ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 579 แผ่นดินเซ่นจันทราจะเกิดลมพายุ ประกายไฟจะลุกโหม (1)
บทที่ 579 แผ่นดินเซ่นจันทราจะเกิดลมพายุ ประกายไฟจะลุกโหม (1)
เทพเจ้ามีฝัน ใช้ระบำเป็นเครื่องสังเวย ตัดกระดาษเป็นสรรพชีวิตทั้งหลาย วาดระบายหมื่นสรรพสิ่ง
ผู้ยอดเยี่ยมเทพปิติ ประทานสุขชั่วนิรันดร์ ผู้ยอดแย่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ชิงชัง เพียงเสี้ยวความคิดสลายกลายเป็นอากาศ
นี่ก็คือระบำบวงสรวง
ตอนนี้จากการตายท่ามกลางการกัดกินของชายชราในยอดเขาคู่ สิ่งที่สลายหายไปกับเขา ยังมีผีเสื้อเริงระบำทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากระบำบวงสรวงที่ล้มเหลวครั้งนี้ทั้งหมด
ผีเสื้อเริงระบำพวกนี้หลังจากกลืนกินเลือดเนื้อของเขาแล้วก็ผสานไปในฟ้าดิน หายไปไร้ร่องรอย ทำให้สรรพสิ่งทั้งหลาย กระจ่างชัด
และสำหรับสิ่งมีชีวิตในเทือกเขามิรู้สิ้น ตื่นขึ้นมา…บางทีอาจจะไม่ใช่ความโชคดี
ชีวิตคนที่ไม่ได้รับการจัดการวางแผน สิ่งที่นำมาให้อาจจะเป็นความสับสนงุนงงทำอะไรไม่ถูกยิ่งกว่าเดิม
กวาดตามองไป เริ่มจากเมืองล่างภูเขา ความงุนงงครั้งนี้เหมือนพายุพัดกวาด ท่วมจมเมืองมิด
ในเมือง คนธรรมดาก็ดี ผู้บำเพ็ญก็ดี ในเสี้ยวพริบตาที่ตื่นขึ้นมาล้วนเงียบนิ่ง
สามีภรรยาบางคู่ สหายบางคน ญาติสนิทบางคน ศิษย์อาจารย์บางคน พวกเขาต่างมองอีกฝ่าย ในสีหน้าแฝงด้วยความซับซ้อนที่เข้าแทนที่ความงุนงงสับสน พวกเขาต่างเป็นคนแปลกหน้าแต่ก็คุ้นเคยกันดี
ที่แปลกหน้าเพราะเคยไม่รู้จักกัน แต่ได้รับบทบาทให้อยู่ด้วยกันนับแต่นั้น ที่คุ้นเคยเพราะความทรงจำช่วงนั้นไม่ได้หายไป และที่สับสนงุนงงทำอะไรไม่ถูกคือหลังจากที่ตื่นขึ้นมาแล้วควรจะไปที่ไหนทำอย่างไร
เมืองเช่นนี้ สำนักเช่นนี้ ตระกูลแต่ละตระกูลยิ่งเป็นเช่นนี้ ลมพายุหอบม้วนไปทั่วทั้งเทือกเขามิรู้สิ้น ปกคลุมทุกอย่างเอาไว้
มีคนเลือกที่จะจากไป ไม่กลับมายังสถานที่ที่ทำให้พวกเขาตื่นตระหนกหวาดกลัวและเลอะเลือนแห่งนี้ตลอดกาล
ในนั้นที่มีจำนวนมากคือผู้ที่มาจากต่างถิ่น
แต่ความจริงแล้วคนทั้งหลายส่วนมากที่เทือกเขามิรู้สิ้นแห่งนี้นับตั้งแต่เกิดก็อยู่ที่นี่ ชะตาชีวิตของเขาในตอนที่เป็นทารกก็ถูกเปลี่ยนไปแล้ว
กระทั่งว่าหากสืบย้อนต่อไป บรรพบุรุษของพวกเขาล้วนเป็นเช่นนี้
พวกเขาชินกับชีวิตถูกจัดการ ชินกับทุกอย่างล้วนถูกกำหนดเอาไว้ กระทั่งว่าความเคยชินนี้ได้กลายเป็นสัญชาตญาณไปแล้ว เพราะก่อนหน้าที่จะตื่นขึ้นมา พวกเขาไม่รู้ความจริงเลย
ในความคิดของพวกเขา ฟ้าดินไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลง ชีวิตก็ยังคงเป็นปกติ
