ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 58 วันเกิดของคนคนหนึ่ง
บทที่ 58 วันเกิดของคนคนหนึ่ง
ตอนนี้ลมราตรีพัดมา น้ำทะเลกระเพื่อมกระทบรอบๆ เรืออูเผิงลำน้อยเบาๆ หยดน้ำสีเทาดำก็สาดกระเซ็น
และทำให้เรือน้อยลำนี้โคลงเคลงเบาๆ ส่งเสียงเอี๊ยดๆ ออกมา
สวี่ชิงหลอมลูกกลอนอย่างจริงจังในเรืออูเผิง
จากสมุนไพรแต่ละต้นที่เขาหยิบออกมา ไม่เด็ดใบ ก็คั้นน้ำ ไม่ก็ดึงเกสร ท่ามกลางการลงมืออย่างชำนิชำนาญ น้ำยาในถ้วยหินก็ค่อยๆ มากขึ้นเรื่อยๆ
ตรวจสอบอัตราส่วน หลังจากที่ปรับแก้อีกครู่หนึ่งแล้ว สวี่ชิงก็เริ่มใส่หญ้าเจ็ดใบลงไป จากการที่สวี่ชิงหยดน้ำจากหญ้ารวมวิญญาณลงไปในน้ำยาสีดำอย่างระมัดระวัง ราตรีก็มาเยือนเช่นนี้เอง
เสียงฉี่ๆ แสบแก้วหูเป็นระลอกๆ ดังออกมา ยิ่งไปกว่านั้นยังมีควันดำลอยขึ้น สวี่ชิงสะบัดชายเสื้อไล่ควัน น้ำยาในถ้วยหินกลายเป็นสภาพกึ่งแข็งสีขาวไปในทันที อีกทั้งข้างในยังมีแสงไหลวนกลุ่มหนึ่งฉายออกมารางๆ อีกด้วย
สำเร็จในครั้งเดียว
หลังจากที่ตรวจสอบอย่างละเอียด สวี่ชิงก็เอาน้ำยาพวกนี้ออกมา คลึงให้เป็นยาลูกกลอนทีละเม็ดๆ วางไว้ในที่มืดและแห้ง มองยาลูกกลอนพวกนี้ ในดวงตาเขาฉายแววพอใจออกมา
“ในที่สุดก็หลอมลูกกลอนขาวสำเร็จ!”
สวี่ชิงพึมพำ ในหัวมีภาพที่เรียนกับปรมาจารย์ไป่แต่ละฉากๆ ผุดออกมา ภาพที่ฐานที่มั่นคนเก็บกวาดก็สะท้อนขึ้นมาในใจเช่นกัน
ทุกอย่างนี้ทำให้จิตใจของเด็กหนุ่มค่อยๆ ไม่เป็นสุขนักในวันพิเศษวันนี้
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง สวี่ชิงก็ถอนหายใจ มองไปในความมืดมิดข้างนอกเรือ
มีเพียงจันทร์เพ็ญลอยเด่นกลางฟ้าที่สะท้อนอยู่บนผิวทะเล ระลอกคลื่นแสงระยิบระยับ
รอบๆ เงียบสงบ ลมทะเลพัดมา ความชื้นในนั้นแฝงมาด้วยความเย็นเยือกบางๆ ทำให้ผมของเขาพัดปลิว
“ปรมาจารย์ไป่คงกลับไปถึงผืนอินทนิลนานแล้ว
“กางเขนกับเขี้ยวหงส์ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง…
“แล้วยังมีที่หน้าหลุมศพของหัวหน้าเหลย จะมีหญ้าขึ้นหรือเปล่า…” สวี่ชิงพึมพำเสียงเบา
“ส่วนข้า ก็ยังหาดอกลิขิตฟ้าไม่เจอ”
ต่อให้ชินชากับความโดดเดี่ยว ต่อให้ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ได้ แต่จะอย่างไรสวี่ชิงก็เป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น เขานั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ความทรงจำย้อนกลับไปตอนที่อยู่ที่พักอาศัยในฐานที่มั่นคนเก็บกวาด กินเนื้องูกับชายชราที่คุ้นเคยคนหนึ่ง
