ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 578 ร่ายระบำแด่เทพเจ้า ยอดเยี่ยมประทานรางวัล ยอดแย่ประทานความตาย!
- Home
- ผู้กล้าเหนือกาลเวลา
- บทที่ 578 ร่ายระบำแด่เทพเจ้า ยอดเยี่ยมประทานรางวัล ยอดแย่ประทานความตาย!
บทที่ 578 ร่ายระบำแด่เทพเจ้า ยอดเยี่ยมประทานรางวัล ยอดแย่ประทานความตาย!
ความรู้สึกวิงเวียนของสวี่ชิงตอนนี้ยังคงรุนแรงเช่นเคย แต่ประสบการณ์หลายครั้งทำให้เขาพอจะคุ้นชิน ตอนนี้มองทุกอย่างรอบๆ แล้วมองไปทางลูกท้อในมือนายกอง
สวี่ชิงหัวเราะ
“มองออกนิดหน่อย เทือกเขามิรู้สิ้นเป็นเหมือนละครฉากหนึ่ง”
นายกองได้ยินในดวงตาฉายแววชื่นชม หัวเราะร่า
“เป็นละครฉากหนึ่งจริงๆ นั่นแหละ
“ศิษย์น้องเล็ก นี่เป็นละครที่ถวายแด่พระจันทร์สีชาดชื่อหมู่ เจ้าและข้าโชคดีได้เป็นผู้ร่วมแสดงในละคร ดีจะตายไป”
สวี่ชิงพยักหน้า สังเกตถึงคำว่าถวายแด่พระจันทร์สีชาดชื่อหมู่ที่นายกองพูด
“ในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ที่ที่มีสำนักบุปผาหยินหยางล้วนแต่มีพลังห้วงฝันพระจันทร์สีชาดชื่อหมู่ปกคลุมอยู่ทั้งนั้น สำนักบุปผาหยินหยางจะเขียนบทละคร ให้เป็นความฝันของเทพเจ้า”
นายกองหัวเราะพลางเอ่ย
“นี่ก็คือระบำบวงสรวงของสำนักบุปผาหยินหยาง”
แม้สวี่ชิงจะคาดเดาอะไรได้มากมาย แต่ก็ไม่ได้คิดเชื่อมโยงกับระบำบวงสรวง ตอนนี้ได้ยินก็สะกิดใจเล็กน้อย
“ผีเสื้อเริงระบำพวกนั้น…” สวี่ชิงมองไปทางนายกอง
“ผีเสื้อเริงระบำก็คือสิ่งมีชีวิตห้วงฝันที่เกิดขึ้นหลังจากที่นักร่ายระบำบวงสรวงอาศัยพลังห้วงฝันของเทพเจ้าส่งอิทธิพลต่อสรรพชีวิตทั้งหลาย ท่ามกลางการปะทะและสอดประสานครั้งแล้วครั้งเล่า กลายเป็นห้วงฝันของสิ่งมีชีวิต”
นายกองกินลูกท้อ หิ้วร่างชาติก่อนไว้ในมือ เดินไปหาสวี่ชิง เดินไปด้วย พูดไปด้วย
“มันเป็นภาพมายา เป็นหนึ่งในภาชนะของพลังห้วงฝัน และเป็นสื่อกลางในการส่งสัมผัสการรับรู้ขององค์ท่าน ในทันทีที่เทพเจ้าฟื้นตื่นขึ้นมาในเรื่องของที่นี่”
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก คำอธิบายเช่นนี้เหลือเชื่อนัก แต่หลังจากที่ย้อนคิดทุกอย่างก็ตรงกับที่คิดเอาไว้
“แต่ว่า ก่อนที่เทพเจ้าจะตื่นขึ้น ผีเสื้อพวกนี้กลับไปไม่ได้ และไม่สามารถสะท้อนละครฉากใหญ่นี้เข้าไปได้
“ข้ารู้เรื่องทุกอย่างนี้ อีกทั้งเหตุผลที่เลือกเป็นฝ่ายเข้ามาเอง เจ้าเดาได้หรือไม่ศิษย์น้องเล็ก”
นายกองสีหน้าแฝงด้วยความได้ใจ เดินมายังข้างกายสวี่ชิง
สวี่ชิงสายตาจับจ้องร่างชาติก่อนที่นายกองหิ้วเอาไว้ ในใจมีคำตอบแล้ว
“ดังนั้น ร่างชาติที่แล้วของท่านไม่ได้หายไป สุสานที่พวกเราไปก่อนหน้านี้ความจริงแล้วเป็นของปลอม
“เหมือนกับที่ศิษย์พี่ใหญ่ท่านพูดไว้ในตอนแรก เพื่อที่จะป้องกันโจรขโมยสุสาน ท่านวางสุสานลวงบางอย่างเอาไว้ล่วงหน้า สถานที่ที่พวกเราไป ความจริงแล้ว…ก็เป็นหนึ่งในสุสานลวง
“ตอนนั้นหนิงเหยียนเคยถามท่านว่าสุสานลวงเก้าแห่งที่ว่า สองแห่งสุดท้ายคืออะไร
“ตอนนั้นท่านยิ้มแต่ไม่พูด เพราะสุสานที่พวกเราไปก็คือสุสานลวงแห่งที่แปด และทั้งเทือกเขามิรู้สิ้นก็คือ…สุสานลวงแห่งที่เก้า!”
