ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 579-2 แผ่นดินเซ่นจันทราจะเกิดลมพายุ ประกายไฟจะลุกโหม (2)
บทที่ 579-2 แผ่นดินเซ่นจันทราจะเกิดลมพายุ ประกายไฟจะลุกโหม (2)
………………..
อู๋เจี้ยนอูก็ยังคงท่าทางไร้ชีวิตชีวาเช่นเดิม นอนอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่ตรงนั้น ประเดี๋ยวๆ ก็ถอนหายใจ
“ไม่ต้องสนใจเขา อกหักก็แบบนี้ ปกติ ไม่กี่วันก็ดีขึ้นแล้ว”
นายกองยิ้มพลางเอ่ย พูดจบเขาก็สูดลมหายใจลึก มองสวี่ชิง ดวงตาแฝงด้วยคำอวยพร
“เช่นนั้นศิษย์น้องเล็ก พวกเราสุดแท้แต่ชะตากำหนด รักษาเนื้อตัวกันให้ดี!”
สวี่ชิงได้ยินก็พยักหน้า
หนิงเหยียนอยู่ข้างๆ ทำหูตั้ง แอบฟังบทสนทนาของทั้งคู่มาโดยตลอด จนกระทั่งได้ยินคำว่าอกหักสองคำนี้ ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าทำไมหลายวันมานี้อู๋เจี้ยนอูเป็นเช่นนี้ ในใจเหยียดหยาม แอบพูดในใจว่าเรื่องแค่นี้เองหรือ
ตอนนี้เห็นสวี่ชิงจะไปแล้ว เขารีบลุกขึ้นไปส่งทันที ในดวงตายิ่งฉายแววปรารถนา หวังว่าสวี่ชิงจะพาเขาไปด้วย…
สวี่ชิงไม่สนใจ เพียงก้าวเดียวก็ไปจากดวงอาทิตย์จำลอง ไหววูบไปจากม่านฟ้า หายไปทันที
“โตแล้ว ไม่เล่นกับศิษย์พี่ใหญ่แล้ว” นายกองมองสวี่ชิงจากไปไกลจนลับสายตา ในใจรู้สึกสะท้อนใจ จากนั้นก็ยกมือประสานปางมือ ดวงอาทิตย์จำลองส่งเสียงเลื่อนลั่น เร่งความเร็วเคลื่อนไปข้างหน้า
เวลาไหลไป ไม่นานก็ผ่านไปครึ่งเดือน
ประกาศจับของสำนักบุปผาหยินหยางยังคงอยู่ แต่คนที่ถูกประกาศจับกลับไม่มีเบาะแสใดๆ สืบหาออกมาได้ ราวกับสลายกลายเป็นไอ ขณะเดียวกันก็มีข่าวลือของเรื่องใหญ่อีกเรื่องที่ทำให้ประกาศจับครั้งนี้ถูกคนละเลยไปตามสัญชาตญาณ
เรื่องใหญ่เรื่องนี้ช่างสั่นสะท้านจิตใจนัก ทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราต่างฮือฮา
บุตรเทวะบาดเจ็บสาหัส!