ฟังเรื่องเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในฐานที่มั่นคนเก็บกวาดที่อีกฝ่ายเล่า มองอีกฝ่ายสูบบ้องยาสูบพลางดื่มเหล้าไปด้วย
ภาพจำชัดเจนมาก
เปลือกตาหลุบลงเบาๆ
“อาจารย์สอนหนังสือที่ถ้ำยาจกเคยบอกไว้ว่า ตอนที่คนคนหนึ่งเริ่มรำลึกถึงความทรงจำ หมายความว่าเขากำลังเติบโตขึ้น…” สวี่ชิงพึมพำ หยิบกาเหล้ากาหนึ่งออกมาจากถุงหนัง
นี่เป็นเหล้าที่เขาซื้อมาตอนที่เดินลาดตระเวน
ถือกาเหล้าเอาไว้พลางเงยหน้ามองจันทร์เพ็ญบนฟ้า นานกว่าจะค่อยๆ ยกมันขึ้นไปหาจันทร์กระจ่างดวงนี้ คารวะเบาๆ แล้วดื่มอึกหนึ่ง
มองไกลๆ เด็กหนุ่มบนเรือจอกหนึ่งคารวะดวงจันทร์ จอกหนึ่งดื่มเองเพียงลำพัง
เหล้าของเมืองหลักแรงกว่าที่ฐานที่มั่นคนเก็บกวาด ไหลเข้ามาในปากก็แสบร้อน รวมกันอยู่ในกระเพาะก็เหมือนไฟกองหนึ่งเผาไหม้ไปทั้งกาย ทำให้สวี่ชิงหายใจหอบถี่เล็กน้อย หลังจากนั้นจึงค่อยดื่มลงไปอีกอึก
“ขอให้หัวหน้าเหลย วิญญาณไปสู่สุคติ”
“ขอให้ปรมาจารย์ไป่ร่างกายแข็งแรง อายุยืนยาวร้อยปี”
“และอวยพรให้ตัวข้าเอง…สุขสันต์ในวันเกิด”
ระหว่างที่เขาพึมพำก็ดื่มลงไปอีกอึก
วันนี้เป็นวันพิเศษ เป็นวันเกิดของเขา
สวี่ชิงที่ดูจะประมาณอายุสิบหกสิบเจ็ด ความจริงแล้วตอนนี้เพิ่งอายุครบสิบห้าปีบริบูรณ์เท่านั้น แต่เทียบกับคนอายุเท่ากันที่เติบโตอย่างปลอดภัยแล้ว การประสบพบเจอของเขา ทำให้เขาจำต้องเป็นผู้ใหญ่
และวันนี้ก็เหมือนกับหลายๆ ปีที่ผ่านมา เขาอวยพรให้ตัวเองเงียบๆ เพียงลำพัง
เพียงแต่ปีนี้มีเหล้าเพิ่มขึ้นมา
ดังนั้นเมื่อดื่มเหล้าทั้งกาลงไปแล้ว สวี่ชิงก็คิดถึงพ่อแม่ญาติพี่น้องของตัวเอง
พวกเขาในความทรงจำ ต่อให้เขาพยายามนึกย้อนแต่ก็ยังรางเลือน ความรางเลือนนี้ทำให้สวี่ชิงทรมานนัก เขาไม่อยากให้มันรางเลือน แต่…บางเรื่องก็ไม่สามารถควบคุมได้
นานมาก นานมากๆ
“พวกท่าน ยังสบายดีหรือไม่” สวี่ชิงก้มหน้า พึมพำ
ลมทะเลพัดมา ผมของเขาสะบัดปลิว พัดมาที่หน้า พัดทุกอย่างให้กระจายไป ความเย็นยะเยือกรางๆ นั่น ก็ค่อยๆ ดึงสวี่ชิงให้กลับมาจากความทรงจำ ทำให้ดวงตาทั้งสองของเขาโหดเหี้ยมขึ้นอีกครั้ง สีหน้าบนใบหน้ากลับมาเย็นชาอีกครั้ง
“มีชีวิตต่อไป