สวี่ชิงมองนายกอง เอ่ยเนิบนาบ
“ศิษย์พี่ใหญ่ ตอนนั้นท่านไปล่วงเกินผู้อื่นไปมากเท่าใด ทำเรื่องอะไรลงไปถึงได้กลัวจะมีคนมาขโมยร่างชาติก่อนของท่านถึงเพียงนี้กัน”
นายกองได้ยินก็ตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะร่าขึ้นมา
“สมแล้วที่เป็นศิษย์น้องของข้า เจ้าพูดได้ถูกต้องแล้ว สุสานแห่งนั้นเป็นแห่งที่แปด เทือกเขามิรู้สิ้นแห่งนี้คือแห่งที่เก้า!”
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านเรียนรู้สิ่งที่ไม่ได้จากไป๋เซียวจัวมาแล้ว บอกคำตอบล่วงหน้า เรื่องนี้ไม่ดี” สวี่ชิงขมวดคิ้ว
นายกองหัวเราะฮี่ๆ เขาเรียนวิธีการพูดแบบนี้มาจากไป๋เซียวจัวจริงๆ เขารู้สึกว่าเช่นนี้ยิ่งทำให้ตัวเองยิ่งดูเก่งกาจสุดยอด
“อยากรู้ว่าสุสานของจริงอยู่ที่ใดหรือไม่” นายกองยักคิ้วหลิ่วตา ทำท่าเหมือนยั่วให้อยากรู้
สีหน้าที่คุ้นเคย ความเจ้าเล่ห์ที่คุ้นเคย รูปแบบที่คุ้นเคย ทำให้สวี่ชิงถอนหายใจโล่งอก จากนั้นก็เอ่ยด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
“อยู่ในฝัน”
สวี่ชิงไม่อยากให้ความร่วมมือแล้ว
นายกองตาเบิกโพลง รู้สึกว่าไม่ค่อยสนุกเท่าไร อาชิงน้อยไม่น่ารักเหมือนอย่างเมื่อก่อนแล้ว แต่ว่าเขามองออกว่าสวี่ชิงโมโห จึงโอบไหล่สวี่ชิง เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
“ศิษย์น้องเล็กเจ้าเยี่ยมยอดมาก ขนาดเรื่องนี้ยังเดาได้
“ร่างชาติก่อนของข้า ตอนนั้นภายใต้การช่วยเหลือจากเทพชั้นสูงลึกลับองค์หนึ่ง ได้ซ่อนเอาไว้ในฝันของพระจันทร์สีชาดชื่อหมู่…ยิ่งบีบผีเสื้อเริงระบำในห้วงฝันนั้นให้แหลกละเอียด”
สวี่ชิงดวงตาจ้องเพ่ง ประโยคนี้ของนายกองพูดถึงเทพชั้นสูงลึกลับ ทำให้เขาจับจุดสนใจ
ขณะเดียวกัน ฟ้าดินแห่งนี้ในเสี้ยวขณะนี้ก็เกิดการเปลี่ยนแปลง สิ่งมีชีวิตทั้งหมดรอบๆ สีหน้าจากเฉยชามาเป็นเหี้ยมเกรียม ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ใบหญ้า หรือขุนเขาก้อนหิน ทุกสิ่งทุกอย่างในเสี้ยวขณะนี้ล้วนแผ่จิตปฏิปักษ์อันรุนแรงออกมา
จิตปฏิปักษ์นี้รวมมาจากทั่วทุกสารทิศ ปะทุมาจากทุกสรรพสิ่งในเทือกเขามิรู้สิ้น หลังจากรวมเข้าด้วยกันก็เปลี่ยนเป็นเสียง
“ไสหัวออกไป!”
