ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 576-2 ละครฉากใหญ่ (2)
บทที่ 576-2 ละครฉากใหญ่ (2)
“โยวจิงเป็นอย่างไรบ้าง” สวี่ชิงเอ่ยราบเรียบ
“นางน่ะหรือ ไม่เป็นไรแล้ว หลังจากข้าเล่าเรื่องทั้งหมดให้นางฟัง นางก็รู้สึกซับซ้อนจนไม่อาจพรรณนาออกมาได้ จากนั้นพวกเราก็แลกเปลี่ยนและพูดคุยกันฉันท์มิตร”
นายกองนั่งลงข้างๆ โกนขนพลางเอ่ยอย่างได้ใจ
สภาพเช่นนี้ ดูแปลกประหลาดอย่างยิ่ง
“ด้วยเหตุฉะนี้ ข้ากับนางจึงคลี่คลายเรื่องเข้าใจผิดเมื่อก่อนได้แล้ว ส่วนนางก็ซาบซึ้งจนบอกความจริงกับข้า จึงยอมร่วมมือด้วย เลือกปิดผนึกตัวเอง
“เจ้าดูสิ ข้าเป็นคนที่มีเหตุผลจะตาย”
นายกองโกนขาข้างหนึ่งเสร็จก็เปลี่ยนไปอีกข้างต่อ ส่วนขนเหล่านั้นก็หายไป
สวี่ชิงเหลือบมอง ไม่พูดอะไร นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ
เห็นว่าสวี่ชิงไม่สนใจ นายกองก็ยิ้ม ล้วงผิงกั่วออกมากัดคำหนึ่ง แล้วก็โยนให้สวี่ชิงผลหนึ่งด้วย
หลังจากสวี่ชิงรับไปก็มองผิงกั่วในมือ เงยหน้ามองนายกองด้วยแววตาล้ำลึก
นายกองอมยิ้ม
สวี่ชิงหลับตาลง ซ่อนอำพรางร่างกาย
แต่ละวันผ่านพ้นไป ทุกอย่างเป็นปกติ หลังจากสาวใช้เหล่านั้นตื่นแม้จรู้สึกสงสัยบ้าง แต่เห็นว่าเจ้านายของตนไม่มีอะไรผิดปกติจึงไม่กล้าเอ่ยถาม
การปลอมตัวของนายกองสมจริงอย่างยิ่ง ไม่เผยพิรุธเลยแม้แต่น้อย ราวกับเขาถามเรื่องราวจากโยวจิงมาไม่น้อยจริงๆ แสดงออกมาได้อย่างแนบเนียนถึงขีดสุด
มาถึงช่วงสุดท้าย สวี่ชิงเองก็แยกไม่ค่อยออก
ผ่านไปหนึ่งเดือนเช่นนี้ วันที่โยวจิงชำระล้างเสร็จสิ้น บนท้องฟ้าก็ปรากฏรังสีอันเป็นมงคลนับพัน ลำแสงอีกนับหมื่น ขบวนเคลื่อนลงมาจากฟ้ากฟ้าเพื่อต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่
ยังคงเป็นเกี้ยวกะโหลกมหึมาหลังนั้น ผู้บำเพ็ญเผ่าสิงโตสามสิบสองตนสวมชุดคลุมสีแดง ยกเกี้ยวเดินมา รอบๆ ยังมีคนรับใช้อีกจำนวนมหาศาล คอยเป่าบรรเลงเพลงมงคล
ตัวตนนับร้อย มาถึงด้านนอกสำนักบุปผาหยินหยาง พวกเขาต้องรับโยวจิงไปที่สำนักชีวาทมิฬ วันนี้ก็คือวันสมรส
อวิ๋นเสียจื่อที่ไม่ปรากฏตัวเสียนาน ปรากฏตัวขึ้นในวันนี้ นางมองโยวจิงที่เดินออกมานอกบ่อวิญญาณ ใบหน้าก็เผยรอยยิ้ม
โยวจิงผ่านพิธีชำระล้างร่างกายหนึ่งเดือน เห็นได้ชัดว่าผิวพรรณดีขึ้น โดยเฉพาะได้เปลี่ยนเป็นชุดใหม่ ตอนนี้จึงยิ่งเย้ายวนอย่างชัดเจน
