ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 577 ชีวิตดั่งละคร ทั้งหมดต้องพึ่งพาทักษะการแสดง
บทที่ 577 ชีวิตดั่งละคร ทั้งหมดต้องพึ่งพาทักษะการแสดง
สายลมพัดมาพร้อมกลิ่นกลีบดอกไม้
ดนตรีไพเราะบรรเลงคลอ ทำให้บรรยากาศงานวิวาห์ชื่นมื่น
แต่ในใจสวี่ชิง เวลานี้โหมคลื่นยักษ์เป็นระลอก เขาเดินตามขบวน ถอนสายตาที่มองไปทางนายกองกลับมา
หลังมาถึงเทือกเขามิรู้สิ้น ใช่ว่าสวี่ชิงจะพิสูจน์พบความผิดปกติบางอย่างเกี่ยวกับตัวนายกองเพียงครั้งเดียว
ไม่ว่าตนจะจงใจกล่าวพร่ำอะไรออกไปมากมาย ส่งผิงกั่วให้ กระทั่งการสังเกตการณ์ต่อมาหลังจากนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ทำให้สวี่ชิงสัมผัสได้ว่านายกอง มีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล
แต่ความไม่ชอบมาพากลนี้ คล้ายว่าไม่ได้ออกมาจากสัญชาตญาณของนายกอง ยิ่งคล้ายจงใจเผยพิรุธให้ตนสังเกตเห็นเท่านั้น
‘เขากำลังเตือนข้า’ สวี่ชิงพึมพำในใจ
ใจของเขาสัมผัสได้ว่านายกองไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายตน จุดนี้ เขารู้ดี
ถ้าย้อนนึกถึงการกระทำของอีกฝ่ายตลอดทางมานี้ จุดนี้ก็ยังชัดเจน
โดยเฉพาะทั้งสองทำการใหญ่ก็ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง ดังนั้นเรื่องอุปนิสัยของศิษย์พี่ใหญ่ สวี่ชิงรู้เป็นอย่างดี
‘การเตือนเช่นนี้ไม่เหมือนการร้องขอ ยิ่งเหมือนมีคำพูดบางอย่างไม่สะดวกกล่าวออกมาตรงๆ จึงใช้วิธีนี้ทำให้ข้าเฉลียวใจ’
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด นึกถึงนกเมื่อครู่ นึกถึงตอนที่หลังจากตนจับนกตัวนั้น การตอบสนองของผู้คนรอบๆ ออก
‘นกตัวนั้นมีชีวิตจริงๆ และสิ่งมีชีวิตจริงๆ ก็เปลี่ยนแปลงบุคลิกท่าทางได้มากมาย แต่มันยังเลือกกลับไปที่เส้นทางเดิม รู้สึกเหมือนไม่มีอิสระทางกาย ถูกกำหนดไว้แล้ว’
สวี่ชิงขมวดคิ้ว ตรวจสอบติงหนึ่งสามสอง พบว่านิ้วเทพเจ้ายังปกติดี ยังนอนหลับใหล นี่บ่งบอกว่าองค์ท่าน ยังสัมผัสความผิดปกติในโลกภายนอกไม่ได้
‘ทั้งเมื่อครู่นี้ที่จู่ๆ ผู้คนก็มองมาทางข้า ราวการกระทำของข้าแปลกแยกจากพวกเขา หรือก็คือ…คนที่ข้าปลอมตัวมา ไม่ควรกระทำเช่นนี้หรือ”
สวี่ชิงครุ่นคิด หลังจากมาที่เทือกเขามิรู้สิ้นทุกอย่างก็ราบรื่นอย่างยิ่ง หากไม่คิดหาคำตอบ เช่นนั้นก็ดูเหมือนปกติดี
‘แต่ความปกตินี้ กลับแฝงความแปลกประหลาดเอาไว้ด้วย’