“หากมีชีวิตดีขึ้นหน่อย หากยังมีโอกาสได้พบท่านพ่อท่านแม่อีกครั้ง…ก็ยิ่งดีขึ้นไปอีก
“ดังนั้นข้าต้องแข็งแกร่งขึ้น!” สวี่ชิงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น เด็กหนุ่มใต้แสงจันทร์เหมือนหมาป่าเดียวดาย จ้องมองไปที่ไกล
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็หมุนตัวกลับเข้าไปในเรือ นั่งขัดสมาธิ เริ่มฝึกบำเพ็ญ
เวลาไหลไป
หลังจากวันเกิด ชีวิตของสวี่ชิงก็กลับเข้ารูปเข้ารอย หลายวันหลังจากนั้น ทุกวันนอกจากลาดตระเวนแล้ว เขาก็หลอมยากับฝึกบำเพ็ญ
การฝึกบำเพ็ญคัมภีร์แปรสมุทร แม้จะมีการเพิ่มพลังจากหินวิญญาณ แต่การฝึกฝนก็จะค่อยๆ ช้าลง ตอนนี้ก็เพิ่งจะทะลวงขั้นที่หกมาถึงขั้นที่เจ็ด
ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากนี้ การฝึกบำเพ็ญก็จะยิ่งช้าขึ้น แต่นี่ก็เป็นแค่เป็นการเปรียบเทียบกับช่วงแรกของเขาเท่านั้น ความจริงแล้วเทียบกับคนอื่น ความเร็วในการฝึกบำเพ็ญของสวี่ชิงน่าตกใจมาก
ในขณะเดียวกัน หลังจากที่คัมภีร์แปรสมุทรถึงขั้นที่เจ็ดแล้ว สวี่ชิงก็สัมผัสถึงกำลังรบของตัวเองกับในอดีตแทบจะแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวได้อย่างชัดเจน เขาในตอนนี้มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่า เผชิญหน้ากับตัวเองที่ยังไม่ได้มาเมืองเจ็ดเนตรโลหิตตอนนั้นก็สามารถสังหารทิ้งได้ภายในสามสิบอึดใจเท่านั้น
แม้เทียบกับบรรพจารย์สำนักวัชระแล้วจะยังมีระยะห่างอยู่ แต่สวี่ชิงก็มีความมั่นใจว่าพอจะรับมือกับเขาซึ่งหน้าได้บ้าง
“รอข้าแข็งแกร่งขึ้นอีกนิด ก็จะไปฆ่าบรรพจารย์สำนักวัชระทิ้งเสีย” ไม่ฆ่าบรรพจารย์สำนักวัชระ ในใจของสวี่ชิงก็เหมือนมีหนามยอก ไม่อาจสงบสุขได้เสียที เขารู้สึกว่าแม้อีกฝ่ายจะมีกฎของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตเป็นอุปสรรค ไม่สามารถลงมือจัดการกับตนได้ด้วยตัวเอง แต่ยืมดาบสังหารคนก็ยากจะเลี่ยงได้ ดังนั้นตนจะต้องรีบยกระดับพลังบำเพ็ญ จัดการภัยคุกคามนี้เสีย
นอกจากนั้น สวี่ชิงยังศึกษาค้นคว้าเรือเวทอย่างกระจ่างถ่องแท้ วิเคราะห์เนื้อหาในแผ่นหยกได้ครบถ้วนสมบูรณ์ หลังจากที่จำได้จนขึ้นใจ การควบคุมเรือเวทของเขาก็อยู่ในระดับที่คล่องแคล่วเป็นอย่างมาก
สำหรับแนวทาง เขาก็ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวไม่ลังเล เลือกทำให้แข็งแกร่ง!
