ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 581 ต้นแบบร้านยาที่ยอดเยี่ยมสุดในอนาคตของเซ่นจันทรา (1)
บทที่ 581 ต้นแบบร้านยาที่ยอดเยี่ยมสุดในอนาคตของเซ่นจันทรา (1)
บนทะเลทรายผมคราม สายลมหอบม้วนหวีดหวิวในผืนพสุธา ทรายสีดำปกคลุมประหนึ่งมหาสมุทร ทุกอย่างนี้ราวกับคงอยู่ตลอดกาล ฟ้าดินไม่หยุดนิ่ง ลมทรายไม่สลายไป
มีเพียงด้านบนตัวภูเขาที่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ลมทรายถึงได้บางเบามาก จึงทำให้เห็นรอบด้านได้ค่อนข้างชัด
มองไกลๆ ยอดเขาที่ตั้งตระหง่านอยู่ในทะเลทรายผมคราม ราวกับเป็นดินแดนนอกพิภพแห่งแล้วแห่งเล่า
โดยเฉพาะเทือกเขาทนทุกข์ที่ทอดยาวอย่างไม่รู้สิ้นสุด ลมทรายที่นี่จึงเบาบางยิ่ง
แต่เสียงอื้ออึงที่มาจากสายลมยังดังมาจากรอบด้านอย่างต่อเนื่อง ราวกับมีปีศาจสัตว์ประหลาดนับไม่ถ้วนซ่อนตัวอยู่ในลมทราย ส่งเสียงคำรามไม่ยอมถูกฝังในที่แห่งนี้ให้โลกภายนอกได้รับรู้ และดังเข้ามาในหูของสวี่ชิงเช่นกัน
ภูเขาห่างไกลที่สวี่ชิงเลือกอยู่ในส่วนลึกของเทือกเขาทนทุกข์ ตำแหน่งค่อนข้างเร้นลับ และตอนที่เขาใช้กระจก เจ้าเงาก็แผ่ขยายมาป้องกันรอบๆ กายเขา
ความหลักแหลมนี้ ทำให้บรรพจารย์สำนักวัชระที่เห็นรู้สึกหวาดระแวงอย่างรุนแรง จึงลอยตามออกมา คุ้มกันข้างๆ ทำท่าปกป้องเจ้านายอย่างภักดี
ราวกับว่าขอแค่มีอะไรผิดปกติเพียงเล็กน้อย มันก็จะพุ่งออกไปอย่างไม่ลังเล ต่อให้ตนเองต้องร่างสลายเป็นผุยผง ก็จะพิสูจน์ความภักดีของตนให้ได้
หลิงเอ๋อร์ก็โผล่ศีรษะออกมาเช่นกัน ดวงตาเปล่งแสงสีขาว ระมัดระวังรอบด้าน
ด้วยการคุ้มครองของพวกเขา สวี่ชิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่สีหน้าก็ค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้น เขาสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่แฝงเจตจำนงเอาไว้แผ่ซ่านออกมาจากในกระจก เป็นความรู้สึกที่เหมือนกับเงยหน้ามองท้องฟ้าดารา
ยิ่งใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด
ติงหนึ่งสามสองในประสาทสัมผัสเทพก็สั่นสะเทือน นิ้วเทพเจ้าลืมตาขึ้นทันที ดวงตาฉายแววสับสนประหลาดใจ จากนั้นก็พรางกายอย่างรวดเร็ว
และเศษกระจกชิ้นนี้ก็รวมพลังในพริบตานี้ ลอยขึ้นมาอยู่เบื้องหน้าเขาเอง เปล่งแสงวูบวาบเล็กน้อย
ขณะเดียวกัน เสียงที่คล้ายจะดังมาจากความว่างเปล่าอันไกลโพ้นก็เรียบเรียงเป็นคำพูดตามการสะท้อนก้องของเจตจำนงนี้ แทนที่เสียงหวีดหวิวของสายลม กึกก้องในทะเลความรู้สึกของสวี่ชิง