ต้นเหตุของเรื่องนี้ตอนแรกก็ถูกปิดเอาไว้เป็นอย่างดี นอกจากสาขาหลักตำหนักพระจันทร์สีชาดแล้วก็ไม่มีใครล่วงรู้ พวกเขารู้แค่ว่าที่ราบน้ำแข็งทางตอนเหนือเกิดการเปลี่ยนแปลงเท่านั้น รู้ว่าทะเลเพลิงสวรรค์เกิดปรากฏการณ์ประหลาด อีกทั้งสัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นพลังฟ้าดินอย่างต่อเนื่องมาเดือนกว่าๆ
แม้จะมีการคาดเดามากมาย แต่จะอย่างไรก็ไม่มีข้อมูลที่แท้จริง
จวบจนวันนี้หลังจากที่ผ่านไปหลายเดือน สถานการณ์ความจริงนี้ถึงจะแพร่ออกมา อีกทั้งผู้ที่เผยแพร่เรื่องนี้ไม่ใช่ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาด แต่เป็นคนของตำหนักขบถจันทร์ที่กระจายข่าวไปทุกๆ ที่
พวกเขาบอกผู้คนว่าเหตุการณ์ประหลาดที่ทะเลเพลิงสวรรค์เกิดจากรัฐทายาทเจ้าเหนือหัวหลุดพ้นจากพันธนาการแล้ว
และเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงที่ที่ราบน้ำแข็งทางเหนือก็เกิดจากรัฐทายาทช่วยองค์หญิงหมิงเหมย บุตรีแห่งเจ้าเหนือหัวเมื่อตอนนั้นออกมา
ทันทีที่ผู้แข็งแกร่งที่น่าครั่นคร้ามทั้งสองหลุดพ้นจากพันธนาการก็โจมตีสังหารไปยังสาขาหลักตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดทันที
เปิดศึกที่น่าครั่นคร้ามพรั่นพรึงที่นั่น
นี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำไมระลอกคลื่นพลังจึงแผ่ต่อเนื่องมาหนึ่งเดือน
ส่วนผลของมหาศึกครั้งนี้ รัฐทายาทและองค์หญิงหมิงเหมยหายตัวไป บุตรเทวะตำหนักพระจันทร์สีชาดบาดเจ็บสาหัส
เรื่องนี้เผยประเด็นสำคัญออกมาจุดหนึ่ง นั่นก็คือ…พระจันทร์สีชาดชื่อหมู่ยังไม่ลงมาเยือน
นี่ไม่ตรงกับเหตุผล เพราะหากบุตรเทวะบาดเจ็บสาหัส เช่นนั้นองค์ท่านจะต้องสำแดงวิชาเทพลงมา แต่ดูจากระลอกคลื่นพลังฟ้าดินในช่วงนี้ เรื่องนี้ยังไม่เกิดขึ้น!
จึงมีข่าวลืออีกสองเรื่องกระจายออกไปพร้อมกับเรื่องนี้
ข่าวลือเรื่องแรกคือตัวตนที่แท้จริงของบุตรเทวะพระจันทร์สีชาด และวิญญาณที่เขาดูดมาจากพี่น้องที่สะกดเอาไว้ในหลายปีที่ผ่านมา ถูกชิงเอาไปจากศึกครั้งนี้
วิญญาณเหล่านี้เป็นเหตุผลที่ทำให้ลูกๆ ของเจ้าเหนือหัวที่ถูกผนึกพันธนาการสูญเสียสติสัมปชัญญะไป
ว่ากันว่าทันทีที่ถูกช่วงชิงไป ในตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดก็มีเสียงครวญครางนับไม่ถ้วนดังออกมา ราวว่าไม่ใช่เสียงมนุษย์
เรื่องนี้ฮือฮาสะท้านสะเทือน มีคนวิเคราะห์ว่าแผนของรัฐทายาทไม่ใช่จะต่อสู้ชี้ชะตากับบุตรเทวะอย่างที่แสดงออกมาให้เห็น แต่มีความหมายลึกซึ้งอื่นอีก
บางทีวิญญาณเหล่านี้เป็นเพียงแค่หนึ่งในเป้าหมายของเขา
ส่วนรายละเอียดไม่มีใครรู้
และข่าวลือเรื่องที่สองที่แพร่ออกมายิ่งส่งผลกระทบต่อจิตใจคนทั้งหลาย
“พระจันทร์สีชาดชื่อหมู่ เนื่องจากเรื่องนอกแผ่นดินใหญ่ตกอยู่ในห้วงนิทราลึก ในเวลาสั้นๆ ไม่อาจตื่นขึ้นมาได้!”