เขาจะเริ่มจากการยกระดับความแข็งแกร่งและการป้องกันของเรือเวท เหตุที่ทำเช่นนี้ ด้านหนึ่งเพราะการยกระดับความแข็งแกร่งและการป้องกัน เรือเวทจะเสียหายยาก และการที่ไม่เสียหาย ก็หมายความว่าไม่ต้องซ่อม ลดภาระค่าใช้จ่าย
อีกด้านหนึ่งคือ ที่นี่คือเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิตที่อันตรายซุ่มซ่อนอยู่ทุกที่ เรือเวทเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างปลอดภัยเพียงหนึ่งเดียวของสวี่ชิง เขาต้องฝึกฝน พักผ่อน และหลอมยาในที่แบบนี้
ดังนั้น สถานที่เช่นนี้จึงจำเป็นต้องมีระดับการป้องกันที่สูงมากเพียงพอ
ในขณะเดียวกัน หลายวันมานี้สวี่ชิงก็หลอมยาลูกกลอนได้ไม่น้อย ลูกกลอนขาวเป็นเช่นนี้ ลูกกลอนดำก็เป็นเช่นเดียวกัน
เขาทำตามวิธีที่เคยทำ ไม่ใช่แค่หลอมลูกกลอนดำเท่านั้น แต่ยังหลอมผงพิษที่เคยใช้เอาไว้มากมายอีกด้วย
และการหลอมยาทุกครั้งสวี่ชิงจะตั้งใจมาก ยา สมุนไพร เป็นทักษะการมีชีวิตรอดที่ตอนนั้นเขาจริงจังมากถึงจะเรียนสำเร็จ เขาเห็นค่าสิ่งที่ตัวเองเรียนมากๆ จำทุกอย่างสลักเอาไว้ในใจตั้งนานแล้ว
ส่วนสมุนไพรที่เหลือจากการหลอมยาทุกครั้ง เขาก็จะแบ่งแยกประเภทอย่างระมัดระวังเก็บไว้ในเรือ นี่ทำให้ชั้นเก็บยาเต็มทุกช่องในเรืออูเผิงของเขา มีสมุนไพรประเภทต่างๆ กองพะเนิน
เรื่องลูกกลอนพิษ ผงพิษในนั้น เมืองหลักมีหูมีตาเต็มไปหมด ไม่สะดวกที่เขาจะทดลองพัฒนา ดังนั้นสวี่ชิงจึงไม่ได้หลอมยาพิษใหม่ออกมา แต่สะสมวัตถุดิบเอาไว้แล้วไม่น้อย
เขาวางแผนจะหาโอกาสไปข้างนอก หาสถานที่ลับตาสักแห่งหลอมมันขึ้นมาดู
ส่วนงานของกรมปราบพิฆาต หลังจากที่สวี่ชิงไปมาติดๆ สามสี่วันก็ค่อยๆ คุ้นเคย หลายวันนี้ทั้งกรมปราบพิฆาตก็ยังคงหาที่กบดานของนกเขาราตรีเหมือนเดิม ทุกวันล้วนมีข่าวมหาศาลรายงานขึ้นมา
สวี่ชิงสัมผัสได้ว่า ทางกรมจะเผด็จศึกในอีกไม่นานแล้ว
แต่วันนี้ เดิมไม่ใช่วันที่เขาต้องเข้าเวรกลางคืน ทว่าเขากลับเป็นฝ่ายยื่นขอเปลี่ยนกับคนอื่น
หน้าที่ของกรมปราบพิฆาตนั้นรวมถึงการเดินลาดตระเวนตอนกลางคืนด้วย ล้วนมีรอบเวรเวียนมาถึงลูกศิษย์ทุกคน เพียงแต่ทุกครั้งที่เป็นเวรตอนกลางคืน ทุกคนจะระแวดระวังจนถึงขีดจำกัดสูงสุด
ดังนั้นในยามที่โลกค่อยๆ มืดลง สวี่ชิงก็จัดเสื้อผ้าเล็กน้อย ใส่ผงพิษไว้ในกระเป๋าใต้แขนเสื้อ แล้วพกกริชกับเหล็กแหลม เดินออกมาจากเรือเวท
ดวงอาทิตย์ยามเย็นลับฟ้าไปแล้ว ยามโพล้เพล้คล้อยเคลื่อนลับไป ท้องฟ้ามืดมิด โลกสูญเสียซึ่งแสงสว่าง หยดฝน ค่อยๆ โปรยปรายลงมาในเมืองหลักทีละเม็ด
เงาร่างของสวี่ชิงเดินไปในที่มืด ทั้งตัวคนเหมือนกลืนไปกับความมืดในสายฝน เคลื่อนไปของหน้าอย่างเร็วรี่