อยู่ในชุดกระโปรงยาวสีแดงทั้งชุด ศีรษะสวมกวานหงส์ ใบหน้าแต่งแต้มชาดไว้อย่างพอเหมาะ ทำให้เสน่ห์ของนางแผ่กำจายออกมาจากทั้งร่าง ดึงดูดสายตาสำนักบุปผาหยินหยางนับไม่ถ้วน
ด้านนอกบ่อวิญญาณ นางบอกลาอวิ๋นเสียจื่อ จากนั้นก็ออกจากสำนักบุปผาหยินหยางไปพร้อมสาวใช้ที่รายล้อมรอบด้านรวมถึงองครักษ์เดินขึ้นไปบนเกี้ยวกะโหลก
หลังจากเสียงคำว่าเรียบร้อยต่ำดังขึ้น ร่างกำยำทั้งสามสิบสองก็ยกเกี้ยวขึ้นหาม เดินมุ่งหน้าไปที่ขอบฟ้า
มีเพลงบรรเลงคลอเคล้าไม่ขาดสาย ดอกไม้ยังคงโปรยลงมา ทุกแห่งที่ผ่านในเทือกเขามิรู้สิ้น ล้วนมีผู้บำเพ็ญทุกตนล้วนแล้วแต่เหลียวหลังมอง
วันนี้ สำนักต่างๆ ในเทือกเขามิรู้สิ้นล้วนถูกเชิญชวนให้ไปร่วมพิธีแต่งงานที่สำนักชีวาทมิฬ
เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นขบวนที่มารับเจ้าสาว หรือว่าศิษย์ที่อยู่ในสำนักบุปผาหยินหยาง ก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลยว่าตอนนี้เวลานี้ ในภูเขาคู่นี้มีเสียงหัวเราะแฝงความนัยลึกล้ำเสียงหนึ่งดังยาวนานกึกก้อง
จุดที่เสียงหัวเราะดังออกมา คือด้านในยอดเขาคู่ ที่นั่นมีถ้ำหินขนาดยักษ์อยู่แห่งหนึ่ง
ขนาดของถ้ำหินไม่เล็ก ราวกับขุดภูเขาทั้งลูกจนกลวง ชายชราในชุดคลุมห้าสีสยายผมยาวคนหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านบนสุด
ร่างชายชราแห้งเหี่ยวดูคล้ายโครงกระดูก แต่ไร้ปราณความตายแผ่ออกมาจากร่าง กลับกันยังเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต มีคลื่นพลังหวนสู่อนัตตาห้อมล้อมร่าง ยากที่จะแยกแยะรายละเอียดได้ในตอนนี้
ส่วนด้านล่างเขาฉายภาพที่มากพอจะสั่นสะเทือนไปทั่วสารทิศ ทำให้คนที่ได้เห็นทั้งหมดตกตะลึงพรึงเพริศ
นั่นเป็นภาพที่ฉายภูมิประเทศขนาดยักษ์ บางทีคนนอกอาจจะมองไม่ออกในพริบตาแรก แต่ผู้คนที่อยู่ที่นี่สามารถมองออกได้ในชั่วพริบตา ภาพที่ฉายอยู่นี้ก็คือเทือกเขามิรู้สิ้นนั่นเอง
นอกจากขนาด อย่างอื่นเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน
ต้นไม้ใบหญ้าแต่ละต้น ภูเขาแต่ละยอดก้อนหินแต่ละก้อน รวมถึงนกที่โบยบินบนฟากฟ้า ทั้งสิ่งปลูกสร้างในเมืองหรือสำนักที่อยู่ด้านล่างภูเขาในภาพล้วนเหมือนกับโลกภายนอก
สรรพสิ่งที่มีอยู่ในเทือกเขามิรู้สิ้น ล้วนฉายภาพพวกเขาในภาพนี้
รวมถึงสรรพชีวิตที่นี่ด้วย!