“ไท่ซ่างผู้อยู่ทุกหนแห่ง รับการเปลี่ยนแปลงไม่รู้จบ ตรวจสอบสยบสิ่งชั่วร้าย ปกป้องกายคุ้มครองชีวา”
“สติปัญญาแจ่มใส แก่นแท้สงบร่มเย็น สามวิญญาณคงอยู่ตลอดกาล จิตวิญญาณมิวางวาย”
เสียงนี้ให้รู้สึกคล้ายล่องลอยไร้ซึ่งตัวตน แยกไม่ออกว่าชายหรือหญิง ราวกับเกิดขึ้นจากคำพูดแห่งสรรพชีวิตรวมกัน แต่ตอนที่ระลอกคลื่นในใจสวี่ชิงกระเพื่อมขึ้นลง กลับทำให้เขาสงบร่มเย็น
ราวกับว่าในคำกล่าวนี้ แฝงพลังชำระล้างจิตใจเอาไว้
ชั่วขณะนี้สวี่ชิงรู้สึกสงบลงอย่างยิ่ง เงียบสงบว่างเปล่า ทะเลความรู้สึกสงบนิ่ง
ราวกับผ่านไปนานแสนนาน และราวกับเพียงพริบตาเดียว เสียงเลื่อนลอยนั่นยังสะท้อนก้องไม่หยุด ทั้งๆ ที่ดังมายังคงเป็นคำกล่าวนี้ แต่ในสัมผัสรับรู้ของสวี่ชิง กลับความหมายเป็นอื่นไปเสียแล้ว
เพราะสองคำในนี้ เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
“…ตรวจสอบ…แก่น…”
สวี่ชิงไม่วู่วาม สัมผัสอย่างละเอียดอีกครั้ง
ลางสังหรณ์เขาค่อยๆ ชัดเจนขึ้น เข้าใจว่าขอแค่ตนเองจดจ่อกับสองคำนี้ เช่นนั่นก็จะเริ่มการทดสอบที่ไม่รู้จักนี้ได้
สวี่ชิงครุ่นคิด ไม่ทำอะไรต่อ
ด้านหนึ่งคือสภาพแวดล้อมที่นี่ไม่เหมาะที่จะดำเนินการทันที อีกด้านคือสวี่ชิงยังไม่ค่อยเข้าใจรายละเอียดการทดสอบนี้ทั้งหมด
ดังนั้นเขาจึงยกมือขึ้นคว้ากระจกตรงหน้า ตัดขาดการเชื่อมต่อ
พริบตาต่อมา ความรู้สึกสงบก็หายไป สวี่ชิงเงยหน้าขึ้น เสียงลมอื้ออึงจากนอกเทือกเขา ดังเข้ามาในหูอีกครั้ง
หลิงเอ๋อร์รีบหันหน้ามามองสวี่ชิง
“พี่สวี่ชิง เป็นอย่างไรบ้าง สำเร็จหรือไม่เจ้าคะ”
สวี่ชิงยกมือลูบหัวหลิงเอ๋อร์เบาๆ ดวงตาฉายแววครุ่นคิด จากนั้นก็เอ่ยราบเรียบ
“วิธีการน่าจะถูกแล้ว แต่ยังต้องใช้เวลาพิสูจน์อีกเล็กน้อย”
หลิงเอ๋อร์วางใจ เมื่อสังเกตเห็นว่าสวี่ชิงกำลังใครครวญจึงไม่รบกวน กลับเข้าไปอยู่ในคอเสื้อของสวี่ชิงอย่างเชื่อฟัง หาพื้นที่เหมาะๆ ขดตัวเป็นก้อน ได้สัมผัสกับอุณหภูมิร่างกายของสวี่ชิง ใจของนางก็สงบลงอย่างมาก
ราวกับว่าสำหรับนางแล้ว อุณหภูมิของสวี่ชิง คือที่มาของความสงบสุขทั้งหมด
ครู่ต่อมา ดวงตาสวี่ชิงฉายแววแน่วแน่ เขาเตรียมจะหาที่พักอาศัยในเทือกเขาทนทุกข์นี้ สืบค้นการทดสอบของกระจกพลางศึกษเรื่องคำสาปไปด้วย
หากลำพังแค่ตนคนเดียว เขาคงจะเลือกเปิดถ้ำแล้วเข้าพัก ตัดขาดจากโลกภายนอก
แต่หากมีหลิงเอ๋อร์อยู่ด้วย…สวี่ชิงคิดๆ ก็ตัดสินใจจะไปหาเมืองที่อยู่ใกล้ๆ นี้แล้วพักดีกว่า เขาไม่อยากให้หลิงเอ๋อร์ต้องมาเจอกับความโดดเดี่ยวจากการตัดขาดจากโลกระหว่างที่อยู่กับตน
ด้วยความคิดนี้ สวี่ชิงจึงออกจากภูเขา ตรงไปด้านในเทือกเขาทนทุกข์ สุดท้ายเขาก็เลือกเมืองดินที่ค่อนข้างเล็กรอบนอกบนเขาแห่งหนึ่ง