สวี่ชิงหรี่ตา ไม่แสดงอารมณ์ออกมา เดินหน้าตามขบวนต่อไป เขาอยากไปดูว่าพิธีแต่งงานจากนี้จะเป็นเช่นไร
เวลาค่อยๆ ผ่านไป ขบวนรับเจ้าสาวเร่งความเร็วขึ้นบนท้องฟ้า หนึ่งชั่วยามต่อมาก็เข้าใกล้สำนักชีวาทมิฬ มองเห็นโคมไฟมงคลบนพื้นดินได้แต่ไกล
ภูเขาแต่ละลูกใช้วิชาย้อมจนงดงามตระการตา ต้นไม้แต่ละต้นแขวนโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด กระทั่งดอกไม้ไฟหลายต่อหลายลูกที่พุ่งขึ้นไปบนฟ้าด้วยวิชาเวท ครืนครันไปรอบทิศ
ขณะเดียวกัน ศิษย์สำนักและตระกูลต่างๆ ในเทือกเขามิรู้สิ้นส่วนใหญ่ล้วนถูกเชื้อเชิญมา เพราะผู้อาวุโสของแต่ละสำนักตระกูลมาถึงนานแล้ว จึงรายล้อมอยู่รอบสำนักชีวาทมิฬ
บนใบหน้าชายหญิงเด็กชราล้วนมีรอยยิ้มแต่งแต้ม เสียงสนทนาเซ็งแซ่ ดูคึกคักเหลือประมาณ
เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยดังไม่หยุด ปกคลุมด้วยบรรยากาศมงคล
ยิ่งขบวนใกล้เข้ามา บรรยากาศก็คึกคักถึงขีดสุดในเสี้ยวขณะนี้ เสียงอวยพรดังกึกก้องไปทั่วชั้นเมฆ
ส่วนสำนักชีวาทมิฬตรงหน้า ภายใต้การล้อมรอบด้วยทิวเขาจึงมีสีสันเป็นพิเศษ
ยอดเขาที่สำนักตั้งอยู่แผ่แสงสีรุ้งออกมา ตำหนักใหญ่บนยอดเขาจัดเป็นเรือนหอ โคมไฟสีแดงนับไม่ถ้วนลอยอยู่กลางอากาศ กระทั่งพระอาทิตย์บนท้องนภาตอนนี้ส่องแสงร้อนแรงมากกว่าปกติ
ศิษย์สำนักชีวาทมิฬทุกคนฮึกเหิมกระปรี้กระเปร่าออกมาต้อนรับด้านนอก ปูผ้าแพรสีรุ้งตั้งแต่ยอดเขาลงไปล่างเขา คลุมบันไดทุกขั้น
ตอนที่เกี้ยวเจ้าสาวเข้าใกล้ เสียงระฆังก็ดังออกมาจากสำนักชีวาทมิฬ ความเคร่งขรึมปกคลุมฟ้าดินในชั่วขณะนี้ หลังจากเสียงทั้งหมดเงียบลง สายตาจากทั่วสารทิศก็รวมอยู่ที่เกี้ยวที่ใกล้สำนักชีวาทมิฬมาเรื่อยๆ
“เชิญท่านเซียนเซียงหานขึ้นภูเขา”
เสียงกล่าวต้อนรับดังกึกก้อง สีหน้านายกองในเกี้ยวเจ้าสาวก็เจือคาดหวัง พวงแก้มแดงระเรื่อ ลุกขึ้นเดินออกมาจากเกี้ยวเจ้าสาว ก้าวขึ้นบันได
ทรวดทรงอรชรอ้อนแอ้น นุ่มนวลอ่อนช้อย เยื้องย่างไปเบื้องหน้า
ขบวนรับเจ้าสาวด้านหลังส่วนใหญ่คุกเข่าลงคารวะ มีเพียงสาวใช้รวมถึงองครักษ์ข้างกายโยวจิงที่ติดตามด้านหลังนายกองเดินตามไป
สวี่ชิงก็เป็นหนึ่งในนั้น
เขามองสีหน้าและการเดินนวยนาดของนายกอง ก็ทอดถอนกับทักษะการแสดงที่ยอดเยี่ยมของอีกฝ่าย หากไม่เห็นว่านายกองโกนขนขาออกเองกับตา ตอนนี้เขาก็คงคิดว่านายกองเป็นโยวจิงจริงๆ