จะคนทั่วไปก็ดี หรือผู้บำเพ็ญก็ดี ก็ล้วนเป็นเช่นเดียวกัน
อีกทั้งกำลังโคจร ราวกับเป็นภาพย่อส่วนตามเวลาจริงของทั้งเทือกเขามิรู้สิ้น
แม้แต่พวกสวี่ชิงก็อยู่ด้านใน ขบวนรับเจ้าสาวที่ออกจากสำนักบุปผาหยินหยางก็เห็นเช่นกัน
ที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าคือร่างกายของสรรพชีวิตที่ฉายอยู่บนนั้นเหล่านี้จะมีเส้นใยอยู่เส้นหนึ่ง ราวกับเป็นเส้นโชคชะตาของพวกเขา แกว่งไปมาอยู่ในถ้ำส่วนในของภูเขาลูกนี้
เส้นใยแน่นขนัดไม่มีที่สิ้นสุดดูแปลกประหลาดอย่างยิ่ง และที่ประหลาดยิ่งกว่าคือชายชราห้าสีที่นั่งขัดสมาธิบนจุดสูงสุด กำลังยกสองมือขึ้นโบกไปมาไม่หยุด
ภายใต้คลื่นพลังของเขา เส้นใยที่มาจากสรรพชีวิตในเทือกเขามิรู้สิ้น ขณะที่แกว่งไปมาก็สัมผัสและพันเกี่ยวกัน
วาสนาที่เดิมไม่ควรเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นด้วยเหตุนี้ ความรู้สึกที่เดิมทีไม่ควรรู้สึกกลับปรากฏขึ้น ความสัมพันธ์ที่ไม่ควรได้สานสัมพันธ์ก็ก่อตัวขึ้นอย่างประหลาด
โชคชะตาของสรรพชีวิตถูกเปลี่ยนแปลง เส้นทางชีวิตได้รับผลกระทบ ทั้งหมดทั้งมวลต้องดำเนินไปตามความคิดของชายชราคนนี้ ราวกับว่าทั้งเทือกเขามิรู้สิ้นกลายเป็นละครฉากหนึ่ง
ชายชรา คือผู้สร้างละครฉากนี้ ทุกตัวตนในละคร ล้วนเป็นตัวละครที่เขาสร้างขึ้น
แม้พวกเขาจะมีความทรงจำและบุคลิกเดิม ทว่ากลับต้องเดินไปตามบทละครของเขา จึงทำให้เกิดจุดประกายแห่งชีวิตขึ้นมานับไม่ถ้วน ราวกับดอกไม้ไฟที่ปล่อยแสงพร่างพรายออกมา กลายเป็นผีเสื้อเริงระบำบินไปทั่วสารทิศตัวแล้วตัวเล่า
บ้างก็บินไปในถ้ำภูเขา บ้างก็บินลอดหินภูเขาสู่โลกภายนอก
ผีเสื้อเริงระบำแต่ละตัวจะแผ่พลังมหัศจรรย์ออกมา ทุกหนแห่งที่บินผ่านจะปล่อยฝุ่นละอองราวภาพมายาฝัน ปกคลุมทั่วเทือกเขามิรู้สิ้น
บางครั้ง อาณาบริเวณนี้ในโลกภายนอกก็มีเหล่าผู้มาเยือนจากภายนอกปรากฏตัวขึ้น แต่ตอนที่พวกเขาก้าวเข้ามาในอาณาเขตของเทือกเขามิรู้สิ้น ภาพพวกเขาก็จะปรากฏขึ้นที่นี่ บนหัวจะมีเส้นใยปรากฏออกมา เชื่อมกับละครฉากนี้ของชายชรา
ประเดี๋ยว ชายชราก็ลุกขึ้นยืนจากการนั่งขัดสมาธิ เคลื่อนไหวด้วยท่าทางแปลกๆ อยู่ในถ้ำหินภูเขานี้
แขนขาของเขากวัดแกว่งไปมา เส้นใยของสรรพชีวิตแกว่งไปมาอย่างแรง เขาเปลี่ยนสีหน้าหลากอารมณ์ ดวงชะตาของสรรพชีวิตก็จะเกี่ยวพันกันในพริบตา เรื่องราวรักโลภโกรธหลงแต่ละฉากก็ปรากฏขึ้นด้วยเหตุนี้
เขาเป็นผู้สร้างละครฉากนี้ แต่เขาก็เป็นหนึ่งในละครฉากนี้ด้วย กลมกลืนอยู่ในนั้น ใช้ชีวิตดำเนินการเริงระบำฉากหนึ่ง
ทั้งหมดนี้ ขณะที่แปลกประหลาดก็ทำให้คนรู้สึกเคารพศรัทธาอย่างสุดซึ้งเช่นกัน
เพราะนี่คือระบำบวงสรวงของสำนักบุปผาหยินหยาง!