เมืองดินที่สร้างบนไหล่เขานี้ไม่มีชื่อ มีประชากรอยู่เพียงหลักพัน สิ่งปลูกสร้างในนี้ส่วนใหญ่สร้างมาจากดินทราย มองรวมๆ ไม่ค่อยมีสีสัน จืดชืดอย่างยิ่ง
ที่นี่มีคนในพื้นที่อาศัยเป็นหลัก ที่เหลือจะเป็นคนภายนอกที่มาด้วยเหตุผลต่างๆ หลายเผ่าพันธุ์
แม้ในเมืองจะมีร้านค้าบ้าง แต่ก็ทำมาค้าขายปกติ ลูกค้าค่อนข้างน้อย
มองไปมีบ้านเรือนราวสามส่วนที่ว่างเปล่า ไม่มีคนพักอาศัย
เห็นได้ชัดว่าคนในนั้นอาจจะจากไป หรืออาจจะตายไปแล้ว
ความเปล่าเปลี่ยวและความเงียบเหงา เป็นความรู้สึกแรกที่สวี่ชิงสัมผัสได้จากเมืองนี้
แต่เมื่อเทียบกับที่อื่น ความใจกว้างของเมืองเล็กๆ เมืองนี้มากกว่าเล็กน้อย แม้การมาถึงของสวี่ชิงจะเกิดความสนใจที่เป็นจิตปฏิปักษ์มากมาย แต่ก็ไม่มีใครเข้ามาขัดขวาง
สวี่ชิงที่เดินอยู่ในเมืองเล็กๆ ตอนนี้ ห่อหุ้มร่างกายในชุดคลุมเปิดเผยเพียงดวงตา สังเกตเห็นว่าในกลุ่มคนที่พักอาศัยในเมืองนี้ มีบางคนที่รูปร่างพิกลพิการ
ร่างกายของคนเหล่านี้ใหญ่โตอวบอ้วน เนื้อไขมันพอกเป็นชั้นๆ ไม่ว่าจะมือหรือว่าขาก็เป็นเช่นเดียวกัน ยังมีคนที่มีหลายแขน กระทั่งมีใบหน้าโผล่ออกมาจากชั้นไขมันในร่างกายบางส่วนด้วย
กระทั่งมีบางส่วนติดอยู่ใต้เท้า แผ่ขยายออกไปยาวกว่าครึ่งจั้ง เสื้อผ้าก็ปิดไม่มิด
คล้ายกับเป็นคนหลายคนรวมกันอยู่ในร่างเดียว หรือร่างกายอาจจะเกิดการกลายพันธุ์ และส่วนใหญ่สีหน้าด้านชา
แรกเริ่มเดิมทีสวี่ชิงคิดว่าเป็นต่างเผ่าที่ตนไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เมื่อมองนานๆ เขาก็พบว่ามันไม่ใช่เช่นนั้น
‘ความพิกลพิการของคนเหล่านี้ น่าจะเกิดขึ้นในภายหลัง’
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด รู้สึกทะเลทรายผมครามแปลกประหลาดมากขึ้นเป็นเท่าทวี สุดท้ายเขาจึงเดินวนรอบเมือง หาบ้านที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ได้หลังหนึ่งแล้วเดินเข้าไป
ในบ้านเต็มไปด้วยฝุ่น บนพื้นมีเศษขวดแตกอยู่มากมาย รอบๆ มีชั้นวางล้มระเกะระกะ ท่าทางน่าจะเคยเป็นร้านขายยามาก่อน
มองสิ่งเหล่านี้ สวี่ชิงโบกมือจัดระเบียบ ส่วนหลิงเอ๋อร์ก็จำแลงกาย มองไปรอบๆ อย่างสงสัยใคร่รู้ ช่วยจัดของพลางส่งเสียงตื่นเต้นออกมา
“พี่สวี่ชิง ท่านจะเปิดร้านขายยาที่นี่หรือไม่เจ้าคะ”
สวี่ชิงได้ยินก็คิด พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เขาคิดถึงครั้งแรกที่เจอกับหลิงเอ๋อร์ อีกฝ่ายอยู่ที่ในโรงเตี๊ยมที่เปิดบนถนนทองผุดกับบิดาของนาง
