ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 575-2 เป็นความผิดของจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวทั้งหมด (2)
บทที่ 575-2 เป็นความผิดของจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวทั้งหมด (2)
Ink Stone_Fantasy
นกแก้วอึ้ง อู๋เจี้ยนอูสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย
“ข้าวางค่ายกลไว้ในเศษเสี้ยวโลกได้ช่วงหนึ่งแล้ว ส่วนเอามันไปวางไว้ในบ่อวิญญาณอีกทั้งสร้างค่ายกลซ่อนอำพรางใช้เวลาแค่สามชั่วยามก็พอแล้ว”
นกแก้วก้มหน้าแอบมองบิดาของตน อู๋เจี้ยนอูในใจเกิดความสงสัย ส่วนนายกองก็รู้จักอู๋เจี้ยนอูเป็นอย่างดี ก้าวขึ้นไปเอ่ยโน้มน้าว ในยามที่อู๋เจี้ยนอูเริ่มหวั่นไหว นายกองช่วยกำหนดคำตอบ
“ร่างชาติก่อนของข้าอย่างดีก็ไม่เอา ข้าก็มีวิธีสำรองวิธีอื่น แต่ตำราโบราณห้าฉบับของจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว เฮ้อ เจ้าไม่ได้ครอบครองมันแล้วล่ะ
“ในนั้นเล่าเรื่องของจักรพรรดิโบราณเอาไว้มากมาย รวมถึงเจตจำนงในตอนแรกของจักรพรรดิโบราณ ทั้งยังเขียนเล่าเอาไว้ด้วยบทกลอน…
“ข้ายังจำเสี้ยวบทกลอนบทหนึ่งในนั้นได้ ข้าจะท่องให้เจ้าฟังนะ
“มรรคาสวรรค์ก้มหน้า อาทิตย์จันทราสาดแสงอีกครา ชำระล้างนครา รวมแปดทิศทักษาเป็นหนึ่ง!”
นายกองเอ่ยเสียงแผ่วเบา และประโยคนี้เมื่อดังออกมา รัศมีพลังอำนาจที่ยากพรรณนากลุ่มหนึ่ง ก็ซัดโหมตามมา
ฟังจนอู๋เจี้ยนอูสั่นเทิ้มไปทั่วทั้งร่าง ในดวงตาฉายแววมุ่งมั่นปรารถนา สุดท้ายก็คว้านกแก้วบนศีรษะ หลังจากเก็บมันลงไป เขาก็สูดลมหายในลึก พยักหน้าอย่างหนักแน่น
“ลงมือ!”
แววตาของเขามุ่งมั่น ตัวอักษรที่เอ่ยออกมาสองตัวแฝงด้วยความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว ในใจเต็มไปด้วยความแน่วแน่
เห็นเป็นเช่นนี้ นายกองดวงตาฉายแววชื่นชม ท่าทางเหมือนชื่นชมท่าทีเช่นนี้ของอู๋เจี้ยนอูมาก ก้าวไปปรึกษาหารือแผนกับเขา
สวี่ชิงมองทุกอย่างนี้จากข้างๆ ถอนหายใจในใจ เดินออกไปนอกเรือนที่พัก ขณะเดียวกับที่ทำการคุ้มกันให้พวกเขาก็มองไปยังท้องฟ้าที่ไกล
ฟ้าดินที่เดิมควรจะมืดมิดกลับถูกขับเน้นไปด้วยแสงริบหรี่กลุ่มหนึ่ง
นั่นคือผีเสื้อหัวเสือ ผีเสื้อเริงระบำที่มีเฉพาะสำนักบุปผาหยินหยาง ไม่ใช่เพียงแผ่คำสาปอีกทั้งยังมีพิษร้ายแรงเท่านั้น ยิ่งสามารถแผ่ประกายแสงในยามค่ำคืนได้ด้วย
“แต่ว่าความรู้สึกเหมือนฝันของข้าสองครั้งก่อนหน้านี้เป็นเพราะอะไรกันแน่”
สวี่ชิงครุ่นคิด สัมผัสนิ้วเทพเจ้าในติงหนึ่งสามสองในร่างกาย พบว่าองค์ท่านหลับอย่างสุขสงบ…
“หรือจะเป็นก่อนหน้านี้ในยามที่ฟ้าดินปั่นป่วนเหนี่ยวนำเคราะห์ชะตา เป็นภัยแอบแฝงที่เกิดขึ้นภายหลังบางอย่าง”
สวี่ชิงขมวดคิ้ว วิเคราะห์ในใจ
ไม่นานนัก หนึ่งคืนก็ผ่านไป
ภายใต้แผนการของนายกอง ในยามที่แสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณมาถึงจากฟ้าดินในที่ไกล แววตาของอู๋เจี้ยนอูล้ำลึก สีหน้าแฝงด้วยความเรียบเฉย มือไพล่หลัง เดินออกมาจากเรือนที่พัก
เขาจะไปทำภารกิจที่นายกองมอบให้ ไปล่อลวงอวิ๋นเสียจื่อ!