จากเสียงที่ดังออกมา เทือกเขามิรู้สิ้นต่างคำรามก้อง แผ่นดินสั่นไหว เมืองใต้เขาสั่นคลอนเช่นกัน
นายกองหัวเราะ ไม่อธิบายถึงเทพชั้นสูงลึกลับองค์นี้ และไม่สนใจการเปลี่ยนแปลงรอบๆ นี้เช่นกัน เขาพูดถึงสถานที่ที่ร่างชาติก่อนของตนอยู่ต่อไป
“ส่วนวิธีเปิดก็มีแค่ต้องเข้าไปในห้วงฝันเท่านั้นถึงจะได้ ข้าจึงไม่ได้เตือนเจ้าก่อน เพราะทุกอย่างต้องตรงกับเงื่อนไขของความฝันที่นี่ มีเพียงเช่นนี้ ข้าถึงจะเข้ามาในฉากละครได้จริงๆ
“แต่ว่าก่อนหน้านี้ข้าก็เตือนเจ้าแล้วนี่นา ศิษย์น้องเล็กไม่โมโหนะๆ” นายกองหน้ายิ้มระรื่น ยกร่างชาติก่อนที่อยู่ในมือขึ้นมา
“เจ้าดูสิ เป้าหมายของข้าความจริงแล้วก็ยังคงเป็นมัน เพราะมันคือกุญแจที่จะเปิดความฝันที่ร่างชาติก่อนของข้าอยู่ เจ้าจะต้องเดาไม่ได้แน่ๆ ว่าร่างเดิมของเจ้านี่คืออะไร”
นายกองพูดพลางสะบัดมือขวา ทันใดนั้นร่างชาติก่อนที่อยู่ข้างหน้าเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นน้ำสีดำรดลงมา เผยให้เห็นที่ใจกลางมี…ผีเสื้อเริงระบำเน่าเฟะตัวหนึ่ง!
กลิ่นอายเก่าแก่โบราณที่แผ่ออกมาจากในนั้นเห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้เพิ่งถือกำเนิดขึ้นมา แต่อยู่ในห้วงเวลามานานแสนนานมากๆ ยิ่งเมื่อมีการปกปิดอำพรางจากคุณสมบัติสายเลือดที่สูงมากๆ จึงทำให้ชื่อหมู่เมื่ออยู่ภายใต้ความประมาทก็ไม่ค้นพบ
นี่ก็คือกุญแจ
การปรากฏขึ้นของมันทำให้ทั่วทุกสารทิศสั่นคลอน ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมเมฆหอบม้วน ทั่วเทือกเขามิรู้สิ้นสั่นคลอนรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง สรรพชีวิตรอบๆ นับไม่ถ้วนสีหน้าล้วนฉายแววดิ้นรนและเจ็บปวดออกมา
ยิ่งมีหินภูเขาร่วงถล่ม ต้นหญ้าแหลกลาญ
ในเสี้ยวพริบตาของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทุกอย่างนี้ ในสำนักบุปผาหยินหยางแผ่ระลอกน่าครั่นคร้ามออกมา ยิ่งมีเสียงคำรามที่โกรธแค้นเป็นอย่างยิ่งดังแผ่ออกไปในฟ้าดิน
“ตื่นขึ้นมา ตื่นขึ้นมา!”
จากเสียงที่ดังขึ้น การดิ้นรนของสรรพชีวิตทั้งหลายยิ่งรุนแรงขึ้น คล้ายว่านักร่ายระบำบวงสรวงที่สร้างละครฉากนี้จะจบสิ้นห้วงฝัน ทำให้ทุกอย่างพลิกผัน ขัดขวางแผนการของนายกอง
“ช้าไปแล้ว”
นายกองหัวเราะฮ่าๆ ยกกุญแจในมือขึ้น สะบัดไปยังท้องฟ้าทันที
“เปิด!”
