ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 580-2 ผลจากการข่มขู่ชิงทรัพย์ (2)
บทที่ 580-2 ผลจากการข่มขู่ชิงทรัพย์ (2)
เขากรีดร้องพลางถอยหนีอย่างร้อนรน ในใจปั่นป่วนกลายเป็นคลื่นยักษ์ลูกมหึมากระหน่ำซัด ท่วมจิตใจของเขาจนจม
เขาไม่นึกไม่ฝันว่าออกมาข้างนอกครั้งหนึ่ง ตนจะมาพบกับสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวเช่นนี้
และทั้งๆ ที่อีกฝ่ายแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ก่อนหน้านี้กลับอ่อนน้อมถ่อมตนถึงเพียงนั้น สร้างความเข้าใจผิดให้กับตนเอง และสิ่งที่เกินไปก็คือการอำพรางพลังบำเพ็ญไว้ ทำให้เขารู้สึกสิ้นหวัง
ขณะที่กรีดร้อง อาวุธเวทที่เขาล้วงออกมามากมาย ก็กำลังแตกหักครืนครัน ส่วนผงพิษ…
สำหรับสวี่ชิงแล้ว ระดับการสร้างพิษของอีกฝ่ายต่ำเกินไป
การใช้งานและความเข้าใจเรื่องพิษของทั้งสองคน ราวกับศิษย์ที่เพิ่งเข้าสำนักไม่นานกับปรมาจารย์
สวี่ชิงไม่สนใจ ทั่วร่างโหมพายุครืนครันมา เขายกมือขวาขึ้นโดยไม่สนใจการหลบหลีกและการป้องกันของเขา ขณะที่ค่ายกลพังทลายอาวุธเวทแตกสลาย ก็คว้าไปที่คอของผู้บำเพ็ญตาเดียว
ผู้บำเพ็ญตาเดียวร้องคำราม ปราณก่อกำเนิดสามทัณฑ์ทั้งเจ็ดในร่างกายปะทุขึ้นมา เคลื่อนร่างกายย้ายไปด้านหลังในพริบตา จะหนีจากสวี่ชิง
แต่ตอนนี้เอง ร่างมารฟ้าจำนวนมหาศาลก็ปรากฏขึ้นกะทันหันในความว่างเปล่ารอบๆ กลายเป็นคลื่นวน บิดเบี้ยวมิติของที่นี่ ทำให้การเคลื่อนไหวในพริบตาของผู้บำเพ็ญตาเดียวถูกรบกวนจนช้าลงเล็กน้อย
ความเชื่องช้านี้ ก็คือความเป็นความตาย
ชั่วพริบตา ด้วยความเร็วขีดสุดของสวี่ชิง มือขวาของเขาคว้าคอผู้บำเพ็ญตาเดียวไว้ กดลงไปที่พื้นอย่างแรงโดยไม่หยุดชะงัก
เสียงครืนครันกึกก้อง หินภูเขาแตกกระจาย กลายเป็นหลุมขนาดใหญ่หลุมหนึ่ง
ร่างกายของผู้บำเพ็ญตาเดียวราวกับเป็นตุ๊กตาผ้า ถูกสวี่ชิงกดไว้ ไร้ซึ่งกำลังต่อต้าน ดวงตาฉายแววตื่นกลัวอย่างรุนแรง รีบเอ่ยขึ้นว่า
“ผู้อาวุโสโปรดระงับโทสะด้วย! ข้าผิดไปแล้ว! ข้ารู้สิ่งที่ผู้อาวุโสถามก่อนหน้านี้ ข้ารู้ ข้ารู้ทั้งหมด!”