ตอนนี้ลมพัดมาปะทะมาที่ชุดคลุมยาวของสวี่ชิงส่งเสียงดังพึ่บพั่บมีความเย็นเยียบแฝงมาด้วย เมื่อสูดหายใจก็ทำให้คนรู้สึกเย็นสบาย
ทั้งยังขับไล่ความชื้นในเมืองไป แต่กลับกำจัดกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์บางอย่างในอากาศไปไม่ได้
รองเท้าสะอาดของเขาเหยียบไปบนแผ่นหินที่ฝนตกกระทบ ส่งเสียงแตะๆ ถี่กระชั้น ตามการเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว มองไกลๆ เหมือนทุกก้าวที่เขาก้าวออกไป หยดน้ำบนพื้นล้วนกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่นราวดอกไม้ เหมือนทุกก้าวย่างเกิดปทุม
ไม่นานนักฟ้าก็มืดสนิท ฝนตกหนักขึ้น เงาร่างของสวี่ชิงพุ่งผ่านทุกตรอกร้านค้าที่ปิดแล้วทุกร้านอย่างรวดเร็ว หลบหลีกสนามฆ่าล้างสังหารบางแห่ง จวบจนกลางดึก เขาก็มาถึงถนนทองผุด
มองไปยังโรงเตี๊ยมที่ยังเปิดอยู่ที่อยู่ไกลๆ ท่ามกลางสายฝน สวี่ชิงยืนรอคอยเงียบๆ อยู่ในมุมใต้หลังคาแห่งหนึ่ง
สายของเขาเมื่อหลายวันก่อนเคยพูดถึงคนร้ายคนหนึ่งชื่อว่าชิงอวิ๋นจื่อ
บนแผ่นหยกประกาศจับหมายเหตุเอาไว้ว่า คนคนนี้มีชาติกำเนิดและเป็นคนของสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่งของผืนอินทนิล ชื่อว่าสำนักเมฆคราม ระดับรวมปราณขั้นเก้า จิตใจอำมหิตลงมือเหี้ยมโหด ลุ่มหลงตัณหาประดุจชีวิต ดังนั้นเขาตอนอยู่ที่สำนักก็ได้ทรมานสังหารสหายหญิงร่วมสำนักไปหลายคน ตลอดทางที่ถูกไล่ฆ่าก็ยิ่งปล้นฆ่าข่มขืน ฆ่าล้างหมู่บ้านไปหลายหมู่บ้าน
แต่สวี่ชิงไม่ได้เลือกที่จะไปจับ เพราะไม่ได้มีความแค้นกับเขา
ในโลกาวินาศใบนี้ ทุกคนมีวิธีเอาชีวิตรอดของตัวเองทั้งนั้น สวี่ชิงไปสนใจอะไรมากไม่ได้
แต่อีกฝ่ายทำผิดไปเรื่องหนึ่ง
สายของสวี่ชิงเดิมควรจะปรากฏตัวกลางตลาดพลุกพล่านที่พวกเขาสองคนเจอกันเป็นครั้งที่สองเมื่อสองวันก่อน แต่จวบจนวันนี้ก็ยังไม่มาหาเขาเพื่อขอยาแก้พิษ
ดังนั้นตอนเช้าสวี่ชิงออกตามหา
แม้ลมจะแรง แต่กลับไม่อาจสลายกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของผงพิษบนเหรียญวิญญาณไปได้ ดังนั้นสวี่ชิงจึงหาที่ที่หญิงคนนั้นพักอาศัยอยู่ได้อย่างง่ายดาย และได้เห็นร่องรอยต่อสู้ข้างใน ตามรอยของผงพิษไป เขาก็หาโรงเตี๊ยมแห่งนี้เจอ
รออยู่ทั้งบ่าย เขาเห็นคนที่เปื้อนกลิ่นผงยาพิษเข้มข้นเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยม
ท่าทางของอีกฝ่ายเหมือนกับชิงอวิ๋นจื่อบนแผ่นหยกประกาศจับทุกประการ
ดังนั้นสวี่ชิงจึงเปลี่ยนเป็นเวรกลางคืนกับคนอื่นมาที่นี่รอเงียบๆ
สายของตัวเอง ตัวเองย่อมต้องสนใจอยู่แล้ว