เพียงพริบตา ท้องฟ้าส่งเสียงครืนครันเลื่อนลั่น เสียงกึกก้องทั่วชั้นเมฆ เหมือนเบิกฟ้าเปิดปฐพี ยิ่งกว่าเสียงอัสนีสวรรค์ฟาดผ่าฟ้าดินอย่างต่อเนื่อง รอยแยกขนาดมหึมาทางหนึ่งปรากฏขึ้นบนม่านฟ้า
รอยแยกแรกเริ่มนั้นไม่ใหญ่ แต่เพียงพริบตา ท่ามกลางเสียงสนั่นหวั่นไหวเป็นระลอกๆ ก็ขยายไปไม่หยุด สุดท้ายก็เปิดออก เหมือนรอยแผลบนท้องฟ้าทางหนึ่ง
น่าสยดสยองพรั่นพรึงนัก
กลิ่นเน่าเปื่อยแผ่ซ่านมาจากในรอยแยกมหึมาทางนี้ คล้ายว่าถูกเก็บซ่อนเอาไว้นานเกินไป ห้วงเวลาเนิ่นนานผันเปลี่ยนที่อยู่ในนั้นจะไหลทะลักออกมาทั้งหมดในเสี้ยวขณะนี้
ท้องฟ้าพลันเปลี่ยนสี ผืนดินเกิดสัญญาณพังถล่ม โลงสีฟ้าใบหนึ่งพลันโผล่ออกมาจากในรอยแยก
มันไม่ได้ทำมาจากเหล็กหรือไม้ แต่เป็นน้ำแข็งสีฟ้าก้อนหนึ่ง!
ในโลงน้ำแข็งมีร่างหนึ่งนอนอยู่ ร่างนั้นสวมชุดคลุมยาวสีฟ้าปักลายทองหรูหรา ทั่วทั้งร่างแผ่พลังกดดันน่ากลัวออกมา สีหน้าเต็มไปด้วยอำนาจน่าเกรงขาม มือขวายิ่งถือคทาเอาไว้ด้วย!
การปรากฏตัวของเขา ท้องฟ้าระเบิด แผ่นดินพังถล่ม เสียงร้องโหยหวนดังออกมาจากในสำนักบุปผาหยินหยางอย่างน่าเวทนา
“คทาระบำบวงสรวงดั้งเดิม!
“เจ้าเคยเป็นมหานักร่ายระบำ!!”
ขณะเดียวกับที่เสียงดังก้อง ในถ้ำหินสำนักบุปผาหยินหยาง สีหน้าชายชราสวมชุดคลุมยาวห้าสีเปลี่ยนไปมหาศาลอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ดวงตาฉายแววตื่นกลัวและหวาดผวาออกมา กำลังตัดเส้นที่ฉายภาพเงาระหว่างตัวเองกับสรรพชีวิตในเทือกเขามิรู้สิ้นอย่างรวดเร็ว
เขารู้ดี ในฐานะที่เป็นนักร่ายระบำบวงสรวง แม้ดูเหมือนแข็งแกร่ง แต่ก็อ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง แข็งแกร่งเพราะพลังในการทักทอห้วงฝันเทพเจ้าประเภทนี้ แต่ก็อ่อนแอเพราะจุดนี้เช่นกัน
หากหลังจากแต่งห้วงฝันจบลงอย่างปกติ นับว่าเขาก็ทำการบวงสรวงสำเร็จลุล่วงครั้งหนึ่ง แต่หากระหว่างนั้นถูกขัดจังหวะ จะถูกสะท้อนพลังกลับ
ระบำบวงสรวงที่ว่าความจริงก็คือพิธีกรรมพิเศษฉากหนึ่ง
และเป็นฝ่ายขัดจังหวะกับถูกขัดจังหวะ ความแตกต่างต่างกันราวฟ้ากับเหว
เขาเป็นฝ่ายขัดจังหวะ ทำให้คนตื่นขึ้น แม้พลังสะท้อนกลับจะมีเหมือนกันแต่ใช่ว่าเป็นสิ่งที่ต่อต้านไม่ได้ ดังนั้นก่อนหน้านี้เขาพบว่าไม่ชอบมาพากล ความคิดแรกก็คือเรียกให้สรรพชีวิตทั้งหลายตื่น จบการแต่งห้วงฝัน
แต่หากถูกขัดจังหวะ เช่นนั้นความหมายก็แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง เขาต้องแบกรับการเน่าเปื่อยของสรรพชีวิตทั้งหมด ต้องแบกรับกรรมเวรของหมื่นสรรพสิ่ง ยิ่งต้องแบกรับการสะท้อนพลังกลับจากพลังห้วงฝันที่มาจากเทพเจ้าแตกสลาย
ทุกอย่างนี้ต่อให้เขาเป็นระดับหวนสู่อนัตตาก็ไม่อาจแบกรับได้!