สีหน้าสวี่ชิงเย็นชา เขาเป็นคนที่ไม่ระรานใครก่อนมาตลอด ตอนนี้ขณะที่ดวงตาเปล่งจิตสังหารวูบวาบ ผู้บำเพ็ญตาเดียวรู้สึกตกตะลึงจนแทบจะแตกสลาย เอ่ยอย่างรวดเร็ว
“ผู้อาวุโสท่านถามถึงตำหนักขบถจันทร์ใช่หรือไม่
สวี่ชิงมองผู้บำเพ็ญตาเดียวอย่างเย็นชา
ผู้บำเพ็ญใจสั่นสะท้าน อันที่จริงก่อนหน้านี้ตอนที่เห็นสวี่ชิงครั้งแรก ก็มองออกแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่มาจากด้านนอก และคนที่มาจากภายนอก ปกติส่วนใหญ่ก็มาเพื่อเข้าไปในตำหนักขบถจันทร์
แน่นอนว่ามีข้อยกเว้นอยู่บ้าง แต่ด้วยวิกฤตความเป็นความตายตอนนี้ เขาไม่สนอะไรอีกแล้ว พยายามอย่างเต็มที่ด้วยความหวังอันริบหรี่ บอกรหัสลับออกมา จากนั้นก็สังเกตสายตาสวี่ชิงอย่างรวดเร็ว แต่น่าเสียดาย มองอะไรไม่ออกมากนัก
แต่เขาสังเกตเห็นจุดหนึ่ง นั่นคืออีกฝ่ายยังไม่ได้เล่นงานตนเองจนตายทันที จึงรีบเอ่ยว่า
“ผู้อาวุโส ข้าคือคนจากตำหนักขบถจันทร์ พวกเราคนกันเองทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าท่านอยากเข้าไปในตำหนักขบถจันทร์หรือ ข้าช่วยได้นะขอรับ”
สายตาสวี่ชิงยังคงเย็นชา หากตำหนักขบถจันทร์มีแนวคิดเช่นนี้ เขาก็คงจะไม่อยากเข้าร่วมถึงเพียงนั้นแล้ว
“ขอแค่ผู้อาวุโสอยู่ในอาณาเขตเทือกเขาทนทุกข์ หยิบกระจกขึ้นมาชิ้นหนึ่ง กระจกอะไรก็ได้ ท่านแค่พูดรหัสลับของตำหนักขบถจันทร์กับกระจก ก็สามารถเริ่มการทดสอบของตำหนักขบถจันทร์ได้แล้ว
“และเมื่อผ่านการทดสอบ ไม่ว่าผู้อาวุโสจะอยู่ในแห่งหนใด ขอแค่มีกระจก ท่านก็สามารถเข้าไปในตำหนักขบถจันทร์ได้ในพริบตา!”
ผู้บำเพ็ญตาเดียวเอ่ยเสียงสั่น แต่หลังจากกล่าวจบเขาก็ตกตะลึง สัมผัสได้ว่าคำพูดของตนมีช่องโหว่ แต่ก็ทำได้แค่กัดฟันรอว่าสวี่ชิงจะไม่พบจุดนั้น
“หากเป็นเช่นนั้นจริง เมื่อครู่ทำไมเจ้าถึงไม่หลบหนี ไม่หยิบกระจกออกมาเล่า” สวี่ชิงเอ่ยราบเรียบ
ตาเดียวยิ้มขืน ยิ่งหวาดกลัวคนตรงหน้าขึ้นไปอีก นี่ก็คือช่องโหว่หนึ่งในคำพูดที่ร้อนรนของเขาเมื่อครู่นี้
“ผู้อาวุโส ข้า…ข้ายังอยู่ในช่วงทดสอบ ยังไม่ผ่านเลยขอรับ…”
พูดจบ เขาก็รู้ว่าจิตสังหารคนตรงหน้าไม่ได้ลดลงเลย ดังนั้นเพื่อรักษาชีวิต เขาจึงพูดออกมาอย่างร้อยรนว่า
“ผู้อาวุโส วิธีทั้งหมดที่ข้าบอกล้วนเป็นความจริงนะขอรับ ก่อนหน้านี้เป็นเพราะข้าตามืดบอด ข้าผิดไปแล้วผู้อาวุโส!”
ผู้บำเพ็ญตาเดียวก็เป็นคนโหดเหี้ยม ขณะที่ขอโทษ ร่างกายก็มีปราณก่อกำเนิดปราณหนึ่งลอยออกมาจากวิญญาณสวรรค์ของเขา สลายไปต่อหน้าต่อตาสวี่ชิง
“ข้าทำลายปราณก่อกำเนิดดวงหนึ่งเป็นการไถ่โทษผู้อาวุโสนะขอรับ!”