ระบำบวงสรวง ไม่ใช่การระบำถวายแต่คนของตำหนักเทพ แต่เป็นการระบำถวาย ทำให้เทพเจ้าโปรดปราณ
ในแผ่นดินใหญ่มากมายที่มีเทพเจ้าล้วนมีมันอยู่ และต้นกำเนิดของมันมาจากหนึ่งในนิสัยของเทพเจ้าซึ่งโปรดปราณการนอนหลับใหล อย่างชื่อหมู่ก็เป็นเช่นนี้
เพียงแต่ชื่อหมู่ในอดีตสามารถตื่นขึ้นมาจากการห้วงนิทราได้ตลอดเวลา ทว่าสถนการณ์ในปัจจุบันยากที่จะตื่นมาในเร็ววัน
แต่ไม่ว่าอย่างไร ตอนที่เทพเจ้าหลับใหลก็จะแผ่พลังห้วงความฝันออกมา และความฝันของเทพเจ้าก็คือต้นกำเนิดความสามารถของระบำบวงสรวง พวกเขาจะใช้ความฝันเทพเจ้า ปกคลุมไปทั้งดินแดน
ในอาณาบริเวณนี้ ทุกสิ่งจะได้รับผลกระทบ จะดวงชะตาหรือชีวิตก็ดี สรรพชีวิตจะเปลี่ยนเป็นรู้สึกว่างเปล่า ต้องระบำบวงสรวงตามความคิดของตนร้อยเรียงสรรสร้างความฝันจริงๆ ที่มีสีสันขึ้นมา
ความฝันนี้ ตอนที่เทพเจ้าหลับใหลไม่อาจรับรู้ได้ มีเพียงตอนที่ตื่นขึ้นมาถึงจะปรากฏขึ้น จากนั้นก็จะขบคิด
หากชอบ องค์ท่านก็จะประทานพร
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำไมสำนักบุปผาหยินหยางจึงแตกแขนงสำนักออกมากมาย
ในทุกสำนักย่อยจะมีผู้ระบำบวงสรวงอยู่หนึ่งคน ขอบเขตความสามารถที่พวกเขาสำแดงออกมาได้จะแตกต่างกันไปตามพลังบำเพ็ญรวมถึงการประทานพรที่ผ่านมา
เทือกเขามิรู้สิ้นในความฝันเทพเจ้าแห่งนี้ ชายชราคนนี้ที่เป็นผู้สรรสร้าง เขาคิดว่าเทพเจ้าน่าจะชอบระบำบวงสรวงครั้งนี้ของตัวเอง
“โดยเฉพาะผู้ที่มาเยือนจากภายนอกสองสามคนนั้น ทำให้ฝันฉากนี้…
“น่าสนใจมากขึ้นแล้ว”
ชายชรานั่งขัดสมาธิอีกครั้ง สายตาฉายแววล้ำลึก เอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า
คำกล่าวนี้ก็ดังออกจากปากของนายกองที่อยู่ในเกี้ยวแผ่วเบาเช่นกัน
รอยยิ้มบนใบหน้าเขาก็มีเลศนัยเช่นกัน แต่ทั้งหมดนี้ปรากฏเพียงครู่เดียวก็หายไป เขาบิดขี้เกียจ ดวงตาคู่งามกวาดมองรอบๆ แล้วไปหยุดอยู่ที่ร่างองครักษ์ข้างกายผู้หนึ่ง
องครักษ์คนนั้นสีหน้าไร้อารมณ์ ติดตามเงียบๆ เป็นสวี่ชิงที่ปลอมตัวมานั่นเอง