ข้อมูลที่แฝงอยู่ในข่าวลือช่างชวนให้คนตื่นตะลึงนัก ฟ้าของแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราเหมือนว่าจะเปลี่ยนไปจากการนี้
เหมือนในบ่อน้ำนิ่งบ่อหนึ่งเกิดระลอกคลื่นขึ้นมา
เพียงพริบตา ทุกเขตปกครองทุกมณฑลล้วนมีกลุ่มประชาชนจำนวนหนึ่งประดุจประกายแสงเพลิง
พวกเขาเผยแพร่คำขวัญของตำหนักขบถจันทร์ เรียกขานให้ผู้คนลุกขึ้นมาต่อต้าน พยายามที่จะขยายกำลังออกไป
เพียงแต่ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดและขั้วอำนาจที่ขึ้นกับตำหนักเทพ และยังมีทูตเทวะ ผู้รับใช้เทวะ และทาสเทวะจำนวนมหาศาล ไม่นานนักก็ถูกส่งออกไปทำการสะกดควบคุมไปทุกกลุ่ม
ยิ่งมีจักรพรรดิตำหนักเทพ หลังจากบุตรเทวะบาดเจ็บสาหัสก็ตื่นขึ้นมาจากนิทรา ควบคุมสถานการณ์
ด้วยรูปแบบที่แข็งแกร่งไม่อ่อนข้อ พัดกวาดลมพายุเลือดเนื้อไปทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่
แต่สุดท้าย…ลมในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราก็พัดขึ้นจนได้
และตอนนี้ ในเขตปกครองทรายดำทางตะวันตกของแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ในฟ้าดินพัดหอบลมเม็ดทรายสีดำขึ้น คลายว่าจะเชื่อมกับผืนฟ้า ปกปิดครรลองสายตา
เขตปกครองทรายดำเป็นหนึ่งในเจ็ดเขตปกครองทางตะวันตกของแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา อยู่ติดกับใจกลาง
ที่มาของชื่อสถานที่แห่งนี้เพราะทั้งเขตปกครองเป็นทะเลทราย
อีกทั้งทะเลทรายที่นี่พิเศษมาก เม็ดทรายไม่ใช่สีเหลืองแต่เป็นสีคราม
ดังนั้นลมที่พัดหอบก็เป็นลมเม็ดทรายสีคราม พัดอยู่ตลอดทั้งปี
ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศที่นี่ พำนักอาศัยสืบเผ่าพันธุ์ไปในลมเม็ดทรายสีดำชั่วนิรันดร์
และสำหรับลมเม็ดทรายสีดำที่นี่ ก็มีเรื่องเล่ามากมาย หนึ่งในนั้นมีเรื่องหนึ่งที่เป็นที่ยอมรับมากที่สุด
ว่ากันว่าที่นี่เมื่อนานแสนนานมาแล้วไม่ใช่ทะเลทราย แต่เป็นพื้นที่แอ่งกระทะขนาดมหึมาแห่งหนึ่ง ในนั้นมียอดเขาสูงนับไม่ถ้วน
ดินบนพื้นในตอนนั้นเป็นสีดำ จะมีหมอกลอยขึ้นจากบนพื้นทำให้ที่นี่เกิดเป็นทะเลหมอก
จนกระทั่งวันหนึ่ง บนท้องฟ้ามีเส้นผมสีดำเส้นหนึ่งร่วงลงมา ผมเส้นนี้ลอยมาที่นี่ แปรเปลี่ยนเป็นฝุ่นธุลีถมแอ่งกระทะจนเต็ม กลายเป็นเม็ดทรายสีดำ
และทำให้ที่นี่กลายเป็นทะเลทรายนับจากนั้นมา
ยอดเขาสูงใหญ่เหล่านั้นเมื่อครั้งนั้นก็ถูกท่วมจมไปกว่าครึ่งจากเหตุนั้น ส่วนที่โผล่ออกมาเชื่อมต่อซึ่งกันและกัน ก็ได้กลายเป็นเทือกเขาน้อยใหญ่
เทือกเขาที่ใหญ่ที่สุดในนั้นชื่อว่าทนทุกข์
และทะเลทรายผืนนี้ถูกเรียกว่าทะเลทรายผมคราม
เนื่องจากสภาพอากาศเลวร้าย ดังนั้นผู้ที่อาศัยในทะเลทรายผมครามมีไม่มาก แต่เนื่องจากความพิเศษบางอย่าง ดังนั้นคนต่างถิ่นอยู่ที่นี่ไม่น้อยเลย