เพียงแต่คนนอกหากอยากทำให้ถึงจุดนี้ ก็ไม่ได้ง่ายดายเพียงนั้น
แต่ดูจากในเสี้ยวพริบตาที่คทาซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของมหานักร่ายระบำปรากฏขึ้น เขาก็ตื่นตะลึงไปโดยสมบูรณ์
เขาไม่มีโอกาสเป็นฝ่ายตัดเองแล้ว ในพริบตาที่โลงปรากฏขึ้น นายกองดวงตาฉายประกาย คำรามเสียงดังขึ้น
“ศิษย์น้องเล็ก สำแดงพลังของเจ้าผสานไปยังคทาในโลงของข้า เรียกให้สรรพชีวิตที่ถูกเปลี่ยนชะตาชีวิตที่นี่ให้ตื่นขึ้น!”
นายกองไม่ได้พูดละเอียด แต่สวี่ชิงรู้ว่าพลังที่เขาต้องสำแดงคือพลังพระจันทร์สีม่วง ตอนนี้ภายใต้การไหววูบ สวี่ชิงฝืนความวิงเวียนมายังเหนือโลงน้ำแข็ง
ยกมือขวาขึ้น แล้วพลันกดไปบริเวณที่ผนึกคทา
พลังพระจันทร์สีม่วงในร่างปะทุ ทำให้น้ำแข็งแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วง ท่ามกลางการประสานปางมือของนายกอง การใช้โลงน้ำแข็งเข้าร่วม พลังสีม่วงกลุ่มนั้นผสานไปในคทาทันที
เสี้ยวขณะต่อมา ร่างสวี่ชิงสะท้านเฮือก เขาสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลกลุ่มหนึ่งเพิ่มพลังให้กับวิญญาณของตัวเอง อาการวิงเวียนหายไป สมองของเขาโปร่งโล่ง ฟ้าดินที่เห็นเบื้องหน้าพลันถูกความคลุมเครือปกคลุม
สรรพชีวิตทุกอย่างในนั้นล้วนมีเส้นใยลอยขึ้นมาจากร่าง และเส้นทุกเส้นล้วนเชื่อมกับเทือกเขาสำนักบุปผาหยินหยาง
“จงตื่นขึ้น!”
สวี่ชิงในดวงตาฉายประกายแสงสีม่วง ปากเอ่ยเสียงราบเรียบออกมา
คำกล่าวง่ายๆ พริบตาที่ดังออกมาเหมือนสายฟ้านับล้านนับแสนฟาดผ่าพร้อมกัน ฉีกทึ้งเส้นทั้งหมด สะท้อนไปในจิตใจของสรรพชีวิตในเทือกเขามิรู้สิ้น
ผู้บำเพ็ญและคนธรรมดานับไม่ถ้วนร่างสะท้านเฮือก ฟื้นตื่นขึ้นมาทันที สีหน้าหลังจากงุนงงสับสนเพียงชั่วขณะก็เปลี่ยนเป็นตื่นกลัว ถอยหลังไปตามสัญชาตญาณ
คู่ฝึกเต๋าที่คู่กันตอนนี้ต่างสีหน้าฉายแววตื่นกลัว พวกเขาไม่รู้จักกันเลย!