สำหรับสวี่ชิง จะพักอาศัยก็ดี จะเปิดร้านขายยาก็ได้ ล้วนไม่ส่งผลกระทบอะไรทั้งสิ้น ในเมืองหลิงเอ๋อร์เสนอความคิดนี้ขึ้นมา เช่นนั้นลองเปิดดูสักหน่อยก็น่าจะดี
“ยอดไปเลยเจ้าค่ะ พี่สวี่ชิงข้าจะบอกท่านว่าข้ามีประสบการณ์เปิดร้านขายยาด้วย ข้าทำเป็น”
หลิงเอ๋อร์กระโดดโลกเต้น ดวงตาเป็นประกายแวววาว หลังจากจัดการฝุ่นกับเศษขยะรอบๆ แล้ว นางก็หยิบผ้าขี้ริ้วผืนหนึ่งมาแล้วเริ่มขัดถู
ทั้งๆ ที่มีวิชาเวทที่ใช้จัดการได้ แต่หลิงเอ๋อร์คล้ายจะชอบลงมือด้วยตนเอง เมื่อสวี่ชิงเห็นเช่นนี้ สัมผัสได้ถึงความสุขของหลิงเอ๋อร์ ก็รู้สึกทอดถอนใจ
ตลอดการเดินทางนี้ สวี่ชิงสัมผัสความใสซื่อบริสุทธ์ของหลิงเอ๋อร์ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น นางฉลาดเฉลียว แต่ก็เรียบง่ายมากเช่นกัน เรื่องเล็กๆ มักจะทำให้นางร่าเริงได้ถึงสองสามวัน
ภายใต้การควบคุมดูแลของหลิงเอ๋อร์ ช่วงเช้าตรู่ของวันถัดมา ร้านยาที่ถูกทิ้งร้างมานานร้านนี้ ก็เปิดให้บริการในเมืองเล็กๆ อีกครั้งเช่นนี้
ชื่อร้านหลิงเอ๋อร์ก็ตั้งให้ ชื่อว่าโถงวิญญาณทมิฬ
ส่วนเรื่องยาลูกกลอน สวี่ชิงมีอยู่ติดตัวมากมาย โดยเฉพาะยาลูกกลอนขาวเป็นหลัก
ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นตำรับยาตำรับแรกที่เขาเชี่ยวชาญ แม้เขาจะไม่ต้องการ แต่สำหรับผู้ที่อยู่ในโลกใบนี้ ยาลูกกลอนชนิดนี้ถือเป็นสิ่งที่ต้องมีพร้อมตลอดเวลา
โดยเฉพาะยามอยู่ที่เขตปกครองผนึกสมุทร สวี่ชิงค้นคว้ายาลูกกลอนของไป๋เซียวจัว ก็ได้อะไรมามากมาย
แม้ว่าลูกกลอนขาวที่ไป๋เซียวจัวดัดแปลงจะเพิ่มพิษเข้าไป แต่หากกล่าวถึงสรรพคุณและคุณภาพของยาลูกกลอนขาวแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องที่มอบความผาสุก ระดับการชำระล้างสูงขึ้น
สวี่ชิงจึงเปิดร้านขายยาเล็กๆ นี้กับหลิงเอ๋อร์ ยาที่ขายเป็นหลัก ก็คือลูกกลอนขาว
หลังจากหลิงเอ๋อร์จำแลงกายก็อำพรางหน้าตา กลายเป็นผู้หญิงหน้าตาอัปลักษณ์ผู้หนึ่ง ทำงานเป็นเสี่ยวเอ้อร์อย่างตื่นเต้น เพียงแต่ในเมืองเล็กๆ นี้มีคนอยู่ไม่มาก ร้านที่เพิ่งเปิดใหม่ จึงมีลูกค้าไม่มากเท่าไร
แต่นี่ก็ไม่กระทบกับความร่าเริงของหลิงเอ๋อร์
สวี่ชิงเห็นหลิงเอ๋อร์คาดหวังเพียงนี้ ก็ยอมให้นางออกไปเที่ยวเล่น หลังจากที่เขาปลูกเมล็ดที่นายกองให้มาแล้ว ก็เริ่มฝึกบำเพ็ญและศึกษาค้นคว้าด้านหลังร้านขายยา
ด้านหนึ่งคือเริ่มทดลองเปิดใช้กระจก จับสังเกตอย่างละเอียด อีกด้านหนึ่งก็คือศึกษาคำสาปในร่างกายอสูรร้ายที่จับมาตลอดทางนี้
เวลาก็ค่อยๆ ไหลผ่านไปเช่นนี้