เหมือนถูกขังอยู่ในกรง ในวันหนึ่งที่กรงถูกเปิดออก แต่พวกเขา…ก็ยังคงเลือกที่จะอยู่ในกรง
กระทั่งว่าในใจของเขาเพื่อที่จะย้ำความคิดของตัวเองก็จะเกิดความสงสัยบางอย่าง สงสัยว่าการฟื้นตื่นที่ว่าเป็นเรื่องโกหก
ใช้ข้อความคิดนี้มาพิสูจน์ว่า ตัวเองตื่นอยู่ตลอดเวลา
ความสุขเช่นนี้ก็เป็นความโศกสลดอย่างหนึ่งเช่นกัน
สวี่ชิงเงียบนิ่ง
เขาในตอนนี้อาศัยโลงน้ำแข็งสีฟ้าที่นายกองอยู่ อาศัยพลังคทาในนั้น จิตเทพของเขาปกคลุมไปทั่วทั้งเทือกเขามิรู้สิ้น
นี่ทำให้เขาสัมผัสรับรู้ได้ถึงความคิดที่มาจากคนทั้งหลายได้อย่างชัดเจน
สุดท้ายสวี่ชิงกับนายกองก็เลือกที่จะจากไป
ก่อนจาก นายกองสัมผัสทุกอย่างที่นี่ ถอนหายใจออกมา
“สรรพชีวิตที่นับแต่เกิดก็อยู่ที่นี่ บรรพบุรุษแต่ละรุ่นๆ ล้วนมีชีวิตอยู่ที่นี่ ต่อให้ตื่นขึ้นมา แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับอยู่ในฝัน
“พวกเขาก็จะอาศัยอยู่ที่นี่ต่อไปเหมือนเมื่อก่อน ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
“อาชิงน้อย ไปเถอะ…บางทีสำหรับพวกเขา การปรากฏตัวขึ้นของพวกเราเป็นการรบกวนอย่างหนึ่ง”
นายกองส่ายหน้า เก็บโลงน้ำแข็งของตัวเองลงไป เดินไปยังท้องฟ้า หลังจากเดินไปหลายก้าวก็หยุด หันไปมองสวี่ชิง
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก เก็บประสาทสัมผัสรับรู้ลงไป เดินไปทางนายกอง
ทั้งสองจากไปอย่างเงียบๆ บนท้องฟ้าจนกระทั่งมาถึงนอกสำนักบุปผาหยินหยาง ฝีเท้าของพวกเขาก็หยุดลง
อู๋เจี้ยนอูอยู่ตรงนั้น
ตอนนี้สำนักบุปผาหยินหยางเหลือไม่ถึงครึ่งแล้ว ภูเขาถล่ม บ่อวิญญาณก็ปนเปื้อนไปแล้วท่ามกลางฝุ่นควันนี้ ส่วนลูกศิษย์ในสำนักหลังจากที่ตื่นขึ้นก็จากไปกว่าครึ่ง
มีเพียงผู้บำเพ็ญที่เกิดที่นี่ นั่งอยู่บนหินภูเขาที่แตกกระจายอยู่เงียบๆ ความคิดว้าวุ่น
ส่วนเงาร่างของอู๋เจี้ยนอูยืนเหม่อลอยอยู่ข้างล่างภูเขา ข้างหน้าของเขาคืออวิ๋นเสียจื่อที่เดินจากไปไกลทีละก้าวๆ
ท้องฟ้าที่ทอประกายแสงพรายมีนัยยะแฝงถึงการปิดฉากลง ทำให้คนรู้สึกถึงความกดดันอย่างหนึ่ง เช่นใจของเขาในตอนนี้ และเฉกเช่นความซับซ้อนของอวิ๋นเสียจื่อในตอนนี้เช่นกัน
อู๋เจี้ยนอูมองเงาร่างของอวิ๋นเสียจื่ออย่างเหม่อลอย ในใจยากบรรยาย
หลังจากสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่นี่ เขาก็มาที่นี่ในทันที เห็นภูเขาที่ถล่มทลาย เห็นความวุ่นวายรอบๆ และเห็นอวิ๋นเสียจื่อ
กลอนที่เขาเคยท่อง อีกฝ่ายเหมือนฟังไม่เข้าใจแล้ว ไม่มองเขาแม้เพียงแวบเดียว
นี่ทำให้อู๋เจี้ยนอูในใจเต็มไปด้วยความขมขื่น ตอนนี้จ้องมองเงาแผ่นหลังของอีกฝ่าย เขาก็พลันเอ่ยเสียงดังขึ้นมา
“ฟ้ามืดพายุพัดซัดหมอกเมฆ อาทิตย์กระจ่างฝนพร่างพรำข้ามีร่ม!”