ผู้บำเพ็ญตาเดียวสั่นสะท้าน เลือดสดไหลออกมาจากมุมปาก กลิ่นอายเบาบางลงไม่น้อย
สวี่ชิงขมวดคิ้ว เขารู้สึกเสียดาย เอ่ยเสียงเย็นชาว่า
“ในเมื่อวิธีการง่ายๆ เช่นนี้ก็สามารถติดต่อกับตำหนักขบถจันทร์ได้ แล้วทำไมตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดจึงไม่ผนึกที่นี่เล่า”
ผู้บำเพ็ญตาเดียวตกตะลึง เรื่องนี้ถือเป็นความรู้ทั่วไป แต่อีกฝ่ายกลับไม่รู้ ทว่าเขาเองก็ไม่กล้าคิดมากนัก รีบร้อนตอบมาว่า
“ผู้อาวุโส ทางเข้าตำหนักขบถจันทร์ ทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่บูชาจันทรามีทั้งหมดเก้าแห่ง ที่นี่เป็นแค่หนึ่งในนั้น และแต่ก่อนตำหนักพระจันทร์สีชาดก็เคยผนึกที่อื่นไปแล้ว เพียงแต่ผนึก ทางเข้าก็จะหายไปปรากฏที่อื่นแทน
“ทางเข้าตำหนักขบถจันทร์เป็นแบบสุ่ม จึงป้องกันไม่ได้ สู้ปล่อยให้มันมั่นคงจะจับตาดูได้ง่ายกว่า”
ขณะที่ผู้บำเพ็ญตาเดียวพูดก็มองสวี่ชิงอย่างระมัดระวัง สีหน้าเจือแววประจบเอาใจ ตอนนี้สมองเอาแต่คิดว่าจะเอาตัวรอดอย่างไรเต็มไปหมด ดังนั้นหลังจากที่สัมผัสได้ว่าจิตสังหารสวี่ชิงยังคงอยู่ เขาจึงกัดฟันกรอด ปล่อยปราณก่อกำเนิดออกมา
ระเบิดต่อหน้าต่อตาสวี่ชิงอีกครั้ง
“ผู้อาวุโส…ข้าทำลายให้อีกปราณ เพื่อเป็นการขอโทษท่าน…ข้าผิดไปแล้วจริงๆ”
ผู้บำเพ็ญตาเดียวกรีดร้องโอดครวญในใจ ใบหน้าขาวซีด การทำลายปราณก่อกำเนิดต่อเนื่องสองปราณสำหรับเขาพอๆ กับการได้รับบาดเจ็บสาหัส กลิ่นอายเบาบางลงถึงขีดสุด เริ่มหายใจรวยริน แต่เห็นได้ชัดว่ายังพยายามแสดงความจริงใจของตนออกมา
ทำให้หลิงเอ๋อร์ที่เห็นภาพนี้ก็ใจอ่อนยวบ เอ่ยกับสวี่ชิงเสียงเบา
“พี่สวี่ชิง คนผู้นี้ก็ค่อนข้างน่าสงสารนะเจ้าคะ เช่นนั้นท่านนำปราณก่อกำเนิดของเขาออกมาอีกสองสามปราณดีหรือไม่ ดูว่าเขาเสแสร้งหรือเปล่า หากไม่ใช่ ก็ให้เขาตายอย่างสงบเถอะ”
เมื่อสวี่ชิงได้ยินก็เห็นด้วย สำหรับคนที่ลงมือกับตน เว้นเสียแต่เขาจะทำไม่ได้ เช่นนั้นเขาก็ไม่ได้มีนิสัยปล่อยให้รอด
ไม่รอให้ผู้บำเพ็ญตาเดียวพูดต่อ เขาก็ยกมือขึ้นแล้วพลันแปลงเป็นสภาวะพรางมารยา ทะลวงเข้าไปในร่างกายคนผู้นี้ ควักปราณก่อกำเนิดห้าปราณที่เหลือของเขาออกมาบดขยี้ทันที
ขณะที่ครืนครัน ปราณก่อกำเนิดห้าปราณแหลกสลาย อายุขัยสวรรค์ผสานเข้าไปในร่างกายสวี่ชิง ปริมาณน้อยมาก ทว่าเมื่อกลายเป็นร่างมารฟ้า กลับมีปราณพิฆาตเข้มข้นกว่าแต่ก่อน