สมองสวี่ชิงค่อนข้างสับสน เขารู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดมีบางจุดไม่ถูกต้อง ที่ราบรื่นเกินไปเป็นแค่ด้านหนึ่งเท่านั้น
เทียบกับตอนนี้ เขาเงยหน้ามองนกตัวหนึ่งบนท้องฟ้า
นกตัวนั้นหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศมาหลายอึดใจแล้ว ราวกับถูกตรึงไว้ตรงนั้น ไม่ขยับเขยื้อน
และความรู้สึกวิงเวียนก็เกิดขึ้นกับสวี่ชิงอีกครั้งในพริบตานั้น การซ้อนทับกันเปลี่ยนจากรุนแรงเป็นเบาบาง ครั้นฟื้นฟูกลับมา นกตัวนั้นก็คล้ายไม่เคยหยุดนิ่งมาก่อน โบยบินจากไปไกลนานแล้ว
สวี่ชิงหรี่ตา จู่ๆ ก็ยกมือขวาขึ้นจะจับนกที่บินไปไกล เขาอยากดูว่านกตัวนี้เป็นของจริงหรือของปลอม
นกตัวนั้นตัวสั่นระริก ถูกเปลี่ยนแปลงเส้นทาง ม้วนกลับมาหาเขา
แต่พริบตาที่เปลี่ยนเส้นทาง พริบตาที่นกอยู่ในมือสวี่ชิง จู่ๆ รอบด้านก็บิดเบี้ยวอย่างรุนแรง ความเลือนรางและวิงเวียนก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
ครั้งนี้ น่าตกตะลึงยิ่งกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก เพราะรอบๆ ขบวนรับเจ้าสาวในตอนนี้ทั้งหมดหยุดชะงัก ทุกคนหันหน้ามองมาทางสวี่ชิงพร้อมกันในพริบตา หน้านิ่ง สายตาเลื่อนลอย
สวี่ชิงชะงัก สัมผัสในมือ ทำให้เขากระจ่างว่านกตัวนี้คือของจริง ทั้งยังมีการเต้นของหัวใจและอุณหภูมิร่างกาย
และภาพที่ผู้คนรอบๆ มองมาทางสวี่ชิง ทำให้เขาหนังศีรษะชาหนึบ หลังจากเงียบนิ่งไปสองอึดใจ เมื่อสวี่ชิงปล่อยมือ นกตัวนั้นก็บินขึ้นไปอย่างรวดเร็ว กลับไปอยู่ตำแหน่งเดิมของมัน บินต่อไปตามเส้นทางที่เคยไป
ราวกับว่า โชคชะตาของมันถูกกำหนดไว้แล้ว
ผู้คนรอบๆ ก็หันหน้ากลับไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังคงเดินไปด้านหน้า สีหน้าก็กลับเป็นปกติในพริบตา ชื่นมื่นยินดี
ดนตรียังคงบรรเลงตามปกติ ดอกไม้โปรยปราย
สายตานี้ ทำให้สวี่ชิงนึกถึงประโยคหนึ่งที่นายกองชอบพูดออกมาหลายต่อหลายครั้งด้วยสัญชาตญาณ
“อาชิงน้อยเชื่อข้าก็พอ”