ขณะที่เสียงระฆังดังต่อเนื่อง ท่ามกลางเสียงกล่าวต้อนรับที่กึกก้องไม่หยุด นายกองก็ค่อยๆ เดินขึ้นจนถึงยอดเขาเช่นนี้
วันนี้เป็นวันมงคลของเขา ทุกคนให้เกียรติเขา ศิษย์สำนักชีวาทมิฬทุกคนที่เขาเดินผ่านก็พากันคุกเข่าคารวะเขา
สวี่ชิงมองทั้งหมดนี้ ในใจไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกอยากอวยพรขึ้นมาเช่นกัน
จวบจนตอนที่เสียงระฆังดังออกมายี่สิบเอ็ดครั้ง ร่างของนายกองก็ยืนอยู่บนบันไดขั้นสุดท้ายของยอดเขา ยืนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ร่างชาติที่แล้วของนายกองก็เดินออกมาจากตำหนักใหญ่ไกลๆ
ร่างชาติที่แล้ววันนี้ แตกต่างจากตอนที่สวี่ชิงเห็นวันนั้นอยู่บ้าง เสื้อผ้าของเขากลายเป็นสีแดงล้วน ดูมีอวลไปด้วยบรรยากาศมงคล เพียงแต่กลิ่นเหม็นเน่ารวมถึงหน้าตาที่อัปลักษณ์ ทำให้ดูไม่ต่างจากก่อนหน้านี้นัก
โดยเฉพาะไอหมอกสีดำที่กระจายออกมายามหายใจ ทำให้รู้สึกขนลุกขนชัน
‘นี่เป็นพิธีสมรสกับร่างในอดีตของตัวเอง’ สวี่ชิงรู้สึกเสียดายที่อู๋เจี้ยนอูไม่ได้มา ไม่เช่นนั้น ได้เห็นฉากนี้กับตา จะต้องร่ายกลอนออกมายาวเหยียดแน่
และตอนนี้เสียงกล่าวต้อนรับก็ดังก้องทั้งฟ้าดิน
“เราเหล่าผู้บำเพ็ญ ให้ฟ้าเป็นประจักษ์ ให้ดินเป็นพยาน ให้เต๋าเป็นตัวเชื่อม คำนับคู่ชีวิต!”
นายกองก้มหน้าเหนียมอาย คำนับสามีที่อยู่ไกลออกไป
สามีของนายกองก็ก้มหน้า หลังจากคำนับข้ามฟ้าดินและคำนับกันและกันแล้ว พิธีแต่งงานระหว่างผู้บำเพ็ญนี้ ก็ไปถึงจุดสูงสุดในพริบตา เสียงกู่ร้องยินดีดังขึ้นมาพร้อมกัน
ชั่วพริบตา เสียงแซ่ซ้องดังสนั่นไปทั่วท้องฟ้า แสงรัศมีเจิดจ้าไร้สิ้นสุด ท้องนภาตีเกลียว พสุธาสั่นสะเทือน
จากนั้น ตอนที่ครื้นเครงขึ้นเรื่อยๆ ในเสียงแซ่ซ้องยินดีและเสียงหัวเราะ ตลอดทางนายกองก็ถูกส่งไปยังเรือนหอ ต้องอยู่ที่นั่นใช้ควันธูปหอมสงบใจ เฝ้ารอให้สามีมาหา
ส่วนงานเลี้ยงก็เริ่มขึ้นในตอนนี้ บนลานกว้างของสำนักชีวาทมิฬ เหล่าผู้นำจากสำนักต่างๆ มาร่วมตัวกัน มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่มีคุณสมบัตินั่งอยู่ตรงนี้
ส่วนศิษย์คนอื่นๆ ก็ไม่ได้ถูกมองข้าม งานเลี้ยงที่ใหญ่ยิ่งกว่าจัดขึ้นด้านนอกสำนักชีวาทมิฬ ผู้ที่มาเข้าร่วมพิธีที่นี่ทั้งหมดได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง ดังนั้นเสียงกู่ร้องจึงดังกึกก้องไปทั่วทิศ