ภารกิจนี้ยากเย็นแต่สำคัญนัก เพราะผลเก็บเกี่ยวจากการทำภารกิจสำเร็จเกี่ยวพันกับความฝันของตน ดังนั้นในใจของเขาจึงเปลี่ยนมาจริงจังตั้งใจ จนกระทั่งในเสี้ยวพริบตาที่เดินออกไปที่หน้าประตู แสงอาทิตย์สาดมายังร่างของอู๋เจี้ยนอู เขาหันไปมองทางสวี่ชิงและนายกองอย่างอดไม่ได้
นายกองยกแขนขึ้น ทำท่าให้กำลังใจ
‘เจ้าทำได้อย่างแน่นอน!’
อู๋เจี้ยนอูเชิดหน้า พยักหน้าอย่างเรียบนิ่ง หันหลังเพียงไหววูบ ก็ตรงดิ่งไปยังที่ไกล
นายกองมองจนลับสายตา จนกระทั่งหลังจากนั้นหลายอึดใจ เมื่ออู๋เจี้ยนอูหายไปที่ปลายขอบฟ้า เขาก็เอาดวงตาออกมาดวงหนึ่ง นั่งยองๆ ที่มุมหนึ่ง กวักมือเรียกสวี่ชิง
สวี่ชิงไม่แปลกใจ เรื่องแบบนี้ เขาไม่เชื่อว่าด้วยนิสัยอยากรู้อยากเห็นของนายกองจะไม่แอบสะกดรอยตาม ดีไม่ดีจะเก็บภาพเคลื่อนไหวเอาไว้ด้วยซ้ำ
“ฮ่าๆ พี่เจี้ยนเจี้ยนคนนี้คบกันได้!” นายกองได้ใจ มองดวงตาที่อยู่ข้างหน้า จากนั้นก็หยิบแผ่นหยกบันทึกภาพเคลื่อนไหวออกมาแผ่นหนึ่ง เริ่มทำการบันทึก
สวี่ชิงไม่พูดอะไร สายตาจับจ้องอยู่บนดวงตา ในนั้นสะท้อนเงาร่างของอู๋เจี้ยนอูออกมา
อู๋เจี้ยนอูเดินอยู่ในสำนักบุปผาหยินหยาง ตลอดทางใจกระวนกระวายไม่เป็นสุข คอยให้กำลังใจตัวเองอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งมาถึงยังข้างศาลาแห่งหนึ่ง เขาสูดลมหายใจลึก เอาแผ่นหยกออกมาสื่อเสียงหาอวิ๋นเสียจื่อ
“วิหคอยู่กลางนภาไม่เห็นเงา สองเรามีบุพเพมีศาลาพานพบเซียนคนดี!”
ตอนนั้นอีกฝ่ายส่งพวกเขามา ก่อนจากต่างมอบแผ่นหยกไว้ให้กัน ตอนนี้สื่อเสียงเรียบร้อย อู๋เจี้ยนอูมือไพล่หลัง เงยหน้า ทอดสายตามองท้องฟ้า
ลมพัดมา พัดเส้นผมของเขาปลิว ขณะที่ปลิวพลิ้วไหวราวใจที่สั่นคลอน ข้างหลังเขาก็มีเสียงอ่อนโยนที่แฝงมาด้วยเสียงหัวเราะดังขึ้นมา
“คุณชายเรียกข้าหรือ”
อู๋เจี้ยนอูไม่ได้หันมา เอ่ยขึ้นอย่างหยิ่งทะนง
“แสงประกายพรายรุ้งบนฝากฟ้า สาดแสงมาถักทอเป็นระลอกคลื่น แสงพรายรุ้งบนผิวพื้นปฐพี ก็ยังมีนักกวีร่ายบทกลอนท่องเที่ยวไป”
ดวงตาอวิ๋นเสียจื่อมีคลื่นแสง เดินมาข้างกายอู๋เจี้ยนอู มองใบหน้าด้านข้างของเขาแล้วพลันเอ่ยขึ้นมา
“ดวงจันทร์บรรพกาลเพรียกหาสายธารฉ่ำยามรุ่งสาง แต่ปล่อยวางวันนี้ดวงหทัยไร้เกลียวคลื่น”
อู๋เจี้ยนอูร่างสะท้านเฮือก หันหน้ามองอวิ๋นเสียจื่อที่อยู่ข้างกาย ดวงตาฉายประกายประหลาด
เดิมเขาคิดว่าอีกฝ่ายแค่เข้าใจตัวเขาเท่านั้น คำพูดที่นัดอีกฝ่ายมาร่วมร่ายบทกลอนกวีกันก็แค่พูดไปตามปากเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าอวิ๋นเสียจื่อคนนี้จะร่ายบทกลอนได้จริงๆ
ดังนั้นความตื่นเต้นยินดีจึงยิ่งพุ่งเพิ่มขึ้น จึงเอ่ยเสียงต่ำทุ้มออกไป
“วายุทมิฬมิคำรามก้อง ใครเล่าจะร้องขับขาน สายวารีขจีเขียว ยังคงซัดเกลียวคลื่นแผ่ระลอก!”