เสียงของอู๋เจี้ยนอูดังไปในฟ้าดิน ดังมายังข้างหูของอวิ๋นเสียจื่อ เพียงแต่ฝีเท้าของนางไม่หยุดชะงักแม้เพียงครึ่งก้าว และไม่ได้หันกลับมาเลย สุดท้ายก็จากไปไกล ไร้ร่องรอย
อู๋เจี้ยนอูอึ้งตะลึงเหม่อลอย ถอยหลังไปหลายก้าวนั่งลงข้างๆ
สวี่ชิงและนายกองเดินมาเงียบๆ มองความหมองหม่นในสีหน้าของอู๋เจี้ยนอู สวี่ชิงยกมือยื่นกาสุราให้อู๋เจี้ยนอูกาหนึ่ง เขารู้สึกว่าอู๋เจี้ยนอูในตอนนี้น่าจะอยากดื่มสุรา
อู๋เจี้ยนอูรับมาอย่างสั่นเทา หลังจากดื่มลงไปอึกใหญ่ตาก็แดงเล็กน้อย เอ่ยพึมพำเสียงต่ำ
“นางฟังไม่เข้าใจเลย ล้วนเป็นเรื่องโกหกทั้งนั้น!”
นายกองถอนหายใจ ตบไหล่อู๋เจี้ยนอู ไม่ได้พูดอะไร
จวบจนหลังจากนั้น จากการที่อู๋เจี้ยนอูจิตใจฟื้นฟูขึ้นมาบ้างเล็กน้อย พวกเขาคนกลุ่มนี้ก็เดินทางจากไปจากที่นี่ เพียงแต่อู๋เจี้ยนอูเงียบนิ่งมาตลอดทาง
ระหว่างทางนายกองหาหนิงเหยียนที่ซ่อนตัวอยู่ในรอยแยกแผ่นดินแห่งหนึ่งเจอ ก็หิ้วเขาขึ้นมา
หนิงเหยียนใจหวาดหวั่นพรั่นพรึง ภาพที่นี่ก่อนหน้านี้ทำให้เขารู้สึกว่าอันตรายเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น เมื่อเห็นพวกสวี่ชิง จิตใจของเขาก็พุ่งพล่าน จากนั้นก็มองอู๋เจี้ยนอูอย่างโมโห กำลังจะเอ่ยปาก ก็พบว่าอารมณ์ของอู๋เจี้ยนอูผิดปกติ
หนิงเหยียนตกตะลึงสงสัย มีใจคิดอยากจะถาม แต่ก็รู้ว่าตอนนี้ไม่เหมาะ จึงสะกดความอยากรู้เอาไว้ในใจ
พวกเขากลุ่มนี้ไปจากเทือกเขามิรู้สิ้นเช่นนี้เอง จากการที่นายกองนำดวงอาทิตย์จำลองออกมา เงาร่างของคนทั้งหลายกะพริบวูบวาบ ก็หายไปจากขอบฟ้า
เรื่องเกิดขึ้นที่เทือกเขามิรู้สิ้น คำพูดของคนที่จากไปค่อยๆ เล่าลือกันออกมา ขณะเดียวกัน การตายของนักร่ายระบำบวงสรวงก็ทำให้กับสำนักบุปผาหยินหยางทั้งหมดต่างให้ความสำคัญ
ในเจ็ดวันนี้ หลังจากที่ผู้แข็งแกร่งสำนักบุปผาหยินหยางมากมายได้ยินเรื่องนี้ก็อาศัยค่ายกลศิษย์สำนักส่งข้ามมา ทำการตรวจสอบ
สุดท้ายประกาศจับจากสำนักบุปผาหยินหยางฉบับหนึ่งก็ประกาศไปทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา
ประกาศว่าผู้ลบหลู่เทพเจ้ามีเว่ยยางจื่อและเทียนชิงจื่อเป็นผู้นำ
หากมีผู้มอบเบาะแส จะได้รับมิตรภาพจากสำนักบุปผาหยินหยาง หากมีคนมอบศีรษะและวิญญาณของพวกเขา สำนักสาขาหลักบุปผาหยินหยางจะมอบลูกกลอนบรรเทาทุกข์ให้เป็นรางวัล