สวี่ชิงในฐานะองครักษ์ของโยวจิง ไม่มีคุณสมบัติร่วมงานเลี้ยง เขาถูกจัดให้ไปอยู่กับองครักษ์ของสำนักชีวาทมิฬ คอยดูแลความเรียบร้อย
มองแต่ละคนดันแก้วแลกจอก เสียงหัวเราะไม่ขาดสาย สวี่ชิงเดินอยู่ในนี้ สมองก็ผุดภาพหลังจากที่เขาคว้านกไว้แล้วคนอื่นก็มองมาที่ตนอย่างเย็นชา
เทียบกับตอนนี้ ความรู้สึกแปลกประหลาดก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
‘ที่จริงยังมีอีกวิธีหนึ่งที่สามารถทดสอบความมหัศจรรย์ของเทือกเขามิรู้สิ้นได้’
สวี่ชิงพึมพำในใจ เงยหน้ามองเรือนหอที่นายกองอยู่
แผนการดำเนินการมาถึงตรงนี้ ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับการแสดงของนายกองแล้ว
สวี่ชิงเก็บสายตกลับมา กวาดมองคนอื่นที่อยู่รอบๆ
‘หากคนทั้งหมดเป็นเหมือนนกตัวนั่นจริงๆ…’ สวี่ชิงหรี่ตาลง แอบออกคำสั่งเจ้าเงาในใจ ให้มันไปควบคุมผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง
ชั่วพริบตา เงาของสวี่ชิงก็แผ่ลามไปตามพื้นดินอย่างไร้ซุ่มเสียง ชั่วพริบตาก็เข้าใกล้ผู้บำเพ็ญแก่นลมปราณคนหนึ่ง ซ้อนทับไปกับเงาของเขา
ไม่นานนัก ก็สิงร่างสำเร็จ
แต่คนผู้นั้นทุกอย่างเป็นปกติ กำลังดื่มสุรา ยังกำลังพูดคุยหัวเราะ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ดวงตาสวี่ชิงมีประกายเฉียมคมพาดผ่าน เขาสัมผัสถึงคลื่นอารมณ์ตื่นตระหนกที่เจ้าเงาแผ่ออกมาได้
“ไม่อาจ…รบกวน…ให้ตาย…แปลก…”
สวี่ชิงเงียบนิ่ง ออกคำสั่งกับเจ้าเงา ให้มันไปหาคนอื่นต่อ หลังจากผ่านไปนับครั้งไม่ถ้วนล้วนเป็นเช่นเดียวกัน สวี่ชิงก็กระจ่างขึ้นมา
แต่เขายังต้องพิสูจน์อีกเล็กน้อย จึงออกคำสั่งให้เจ้าเงาฝืนเข้าควบคุม ไม่นานด้วยความพยายามของเจ้าเงา ผู้บำเพ็ญสร้างฐานคนหนึ่งก็ร่างกายหยุดนิ่ง มือที่เดิมจะไปจับจอกสุรา เปลี่ยนทิศทางไปหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารแทน
เสียงพูดคุยเสียงหัวเราะรอบด้านหยุดชะงักทันที สายตานับไม่ถ้วนมองไปทางคนผู้นั้น
สวี่ชิงม่านตาหดเล็กลง สลายพลังควบคุมทันที
ผู้บำเพ็ญคนนั้นไม่รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย วางกับข้าวที่คีบขึ้นมากลับไปที่เดิม วางตะเกียบลง ยกจอกสุราขึ้นอีกครั้ง ออกท่าทางที่เขาจะทำแต่เดิมต่อไป
สวี่ชิงหลับตาลง
เขาเข้าใจแล้ว