เสียงกรีดร้องที่ผู้บำเพ็ญตาเดียวคนนั้นเปล่งออกมา หลังจากสูญเสียปราณก่อกำเนิดทั้งหมดไป ทั่วร่างเขาก็ผ่อนลมหายใจออกมาได้อย่างเดียวแต่สูดรับไม่ได้แล้ว
เห็นเป็นเช่นนี้ สวี่ชิงยืนยันยืนยันความจริงใจของเขาได้ จึงจัดการให้เขาจากไปอย่างสงบ
หนึ่งดาบปาดลำคอ
โบกมือทำลายกายเนื้อของเขาจนกลายเป็นฝุ่นผง
อีกฝ่ายดูเหมือนเผ่ามนุษย์ แต่ตอนที่สวี่ชิงลงมือก็สังเกตเห็นว่า คนผู้นี้คือต่างเผ่า แต่ความจริงไม่ว่าจะเผ่าอะไร ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องว่าจะเป็นหรือตาย
หากสวี่ชิงพลังบำเพ็ญอ่อนด้อย เช่นนั้นคนที่ต้องกรีดร้องในตอนนี้ก็คือเขา หลิงเอ๋อร์ก็จะถูกแย่งไป สถานการณ์หลังจากนั้นคงจะยิ่งน่าเวทนา
เมื่อจัดการเสร็จ สวี่ชิงก็หยิบถุงเก็บของขึ้นมา ลุกขึ้นไหววูบ ออกจากที่นี่
ขณะเดียวกัน ในถ้ำหินพำนักแห่งหนึ่งที่ห่างจากจุดที่ทั้งสองคนต่อสู้กันหลายร้อยลี้ มีชายชราคนหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น
เสื้อผ้าของชายชราคนนี้ปกคลุมทั้งร่างกาย แต่ใบหน้าที่เผยออกมาเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น
ตอนนี้เขาลืมตาขึ้นมาพลันกระอักเลือดออกมาคำโต ขณะที่โซซัดโซเซก็จับก้อนหินข้างกายเอาไว้ประคองตัว ระหว่างที่หน้าอกปั่นป่วนก็กระอักเลือดออกมาอีกครั้งอย่างอดไม่อยู่
หลังจากกระอักออกมาเจ็ดแปดครั้ง ร่างกายของเขาก็สั่นเทา ดวงตาฉายแววหวาดกลัวรุนแรงถึงขีดสุดออกมา หันหน้ามองออกไปไกลๆ อย่างรวดเร็ว
“ถือว่าพ้นเคราะห์แล้ว แต่สิ่งที่ต้องแลกก็มหาศาลเหลือเกิน…ร่างบังคับนั่นของข้า…”
ชายชราขมขื่น เขาในฐานะเผ่าฉุดดึง มีพลังพรสวรรค์ สามารถนำศัตรูที่สังหารจนตายหลอมเป็นศพแห้ง แล้วใส่เลือดเนื้อตนเองเข้าไป จากนั้นก็หลอมให้กลายเป็นร่างฉุดดึงที่มีพิเศษเฉพาะเผ่าของพวกเขาร่างหนึ่งได้
ร่างฉุดดึงนี้คล้ายๆ กับร่างแยก แต่คล่องแคล่วกว่ามาก ทั้งยังจับพิรุธได้ยาก
ปกติที่เขาใช้วิธีการนี้ ก็ได้รับผลประโยชน์มาไม่น้อย
นี่ก็เป็นสิ่งที่เขาพึ่งพา ในอดีตยามเจอกับผู้แข็งแกร่งก็มักจะเอาตัวรอดเช่นนี้ แต่การพลีชีพร่างฉุดดึงในครั้งนี้ เป็นการสละครั้งสำคัญของเขา เชื่อมโยงกับจิตใจ การตายของร่างฉุดดึงทำให้เขาบาดเจ็บอย่างมาก
ตอนนี้อวัยวะภายในทั้งหมดแหลกเละป่นปี้ อาการสาหัสยิ่ง
นอกจากนี้ เขารู้สึกว่าคนที่เจอวันนี้แตกต่างกับผู้แข็งแกร่งที่เคยเจอมาในอดีต รู้สึกหวาดหวั่นรุนแรงอย่างยิ่ง
ชายชราใจสั่นสะท้าน กัดฟันไหววูบ ฝืนความเจ็บปวดทะยานออกไป ไม่กล้าหยุดลงแม้แต่น้อย หลบหนีไปให้ไกล ยิ่งใช้วิธีอำพรางต่างๆ นานา