ประกาศนี้เมื่อประกาศออกมา ทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราสั่นสะท้าน ด้านหนึ่งเพราะเรื่องนี้ไม่เล็กเลย อีกด้านหนึ่งคือลูกกลอนบรรเทาทุกข์
ประโยชน์ของลูกกลอนนี้มีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือช่วยบรรเทาความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากคำสาป
ผู้บำเพ็ญของแผนดินใหญ่เซ่นจันทรา คำสาปพระจันทร์สีชาดในร่างของพวกเขา จากการเพิ่มขึ้นของพลังบำเพ็ญและเวลาที่หมุนผ่านไปจะค่อยๆ ทำให้ร่างกายและวิญญาณเจ็บปวดอย่างสุดซึ้ง
ความทรมานที่เกิดขึ้นจากความทุกข์ทรมานนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญคนใดก็ไม่อยากรับทั้งนั้น และวิธีที่จะบรรเทาความเจ็บปวดนี้ได้มีเพียงลูกกลอนบรรเทาทุกข์เท่านั้น
เพียงแต่ลูกกลอนนี้มีน้อยมาก แต่ความต้องการกลับมาก จึงล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่สิ่งที่หินวิญญาณจะซื้อได้ ไม่ว่าเม็ดใดล้วนขายได้กำไรทั้งสิ้น
ยกตัวอย่างเช่นบรรพจารย์ความร่วมมือสองเผ่าในตอนนั้นก็คิดจะจับเป็นสวี่ชิงส่งไปยังตำหนักเทพ เพื่อแลกลูกกลอนบรรเทาทุกข์มา
จากจุดนี้ก็สามารถคิดได้ว่าความเย้ายวนจากประกาศมีมากเพียงใด
และตอนนี้พวกสวี่ชิงและนายกองที่ถูกประกาศจับพวกเขาไปไกลจากเทือกเขามิรู้สิ้นแล้ว มาปรากฏบริเวณใกล้กับทางตะวันตก
ที่นี่นายกองจะซ่อนตัวหลบภัยสักหน่อย ขณะเดียวกันก็จะเตรียมการเพื่องานอีกชิ้นหนึ่ง
สวี่ชิงไม่คิดจะตามไปด้วย เขามีเรื่องที่ตัวเองต้องไปจัดการ
เขาระลึกถึงเมืองหิ่งห้อยทางตวนมู่ฉางทางนั้นมาโดยตลอดว่ายังมีเผ่ามนุษย์ที่ตกอยู่ในคำสาป เขาอยากช่วยพวกเขาแก้คำสาป
เพียงแต่คิดจะแก้คำสาปนี้ เขาต้องทำการค้นคว้าและทดลองอย่างมหาศาล นี่ต้องมีสภาพแวดล้อมที่สงบมั่นคงและต้องใช้เวลาในระดับหนึ่ง
ด้วยนิสัยที่อยู่ไม่นิ่งรักอิสระของนายกอง หากอยู่กับเขาเห็นได้ชัดว่าไม่เหมาะ
ขณะเดียวกันมีที่แห่งหนึ่ง สวี่ชิงวางแผนว่าจะไปดูสักหน่อย
ดังนั้นสวี่ชิงจึงบอกแผนการนี้กับนายกอง
“ศึกษาคำสาปอย่างนั้นหรือ” นายกองได้ยินก็ตาเป็นประกาย หลังจากเอาลูกท้อออกมากัดคำหนึ่ง แสงในดวงตายิ่งเป็นเจิดจ้าเป็นประกาย
“ฮ่าๆ อาชิงน้อย เดิมความคิดของเจ้านี้เป็นการใหญ่เรื่องที่แปดที่ข้าเตรียมเอาไว้ หากเจ้าศึกษาค้นคว้าได้ก่อนล่วงหน้า เรื่องภายหลังที่จะลงมือของเราก็จะประหยัดเวลาไปมาก