แสงอาทิตย์สาดแสงไปบนใบหน้าของอวิ๋นเสียจื่อ ทำให้เกิดเป็นแสงพรายแดงระเรื่อขึ้นมา นางมองไปยังขอบฟ้า เอ่ยเสียงแผ่วเบา
“เขาเขียวมิแก่ชรา แม้ผืนนภาจะโยกคลอน สุดสะท้อนใจทอดถอน ชีวิตดุจฝันใครกันปีนได้สูง”
อู๋เจี้ยนอูเงียบนิ่ง หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็ยังคงไม่ยอมแพ้ เอ่ยขึ้นอีก
“บ๊วยเขียวสุกวันคืนเปลี่ยนผัน ใครจะร่วมกลั่นสุรา ร่วมสนทนาคืนวันที่เคยสุขสันต์!”
อวิ๋นเสียจื่ออยากจะพูดอะไรแต่ก็หยุดเอาไว้ ขณะที่ความคิดแผ่ระลอกคลื่น เสียงอ่อนโยนก็ดังก้อง
“พานพบพูดคุยสุขอุรา สายลมพัดพาเลือนหาย สายสัมพันธ์เราสองยังอยู่ เป็นคู่คอยร่วมสนทนาธรรม”
อู๋เจี้ยนอูค่อนข้างผิดหวังเศร้าหมอง แต่ก็ยังคงฝืนพยายามยิ้มออกมา
อวิ๋นเสียจื่อยิ้มออกมาเช่นกัน ทั้งสองเดินลงไปจากศาลา เดินไปทางที่ไกล
ลมพัดอยู่เคียงข้าง แสงสะท้อนเส้นทางข้างหน้า ผีเสื้อเริงระบำบินล้อมวนเวียนรอบๆ ท่ามกลางความรางเลือน ก็ฉายความงดงามที่ยากบรรยายได้ออกมา
เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไม ในภาพที่งดงามนี้แฝงไว้ด้วยความเศร้าอยู่นิดๆ
“ตั้งแต่ต้นจนจบพวกเขาคุยอะไรกัน” นายกองรู้ว่าจะทำลายบรรยากาศได้อย่างไร ตอนนี้มองสวี่ชิงอย่างงุนงง เอ่ยขึ้นอีกประโยคว่า
“ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าพวกเขากำลังส่งรหัสลับอะไรกัน”
สวี่ชิงก็งงงันไปเช่นกัน กลอนของอู๋เจี้ยนอู คนที่ฟังเข้าใจ จนกระทั่งตอนนี้ก็มีเพียงอวิ๋นเสียจื่อคนเดียวเท่านั้น
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ทั้งสองก็มองตากัน แล้วจับตามองอู๋เจี้ยนอูต่อไป
หนึ่งวันผ่านไป ในยามพลบค่ำ อู๋เจี้ยนอูเดินมา สีหน้าขมขื่น แฝงไว้ด้วยความซับซ้อนและสะท้อนใจ เมื่อกลับมาก็ไม่พูดไม่จา นั่งเงียบๆ บนเก้าอี้เหม่อลอย
เห็นเป็นเช่นนี้ นายกองก็เดินไปปลอบ พยายามลองถาม แต่อู๋เจี้ยนอูส่ายหน้า สุดท้ายก็ถอนใจ
“ชาตินี้ไม่อาจพานพบบุปผางามบานร้อยปี เม็ดธุลีริมฝั่งน้ำห่างไกลดารากั้นมิอาจเคียงข้างกัน”
นายกองขมวดคิ้ว มองไปทางสวี่ชิง
สวี่ชิงสายตาเย็นเยียบ เอ่ยราบเรียบ
“พูดภาษาคน!”
