลังเขา เนื่องจากเป็นจุดไหลรวมของแม่น้ำวิญญาณของเทือกเขามิรู้สิ้น จึงยิ่งมีชื่อเสียง
ตอนนี้ใต้ยอดเขาคู่แห่งนี้ ม่านแสงทางหนึ่งปรากฏข้างหน้านายกองกับสวี่ชิง ขณะเดียวกับที่ขัดขวางฝีเท้า ลูกศิษย์ที่เฝ้าประตูสำนักสามคน ก็ปรากฏออกมาจากในนั้น
“ป้ายของพวกเจ้าไม่ใช่ของสำนักทางใต้เทือกเขามิรู้สิ้น ตามกฎสำนักแล้วจะให้พวกเจ้าเข้าไปง่ายๆ ไม่ได้ ดังนั้นมากันจากทางไหนก็กลับไปทางนั้นเถอะ”
ชายกลางคนที่อยู่ตรงกลางคนทั้งสามมือไพล่หลัง เอ่ยราบเรียบ
สำหรับเรื่องนี้ พวกสวี่ชิงระหว่างทางมาก็มีแผนรับมือแล้ว ดังนั้นใบหน้านายกองจึงเผยรอยยิ้ม ก้าวขึ้นไปสามสี่ก้าว มือขวายกขึ้นวางไว้บนถุงเก็บของ กำลังจะเอาอะไรออกมา
แต่ในตอนนี้เอง ท้องฟ้ามีระลอกคลื่นพลังแผ่ระลอกมา เสียงเอ๊ะเบาๆ ดังก้องมาจากปลายขอบฟ้า จากนั้นสิ่งที่ตามมาคือระลอกคลื่นพลังระดับสมบัติวิญญาณพัดกวาดไปทั่วทั้งสี่ทิศ
สวี่ชิงสีหน้าเคร่งขรึม นายกองชะงักไปเหมือนกัน
ในตอนที่อู๋เจี้ยนอูและหนิงเหยียนอยู่ข้างหลังแอบพูดในใจว่าแย่แล้ว เงาร่างหนึ่งก็ออกมาจากท้องฟ้า เพียงพริบตาลอยลงมายังกลางอากาศ
นี่เป็นหญิงสาววัยกลางคนสวมชุดนักพรตคนหนึ่ง หน้าตาค่อนข้างงาม ในพริบตาที่ปรากฏตัวขึ้น ลูกศิษย์ที่เฝ้าประตูสำนักทั้งสามสีหน้าเปลี่ยนไป รีบคุกเข่าคำนับทันที
“คารวะเจ้าสำนัก”
สวี่ชิงกับนายกองก็รีบประสานหมัดเช่นกัน สีหน้าเคารพนอบน้อม แต่ว่าในขณะที่สวี่ชิงโค้งคารวะอยู่ทางนี้ ในใจก็เกิดความสงสัย อีกฝ่ายเหมือนว่าจะมาได้ค่อนข้างเหมาะเจาะ
ส่วนสายตาของหญิงวัยกลางคนคนนั้นไม่ได้มองไปทางสวี่ชิงกับนายกองเลย ในพริบตาที่นางปรากฏตัวออกมา ใบหน้าก็ฉายรอยยิ้ม มองไปทางอู๋เจี้ยนอู เอ่ยเสียงแผ่วเบา
“คุณชายผู้นี้ นี่เป็นครั้งที่สองที่พวกเราได้พบกันแล้ว กลอนของท่านเมื่อครั้งที่แล้ว ข้ายังจำได้เหมือนเพิ่งฟังเมื่อวาน”