หลังจากที่เขาหนีมาหนึ่งชั่วยาม ด้านนอกถ้ำแห่งนี้ ร่างของสวี่ชิงก็มาถึงในพริบตา เจ้าเงาเข้าไปสำรวจก่อน หลังจากตรวจสอบแล้ว สวี่ชิงก็เดินเข้าไป จ้องเลือดบนพื้นเขม็ง แค่นเสียงเย็นชาออกมา
ก่อนหน้านี้หลังจากที่เขาสังหารแล้วจากไป ก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล อายุขัยสวรรค์น้อยในปราณก่อกำเนิดของอีกฝ่ายน้อยเกินไป กลายเป็นร่างมารฟ้าปราณพิฆาตก็เข้มข้นเกิน
สิ่งนี้ทำให้เขานึกถึงเรื่องที่อีกฝ่ายใช้อาวุธเวทมากมายรวมถึงวิธีการที่ทำให้คนกลายเป็นศพแห้งและผนึกปราณก่อกำเนิดไว้ สวี่ชิงจึงสงสัยว่าร่างที่ตนเองสังหารไป น่าจะไม่ใช่ร่างจริง
ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เผ่าเดียวกัน พรสวรรค์และความแปลกประหลาดก็เช่นนี้ ไม่ว่าจะเรื่องใดก็เกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น สวี่ชิงจึงแผ่สัมผัสรับรู้ตลอดทาง ใช้ร่างมารฟ้าที่แปรมาจากปราณก่อกำเนิดของอีกฝ่าย ถึงค้นหาที่นี่จนพบ
‘หนีไวเสียเหลือเกิน’
สวี่ชิงเดินออกมาจากถ้ำ กวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างเย็นชา เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายอำพรางร่องรอยหลายครั้ง โดยเฉพาะตอนที่สายลมสีดำพัดหวิวทำให้ทุกอย่างเลือนรางไปหมด ร่างมารฟ้าก็สัมผัสไม่ได้อีก
‘นับว่าเขาโชคดีไป ครั้งหน้าต้องสังหารให้สิ้น’ สวี่ชิงหันหลัง ทะยานไปไกล หลังจากออกมาเขาก็หาภูเขาที่ห่างไกลแห่งหนึ่ง เมื่อเห็นว่ารอบๆ ไม่มีอุปสรรค สายตาจึงฉายแววครุ่นคิดออกมา
เขากำลังพิจารณาว่าคำพูดของอีกฝ่ายเป็นความจริงมากน้อยเพียงใด มองจากเบาะแส ตอนนั้นอีกฝ่ายเลือกรักษาชีวิตรวมถึงไม่ยอมให้ตัวตนแท้จริงถูกเปิดเผยเป็นปัจจัยแรก
ปกติด้วยสถานการณ์เช่นนี้ จะเลือกพูดความจริง แล้วปิดบังความลับไว้ หากเป็นเรื่องโกหก เมื่อถูกสงสัย ก็จะทำให้ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นน่าสงสัยไปหมด
‘จึงเป็นไปได้มากว่าจะเป็นความจริง ลองทดสอบดูได้!’
ดวงตาสวี่ชิงฉายแววไม่ลังเล หยิบกระจกออกมาบานหนึ่ง
หลังจากสังหารเผ่าเงาคันฉ่องไป เขาก็เก็บกระจกของผู้บำเพ็ญที่สังหารไปบางส่วนไว้กับตัว เดิมเตรียมจะเอาไว้ศึกษ ตอนนี้หยิบออกมาชิ้นหนึ่ง ทำตามวิธีการที่ผู้บำเพ็ญตาเดียวกล่าวไว้ เริ่มทดลอง
“จันทร์สีชาดหาใช่สิ่งนิจนิรันดร์ ความหวังนั้นคงอยู่ตลอดกาล!”