อู๋เจี้ยนอูใบหน้าทุกข์ระทม เอานกแก้วออกมาวางบนศีรษะ นกแก้วถอนหายใจ เอ่ยเสียงต่ำ
“พ่อข้าถูกปฏิเสธแล้ว”
“ไม่เป็นไร ผู้หญิงน่ะก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น ต้องสงวนท่าทีเอาไว้ก่อน ทำให้เจ้าไม่ได้ไปง่าย!” นายกองเมื่อได้ยินก็รีบโอบไหล่อู๋เจี้ยนอู หารือต่อไป
เช่นนี้เอง ในยามที่เช้าตรู่มาเยือนอีกครั้ง อู๋เจี้ยนอูก็ฮึดสู้ เดินออกไปอีกครั้ง ทำการนัดหมายต่อไป
เวลาหมุนผ่านไปช้าๆ ไม่นานนักก็ผ่านไปยี่สิบวัน ห่างจากวันที่โยวจิงจะมาเยือนไม่ถึงเจ็ดวันแล้ว
หลายวันนี้ แม้สวี่ชิงและนายกองจะไปบ่อวิญญาณบ้าง แต่ก็ไม่ได้ลงมือทำอะไร ส่วนอู๋เจี้ยนอูทางนั้นก็มีการพัฒนาไปบ้างเล็กน้อย
เขาแทบจะนัดพบกับอวิ๋นเสียจื่อทุกวัน ทั้งสองคนบางครั้งไปท่องเที่ยวชานเมืองด้วยกัน บางครั้งมาร่ายกลอนด้วยกัน กระทั่งว่ามีหลายครั้งที่พูดคุยกันอย่างถูกคอ ชื่อชมความสามารถด้านกลอนกวีของจักรพรรดิโบราณด้วยกัน ระหว่างทั้งสองสนิทสนมกันโดยไม่รู้ตัว
ระหว่างนี้ สำหรับทิศทางแนวโน้มการเคลื่อนไหวของสวี่ชิงกับนายกอง ทุกวันก็ล้วนมีรายงานมาทางอวิ๋นเสียจื่อทางนี้ หลังจากที่ทุกอย่างเป็นปกติ ความสงสัยในตัวทั้งสองคนของอวิ๋นเสียจื่อก็ค่อยๆ จางไป
จวบจนกระทั่งห่างจากวันที่โยวจิงจะมาอีกสามวัน สวี่ชิงและนายกองก็ตัดสินใจลงมือ พวกเขาไปยังบ่อวิญญาณเหมือนอย่างทุกวัน แช่อยู่ในนั้น นั่งขัดสมาธิทำสมาธิ
แต่นิ้วเท้านายกองนิ้วหนึ่ง อยู่ในบ่อวิญญาณแยกกับร่างออกไป เปลี่ยนเป็นหนอนตัวเล็กตัวหนึ่ง คืบคลานไปใต้น้ำช้าๆ
หลังจากที่คลานไปทั่วทั้งบ่อวิญญาณอย่างเงียบงันรอบหนึ่ง ก็แปรเปลี่ยนเป็นโคลนก้อนหนึ่งที่กลางบ่อ ติดไปที่พื้นบ่อวิญญาณอย่างแนบสนิท
สวี่ชิงหลับตา ดูดซับพลังหล่อเลี้ยงในบ่อวิญญาณ ไม่เผยช่องโหว่ใดๆ ออกมา แต่ในตอนที่นายกองทางนั้นใกล้จะสำเร็จ บนท้องฟ้าก็มีผีเสื้อเริงระบำฝูงหนึ่งบินมา
พวกมันบินมาจากบนฟ้า สวี่ชิงในใจเกิดระลอกคลื่นอารมณ์ ในพริบตาที่ลืมตาไปมอง ความรู้สึกเหมือนฝันและรางเลือนแบบนั้นก็ปรากฏขึ้นข้างหน้าอีกครั้ง
โลกทั้งใบเหมือนจะทับซ้อนกันอย่างรุนแรงในเสี้ยวขณะนี้ จะก้อนหิน ภูเขาก็ดี จะเป็นบ่อวิญญาณก็ดี และยังมีทุกคนที่อยู่ที่นี่ ต่างมีเงาซ้อนปรากฏขึ้นมา มีเพียงนายกองทางนั้นที่ชัดเจน!