พี่น้องที่เป็นพี่น้องกัน ตอนนี้ร่างสั่นสะท้าน ระหว่างพวกเขาเคยเป็นศัตรูอาฆาตกัน
พ่อแม่ลูกที่เป็นครอบครัวเดียวกันต่างลมหายใจหอบถี่ ระหว่างพวกเขาไม่มีความสัมพันธ์สายเลือดใดๆ ทั้งสิ้น
นี่เป็นเพียงแค่ส่วนเดียวเท่านั้น ยังมีสิ่งมีชีวิตมากกว่านั้นเสี้ยววินาทีที่โชคชะตากลับไปยังตำแหน่งเดิม พวกเขาฟื้นตื่นขึ้น พวกเขานึกเรื่องทุกอย่างได้หมด
สำนักก็เช่นกัน ต่อให้เป็นสำนักบุปผาหยินหยางก็ยากจะหนีละครฉากนี้ ลูกศิษย์ในนั้นมีส่วนหนึ่งไม่ได้เป็นคนของเทือกเขามิรู้สิ้น
พวกเขาเป็นเพียงแค่คนที่เดินทางผ่านมา ทว่ากลับกลายเป็นลูกศิษย์อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ส่วนอวิ๋นเสียจื่อตอนนี้ตัวสั่นสะท้าน นางผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เงยหน้ามองไปทางยอดเขา
นางไม่ใช่เจ้าสำนัก ยิ่งไม่ใช่ลูกสาวของบรรพจารย์สำนักนี้ กลับกัน อีกฝ่ายเป็นศัตรูของนาง!
และจากการฟื้นตื่นของสรรพชีวิตทั้งหลายที่เทือกเขามิรู้สิ้น จากการแหลกสลายของเส้นที่เชื่อมกับพวกเขา ห้วงฝันสิ้นสุดนับจากนี้
กรรมเวรทุกอย่าง การสะท้อนพลังกลับทั้งหมด ความชั่วร้ายทุกอย่างที่เกิดจากการขัดจังหวะจากฝันของเทพเจ้าล้วนรวมมายังร่างของนักร่ายระบำบวงสรวง
เสียงร้องน่าเวทนาดังโดยหวนก้องฟ้า
ชายชราในถ้ำหินภูเขา สีหน้าสิ้นหวัง คิดอยากจะดิ้นรนแต่ก็เปล่าประโยชน์ การแตกสลายจากเส้นทุกเส้นล้วนแปรเปลี่ยนเป็นผีเสื้อเริงระบำตัวหนึ่ง บินไปกัดกินเขา แฝงการทำร้ายแก่เขาในระดับหนึ่ง
และการทำร้ายที่เกิดจากการรวมกันของจำนวนสิ่งมีชีวิตในเทือกเขามิรู้สิ้นยิ่งน่าหวาดกลัว ผีเสื้อเริงระบำจำนวนนับไม่ถ้วนกะพริบแสงระหว่างภาพมายาและความเป็นจริง ปกคลุมร่างของเขาเอาไว้ทั้งหมด กัดกินอย่างบ้าคลั่ง
กายเนื้อของเขาเน่าเปื่อยสลายไปอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า และสิ่งที่ทำให้เขายิ่งสิ้นหวังคือการสะท้อนพลังกลับที่เกิดจากการแหลกสลายของฝันเทพเจ้า ไม่ใช่พลังที่เขาสามารถต่อต้านได้เลย
ภายใต้การสะท้อนพลังกลับนี้ คำสาปในร่างของเขาปะทุอย่างบ้าคลั่ง แผ่ลามไปทั่วร่างกาย ปกคลุมวิญญาณ สิ่งที่มาพร้อมกับความเจ็บปวดทำให้เขาตกอยู่ในความคลุ้มคลั่ง
ต่อให้คุกเข่าอ้อนวอนต่อเทพก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ
สุดท้ายหลังจากหลายชั่วอึดใจ ท่ามกลางการกัดกินจากผีเสื้อเริงระบำ ภายใต้การสะท้อนพลังกลับของความฝันเทพเจ้า ทั้งตัวเขาก็กลายเป็นน้ำเลือดหยดย้อยไปบนพื้นในถ้ำหิน
ร่ายระบำแด่องค์ราชัน ยอดเยี่ยมประทานรางวัล ยอดแย่ประทานความตาย!
แด่เทพเจ้ายิ่งเป็นเช่นนั้น