“ก็ดีเหมือนกัน!” นายกองใบหน้าฉายแววตัดสินใจเด็ดเดี่ยว ยื่นผิงกั่วให้สวี่ชิงลูกหนึ่ง โอบไหล่อีกฝ่ายเอาไว้ เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
“อาชิงน้อย หากเจ้าออกไปเอง จำไว้ว่าต้องระวังอย่าให้สำนักบุปผาหยินหยางหาเจอ ส่วนข้าเตรียมไปทำเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่ง คงประมาณครึ่งปีได้กระมัง”
“เล็กแค่ไหนหรือ” สวี่ชิงมองนายกองผาดหนึ่ง
“ฮ่าๆ เรื่องเล็กๆๆ มากๆ” นายกองยกนิ้วโป้งและนิ้วชี้ขึ้น หลังจากแตะกันก็แยกเป็นช่องทางหนึ่ง ใช้มันเปรียบกับเรื่องที่จะทำ
“เช่นนั้นก็รักษาตัวด้วย” สวี่ชิงยิ้ม ไม่ได้ถามอะไรมาก
นายกองหัวเราะฮ่าๆ เงยน้ามองไปยังท้องฟ้าไกล
“เอาเถอะ พวกเราแยกกันที่นี่ก็แล้วกัน ครึ่งปีหลังจากนี้ไปรวมตัวกันที่เทือกเขาทนทุกข์เป็นอย่างไร ข้าจะบอกเจ้าให้นะอาชิงน้อย ครั้งนี้อย่าได้สาย มาถึงก่อนเป็นดีที่สุด หลังจากนี้ครึ่งปี ศิษย์พี่ใหญ่จะพาเจ้าไปเข้าร่วมกลุ่มที่เจ๋งโคตรๆ ไปเลย!
“ที่นั่น จะเป็นหมากสำคัญตาหนึ่งที่พวกเราจะจัดการพระจันทร์สีชาด!”
สวี่ชิงดวงตาฉายประกาย เทือกเขาทนทุกข์ชื่อนี้ เขาได้ยินครั้งแรกจากปากตวนมู่ฉาง รู้ว่าที่นั่นมีวิธีเข้าร่วมกับตำหนักขบถจันทร์
ส่วนรายละเอียดสวี่ชิงไม่รู้ และแผนเดิมของเขาสถานที่ที่จะไปก็รวมถึงเทือกเขาทนทุกข์
เพราะตวนมู่ฉางบอกไว้ว่า การศึกษาค้นคว้าคำสาปของตำหนักขบถจันทร์ลึกซึ้งมาก หากสามารถได้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากในนั้น ก็จะประหยัดเวลาในการศึกษาของเขาได้เป็นอย่างมาก
อีกทั้งจากการศึกษาอนุมานข้อมูลที่คล้ายๆ กัน ก็จะสามารถต่อยอดแนวความคิดมากมายให้กับเขาได้เช่นกัน
ดังนั้นสวี่ชิงพยักหน้า หลังจากปรึกษาหารือกำหนดรายละเอียดการพบกันบางอย่าง สวี่ชิงก็ลุกขึ้น เตรียมจากไป
ก่อนจาก นายกองมอบเมล็ดพันธุ์จำนวนหนึ่งจากอู๋เจี้ยนอูทางนั้นยื่นให้สวี่ชิง
“ศิษย์น้องเล็ก หากเจ้าไปถึงเทือกทนทุกข์ก่อน ก็ปลูกเมล็ดพันธุ์พวกนี้ที่นั่น เช่นนี้ เมื่อข้าทางนี้เจอกับเรื่องด่วนที่ต้องหาเจ้า ข้าก็จะให้พี่เจี้ยนเจี้ยนสั่งลูกๆ ของเขาไปตามกลิ่นของเมล็ดพันธุ์นี้ไปหาเจ้า หลังจากที่ข้าจัดการเรื่องเรียบร้อยก็ใช้วิธีนี้หาเจ้าได้เช่นกัน”
สวี่ชิงรับเมล็ดพันธุ์มา ในใจนึกอัศจรรย์ ความพิเศษของลูกๆ อู๋เจี้ยนอูเขาก็รู้อยู่ สมองอดคิดถึงกล่องปรารถนาใบนั้นเมื่อตอนนั้นขึ้นมาไม่ได้ จึงมองไปทางอู๋เจี้ยนอู