กระทั่งว่าความเจ็บปวดในสมองเป็นระลอกๆ ก็เกิดขึ้นในเสี้ยวขณะนี้ แปรเปลี่ยนเป็นความวิงเวียน เหมือนว่าโลกทั้งใบมีเขาเป็นศูนย์กลางหมุนวนไปทิศทางหนึ่ง
ความรู้สึกนี้ทำให้สวี่ชิงจำต้องหลับตาไปตามสัญชาตญาณ ในขณะที่พอจะคลายความมึนงงไปได้ ความรู้สึกอ่อนแรงและคลื่นเหียนกลับไม่จางหายไป และที่หน้าผากก็ไม่รู้ว่ามีเหงื่อมหาศาลผุดออกมาตั้งแต่เมื่อไร
ต่อให้แช่อยู่ในบ่อที่อุ่น แต่ก็ไม่สามารถขจัดความเย็นเยือกที่แผ่จากข้างในไปข้างนอกได้ เสียงทุกอย่างข้างหูเหมือนมีมิติกั้น เปลี่ยนมาแผ่วเบาลงไป
ครั้งนี้เวลาที่เกิดขึ้นนานกว่าก่อนหน้านี้ หลังจากหลายสิบอึดใจสวี่ชิงถึงจะฟื้นสภาพกลับมา
ในพริบตาที่ลืมตาอีกครั้ง สวี่ชิงลมหายใจหอบถี่ สีหน้าขาวซีดไม่มีสีเลือดใดๆ ทั้งสิ้น เขายันหินในบ่อข้างกายไปโดยสัญชาตญาณ ในยามที่มองไปทางนายกอง นายกองสีหน้าแฝงด้วยความเป็นห่วง พยุงร่างที่เกือบจะร่วงไปกองบนพื้นของเขาเอาไว้
นายกองเงียบนิ่ง ไม่ได้ตอบคำถามนี้ แต่ยิ้มออกมา ในดวงตาฉายแววจริงใจ เอ่ยเสียงแผ่วเบา
“อาชิงน้อย เชื่อข้าก็พอแล้ว”
สวี่ชิงเงียบนิ่ง หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็พยักหน้า ไม่ได้ซักไซร้ต่อ
และพวกเขาก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ไปจากที่นี่ กลับไปยังเรือนที่พัก
เหตุการณ์ทั้งหมดไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติใดๆ ทั้งสิ้น นี่ทำให้สวี่ชิงสัมผัสได้ตามสัญชาตญาณว่าทุกอย่างราบรื่นเกินไป เหมือนว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่พวกเขาคิดเอาไว้
อู๋เจี้ยนอูสร้างความสัมพันธ์อันสนิทสนมกับอวิ๋นเสียจื่อได้สำเร็จ ทำให้อีกฝ่ายไม่สังเกตถึงการเคลื่อนไหวของพวกเขา
ด้วยเหตุนี้การวางกับดักในแผนก็สำเร็จลงอย่างราบรื่น รอเพียงโยวจิงมาถึงเท่านั้น
แต่สวี่ชิงไม่ได้ถามคำถามนี้ออกไป ในวันที่สองเขาก็ไปจากสำนักบุปผาหยินหยางพร้อมกับนายกองและอู๋เจี้ยนอูอย่างเงียบนิ่ง
ก่อนจาก อู๋เจี้ยนอูเห็นได้ชัดว่ายังอาลัยอาวรณ์อยู่นิดๆ แต่เพื่อภารกิจอันยิ่งใหญ่ เขาก็กัดฟัน ภายใต้สายตาที่มองจนลับหายไปของอวิ๋นเสียจื่อ ก็จากไปไกลอย่างไม่แม้แต่จะหันกลับมา
หลังจากจากไปสามวัน โยวจิงก็ปรากฏตัวขึ้น
จากที่ไกลๆ ที่ปลายขอบฟ้า คนกลุ่มหนึ่งมาอย่างยิ่งใหญ่ สาวใช้โปรยดอกไม้ ดนตรีแว่วกังวาน เงาร่างโยวจิงอยู่ในนั้น ยุรยาตรย่างกรายมา
เพียงแต่ไม่มีใครสังเกตว่าในเสี้ยวพริบตาที่นางมา ในภูเขายอดคู่มีดวงตาแก่ชราคู่หนึ่งลืมตาขึ้นช้าๆ มองไปด้วยความหมายลึกซึ้ง
“น่าสนใจ”