‘ทิศทางของทุกคนถูกกำหนดไว้หมดแล้วเหมือนนกตัวนั้น ต้องทำตามที่กำหนดไว้ ต่อให้ระหว่างทางจะเกิดเรื่องไม่คาดฝัน ก็จะเปลี่ยนทิศทางกลับมาด้วยตัวเองแล้วทำต่อจนเสร็จ
‘ความแปลกประหลาดทั้งหมด เริ่มขึ้นนับตั้งแต่เข้ามาในเทือกเขามิรู้สิ้น…
‘สรรพชีวิตในเทือกเขานี้ถูกเปลี่ยนแปลงดวงชะตา ร้อยเรียงไปตามความคิดเจตจำนงบางอย่าง
‘เช่นละครฉากหนึ่ง
‘ข้าก็อยู่ในละครเรื่องนี้ด้วย
‘ไม่ทันรู้ตัว ความคิดและวิธีการของข้าก่อนหน้านี้ก็ถูกกำหนดบทบาทไว้แล้ว กลายเป็นคนในละคร
‘ท่าทางอู๋เจี้ยนอูและหนิงเหยียนก็เป็นเช่นนี้
‘นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมข้าถึงรู้กสึกคลุมเครือและทับซ้อน เพราะตัวตนเหล่านั้นในร่างกายข้า อาจเป็นนิ้วเทพเจ้า หรืออาจเป็นพระจันทร์สีม่วง ทำให้ตอนที่ข้าได้รับผลกระทบจึงรู้สึกขัดแย้ง ข้าจึงเห็นนกตัวนั้นหยุดนิ่ง สามารถคิดหาคำตอบกับเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลนี้ได้
‘มีเพียงนายกอง…’ สวี่ชิงเงยหน้ามองไปทางยอดเขา
‘เขาน่าจะรู้ทุกอย่างนี้ เขาเข้าร่วมละครเรื่องนี้ด้วยตนเอง…’
สวี่ชิงกระจ่างแจ้ง ก้มหน้าลง เฝ้ารอเงียบๆ
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป งานเลี้ยงนี้ก็ค่อยๆ ถึงยามเลิกรา จากท้องฟ้าที่เริ่มขมุกขมัวขึ้นอีกครั้ง ตอนที่ผู้คนทยอยจากไป จู่ๆ เสียงกรีดร้องเสียงหนึ่ง ก็ดังออกมาจากในเรือนหอบนยอดเขา
เสียงกรีดร้องนี้ดังก้องไปทั่ว ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี เมฆหลั่งทะลักไปทุกทิศทาง
ยิ่งตอนนี้ ความรู้สึกวิงเวียนของสวี่ชิงก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ทุกคนรอบๆ พลันเงยหน้ามองไป สีหน้าเปลี่ยนเป็นเย็นชา มองไปทางยอดเขา
ราวกับที่นั่นเกิดฉากที่ไม่เหมือนในบทละครขึ้นมา!
ไม่ใช่แค่พวกเขาที่เป็นเช่นนี้ ทุกคนในสำนักชีวาทมิฬ หรือต่อให้เป็นนกที่บินบนท้องฟ้า ต้นไม้ใบหญ้าล้วนหันไปทางตำหนักใหญ่ หยุดนิ่งไม่ขยับเขยื้อน
เขาหิ้วคนผู้หนึ่งไว้ เป็นร่างในชาติก่อนของเขานั่นเอง
สุดท้าย เขาก็ยืนที่หน้าตำหนักใหญ่ กวาดตามองไปรอบๆ
ไม่สนใจสายตาเย็นชาของผู้คนโดยรอบ สายตาเขาไปหยุดอยู่ที่ร่างสวี่ชิงที่อยู่ไกลๆ แย้มยิ้มออกมา เอ่ยแผ่วเบาว่า
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้ามองออกแล้วหรือยัง”
พูดจบ มืออีกข้างของเขาก็หยิบลูกท้อออกมากัด