จากการหมุนผ่านไปของเวลาก็ค่อยๆ เกิดเป็นเมืองดินเมืองแล้วเมืองเล่า
เมืองเหล่านี้ล้วนสร้างอยู่ในยอดเขา ไม่ได้สร้างอยู่บนผืนทราย และตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดก็ได้สร้างฐานที่มั่นไว้แห่งหนึ่งเป็นการเฉพาะที่นี่
ตอนนี้ ท่ามกลางลมทรายสีดำ ฟ้าดินสลัวรางเลือนไปทั้งแถบ ท่ามกลางความรางเลือนมีเงาร่างหนึ่ง กำลังมุ่งหน้ามาจากในนั้น
ลมแรงมาก ส่งเสียงหวีดหวิวมา พัดกระทบมาที่ร่างเหมือนมือจำนวนมหาศาลผลักอยู่ข้างหน้า เป็นแรงขัดขวางการเคลื่อนที่ไป ยิ่งพัดเสื้อผ้าสะบัดปลิวไม่หยุด
แต่กลับไม่อาจต้านทานเงาร่างในลมทรายได้เลย ความเร็วของเขาดูเหมือนไม่เร็ว แต่ทุกก้าวที่ก้าวออกมาล้วนเป็นระยะหนึ่งจั้ง เพียงแต่เขาจะหยุดบ้างเป็นครั้งคราว เอาแผ่นหยกออกมาดูทิศทาง
“ยังเหลืออีกระยะหนึ่ง”
สวี่ชิงพึมพำเสียงต่ำ ใบหน้าของเขาพันไว้ด้วยผ้าพันคอ ผมก็เช่นเดียวกัน โผล่ออกมาเพียงดวงตาทั้งสองจ้องมองไปยังที่ไกล
หลังจากแยกกับนายกอง เขาก็ขบคิดเส้นทางต่อจากนั้น จึงตัดสินใจวางเป้าหมายมาเป็นที่เทือกเขาทนทุกข์เสียเลย
เตรียมหาว่าจะเข้าร่วมกับตำหนักขบถจันทร์อย่างไร พลางหาสถานที่พักพิงไปด้วย เพื่อศึกษาค้นคว้าคำสาป
วันนี้เป็นวันที่สามแล้วที่เขาเข้ามาในทะเลทรายผมคราม
ชุดนักพรตบนร่างของเขาเปลี่ยนมาเป็นเสื้อผ้าของท้องถิ่น เสื้อที่แนบตัว กางเกงขาก๊วย รองเท้ายาวถึงเข่าทำจากหนังสัตว์ และยังมีเสื้อตัวนอกสีเทาตัวโคร่งที่คลุมทั้งร่างเอาไว้ข้างใน และปกป้องหลิงเอ๋อร์เอาไว้ได้อย่างดี
ลมที่นี่สำหรับผู้บำเพ็ญแล้ว มีพลังพัดทะลุในระดับหนึ่ง หากอาศัยพลังบำเพ็ญต้านทาน ในเวลาสั้นๆ ยังพอไหว แต่หากเวลานานไปจะต้องพลังเหือดแห้งแน่นอน
เพราะพลังวิญญาณฟ้าดินของทะเลทรายทั้งผืนอยู่ในลมทรายล้วนกระจัดกระจาย เบาบางมาก
ขณะเดียวกัน ลมที่นี่ก็มาพร้อมความอ้างว้างหมองเศร้า พัดนานไปพลังชีวิตจะค่อยๆ หมองมัว จนกระทั่งกลิ่นอายความตายพันล้อม กลายเป็นกระดูก
มีเพียงสิ่งมีชีวิตพิเศษบางประเภท อยู่ที่นี่แล้วเหมือนปลาได้น้ำ ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม
ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ในตอนที่สวี่ชิงดูทิศทาง แมงป่องสีดำตัวขนาดครึ่งมนุษย์จู่ๆ ก็พุ่งออกมาจากทรายข้างหลังเขา
รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง เพียงพริบตาก็ประชิดเข้ามาใกล้สวี่ชิง หางแมงป่องกะพริบประกายวูบ เห็นใกล้จะแทงเข้ามาเต็มที แต่เจ้าเงาใต้เท้าสวี่ชิงพลันพุ่งขึ้นมา แล้วปกคลุมแมงป่องไปทันที
แมงป่องหายไป เจ้าเงากลับมาอย่างรวดเร็ว
นับจากต้นจนจบ สวี่ชิงไม่ได้ไปดูแม้แต่น้อย หลังจากเข้ามาในนี้เขาเจอกับสัตว์ร้ายประเภทนี้ไม่น้อย ในร่างของทุกตัวล้วนมีคำสาปแฝงอยู่ นี่ทำให้สวี่ชิงดีใจมาก