ร้านยาของพวกเขาจากตอนแรกที่ไม่มีคนเข้ามาสอบถาม เปลี่ยนเป็นมีลูกค้าสองสามคนมาซื้อยาลูกกลอนขาวบางครั้ง หลักๆ แล้วเป็นเพราะราคาต่ำ บวกกับประสิทธิภาพไม่เลว
และการเปิดร้านยานี้ ทำให้หลิงเอ๋อร์พละกำลังเต็มเปี่ยม ราวกับเป็นคนเห็นแก่เงินตัวน้อยที่วันๆ เอาแต่จะนับเหรียญวิญญาณที่เป็นรายรับ กระทั่งหยิบบันทึกเล่มหนึ่งออกมาทำบัญชีด้วย
บางครั้งสวี่ชิงที่ฝึกบำเพ็ญเสร็จ เห็นหลิงเอ๋อร์ที่กำลังทำบัญชี ก็รู้สึกสงบขึ้นมา
นับตั้งแต่เรื่องในเมืองหิ่งห้อยที่ทะเลเพลิงสวรรค์ สวี่ชิงก็รู้สึกว่าตนเองคุ้นเคยกับชีวิตที่สงบสุขเช่นนี้ขึ้นเรื่อยๆ และความรู้สึกสงบเช่นนี้ ก็ทำให้เขาเกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจขึ้นเลาๆ
สวี่ชิงบอกอย่างละเอียดไม่ได้ว่าเปลี่ยนแปลงไปตรงจุดไหน แต่เขาก็เพลิดเพลินและดื่มด่ำกับมันมาก
เขาจึงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการสำรวจและค้นคว้า
การศึกษากระจกราบรื่นดีมาก แต่การศึกษาคำสาปกลับไม่ค่อยคืบหน้านัก
ช่วงนี้สวี่ชิงนำพลังพระจันทร์สีม่วงของตนผสานเข้าไปในร่างกายอสูรร้ายพวกนั้นหลายครั้ง ลองสะกดคำสาป แต่ผลลัพธ์กลับย่ำแย่ ล้มเหลวทั้งหมด
เช่นเดียวกับตอนนี้ สวี่ชิงจ้องมองแมงป่องที่ตัวสั่นงันงกตัวหนึ่งตรงหน้า
เขากดมือลงไปบนตัวแมงป่อง จากนั้นก็ผสานพลังพระจันทร์สีม่วงเข้าไป สีของแมงป่องขณะที่เปลี่ยนจากสีน้ำตาลเป็นสีม่วง สวี่ชิงก็สัมผัสคำสาปในร่างกายแมงป่อง
คำสาปของแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราส่งผลกระทบกับสรรพชีวิต วิธีการคงอยู่ของมันคือผสานอยู่กับสายโลหิต ยากจะแยกออกจากกัน หากปะทุ ก็จะทำให้สรรพชีวิตกลายเป็นน้ำสีดำในเวลาสั้นๆ
และหลังจากที่พลังพระจันทร์สีม่วงของสวี่ชิงสัมผัสกับคำสาป ทำให้มันจากที่เงียบสงบก็ปะทุขึ้นในพริบตา
ราวกับมีชีวิตขึ้นมาทันที จะสูดรับพลังพระจันทร์สีม่วงของสวี่ชิง
เหมือนสำหรับคำสาปนี้ พระจันทร์สีม่วงของสวี่ชิงมีบางอย่างล่อตาล่อใจอย่างมาก
ภายใต้การทดลองแต่ละครั้ง สวี่ชิงเข้าใจว่าถ้าตนแผ่พลังพระจันทร์สีม่วงเข้าไปไม่เพียงพอ เช่นนั้นก็จะถูกคำสาปกลืนกินแล้วหลอม จากนั้นอสูรร้ายในฐานะที่เป็นร่างทดลอง ก็จะกลายเป็นน้ำเลือดไปในยามที่คำสาปปะทุขึ้นมา
กระบวนการทั้งหมดย้อนกลับไม่ได้
แต่หากสวี่ชิงแผ่พลังพระจันทร์สีม่วงเข้าไปมากพออย่างต่อเนื่อง ดำเนินการฝืนสยบ หลังจากสยบได้สักพัก คำสาปก็ยังคงปะทุขึ้นมาเช่นเดิม
ทว่าบทสรุปค่อนข้างแตกต่าง ร่างทดลองที่ตายใต้สภาพนี้ จะไม่กลายเป็นน้ำเลือด แต่กลายเป็นผงสีดำกองหนึ่งแทน
‘เหมือนการเผาไหม้’