จึงสั่งเจ้าเงาไว้ตั้งนานแล้วว่าให้มันจับเป็นเอาไว้ในร่าง เก็บเอาไว้ศึกษาในภายหลัง
ตอนนี้ยืนยันทิศทางของตัวเอง สวี่ชิงเก็บแผ่นหยกลงไป เคลื่อนไปข้างหน้าต่อ
รายงานข่าวเกี่ยวกับแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราที่นายกองเคยให้เขาเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่ง การมาเยือนครั้งนี้ของสวี่ชิงก็ทุ่มเทกายใจและค่าตอบแทนลงไปจำนวนหนึ่ง ซื้อข้อมูลที่เกี่ยวกับเขตปกครองทรายดำมากมาย
ดังนั้นตำนานของที่นี่และทิศทางของเทือกเขาทนทุกข์ ในใจเขายิ่งชัดเจน
ท่ามกลางการเคลื่อนไปข้างหน้านี้ เวลาก็ผ่านไปอีกเจ็ดวัน จากการเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ ระหว่างทางสวี่ชิงได้เห็นของแปลกประหลาดบางอย่างในลมทรายสีดำนี้
นั่นคือเห็ดยักษ์สิบกว่าจั้ง
เห็ดเหล่านี้เหมือนห้องสูงใหญ่ ตั้งระหง่านในทะเลทราย มันมีสีสันสดใส มองจากที่ไกลๆ ทำให้คนเกิดใจมุ่งมั่นปรารถนาไปตามสัญชาตญาณ
สวี่ชิงไม่ได้เข้าไปใกล้ หลังจากสายตากวาดมองไปก็เลือกที่จะหลบหลีก
ความยุ่งยากที่ไม่จำเป็นประเภทนี้เขาไม่ยินดีที่จะไปสัมผัส และนอกจากเห็ดยักษ์แล้ว ในทะเลทรายยังมีเงามายาจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้นมา
นั่นเป็นเงาภาพมายาหญิงชายที่เกิดขึ้นจากลมทราย กำลังเดินไปข้างหน้าหัวเราะพูดคุยไปในฟ้าดิน
เสียงของพวกมันมีพลังดูดวิญญาณ ทุกที่ที่ผ่าน ทะเลทรายจะเกิดรอยเป็นทางยาว
เหมือนว่าใต้ทะเลทรายมีหนอนตัวยาวกำลังคลายไปตามพวกมัน
นอกจากนี้ยังมีเสามากมายที่ประเดี๋ยวๆ ก็ปรากฏในสายตาสวี่ชิง
เสาเหล่านี้แขวนกระดูกที่แห้งไปตามลม คล้ายว่ากำลังเตือนอะไร
สวี่ชิงจ้องเพ่งของพวกนี้ เคลื่อนไปข้างหน้าต่อ จวบจนหลายวันหลังจากนั้น เขาก็เห็นสัตว์ยักษ์แขวนกระดึงฝูงหนึ่งในทะเลทราย
ลักษณะของสัตว์ยักษ์เหล่านี้เหมือนแรด ทุกที่ที่เดินผ่านล้วนมีเสียงกระดึงดังลั่นไปทั่ว บนหลังพวกมันมีต่างเผ่าร่างผอมสูงจำนวนหนึ่งนั่งอยู่ ทั้งร่างคลุมเอาไว้อย่างมิดชิด เหลือไว้เพียงดวงตาสีขาวที่คอยจับตามองทุกอย่างรอบๆ
หลังจากเห็นสวี่ชิง สัตว์ยักษ์เหล่านั้นก็หยุดนิ่ง ต่างเผ่าในนั้นต่างสีหน้าระแวงระวัง
สวี่ชิงประสานหมัด เลือกที่จะถอยหลังหลบ และพวกเขาหลังจากที่ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้าให้สวี่ชิง ต่างฝ่ายต่างจากไป ต่างฝ่ายต่างไม่หาเรื่องกัน
เวลาก็หมุนผ่านไปเช่นนี้เอง ไม่นานนักก็ผ่านไปหนึ่งเดือน
เทือกเขาทนทุกข์เห็นอยู่ลิบๆ ข้างหน้า
ใต้ผืนฟ้าที่มืดมิด ฟ้าดินสลัวคลุมเครือไปทั้งหมด เทือกเขาทนทุกข์ก็เหมือนกิ้งก่ายักษ์บรรพกาลแผงหนามที่นอนอยู่กลางทะเลทรายตัวหนึ่ง ยอดเขาสูงต่ำเป็นระลอกสลับขึ้นลงแต่ละลูกๆ วางแนวจากตะวันตกไปตะวันออก เป็นพื้นที่เกินกว่าแปดพันลี้