ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 581-2 ต้นแบบร้านยาที่ยอดเยี่ยมสุดในอนาคตของเซ่นจันทรา (2)
บทที่ 581 ต้นแบบร้านยาที่ยอดเยี่ยมสุดในอนาคตของเซ่นจันทรา (2)
สวี่ชิงมองแมงป่องตรงหน้าที่กลายเป็นผงสีดำฟุ้งกระจายบนพื้นในพริบตา เขาเลิกคิ้วขึ้น ดวงตาฉายแววครุ่นคิด
เขาเคยศึกษาผงสีดำนี้มาแล้ว ไม่มีประโยชน์อันใดเลย ทำให้สวี่ชิงรู้สึกเหมือนหลังจากคำสาปถูกสะกดไว้ ก็เลือกที่จะตายไปพร้อมกับสายโลหิต
‘ยังต้องทดลองมากกว่านี้ รวมถึงสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างกันด้วย’
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด นำอสูรร้ายตัวอื่นที่เจ้าเงาจับมาตลอดทางออกมาศึกษาต่อ
วันคืนจึงผ่านไปทีละวันเช่นนี้
แม้ในเมืองเล็กๆ จะมีการทะเลาะเบาะแว้งกันบ้าง แต่สวี่ชิงหลังจากมาถึงก็ไม่ได้ออกไปด้านนอก อยู่ในสภาวะตัดขาดจากโลกภายนอก กลับเลี่ยงเรื่องจิปาถะบางอย่างไป
และเมล็ดพันธุ์ที่เขาปลูกเอาไว้ ระหว่างที่กาลเวลาที่ไหลผ่านไปนี้ ก็ค่อยๆ แตกหน่อ เติบโตเป็นต้นอ่อนเขียวขจี
ต้นอ่อนนี้แปลกประหลาดอย่างมาก ราวกับมีสติปัญญาอยู่ระดับหนึ่ง ตอนที่สวี่ชิงปรากฏตัว มันก็จะสั่นไหวขึ้นมาด้วยสัญชาตญาณ
และทุกครั้งที่หลิงเอ๋อร์เข้าใกล้ มันก็จะโยกไหวด้วยตัวเอง บิดขยับลำต้น เมื่อทำให้หลิงเอ๋อร์ส่งเสียงหัวเราะเสนาะหูออกมาได้ มันก็ยิ่งออกแรงทำมากขึ้น
ส่วนบรรพจารย์สำนักวัชระ ก็รับผิดชอบภารกิจอารักขา ลอยอยู่บนคาน จดจ้องไปที่ประตูใหญ่เป็นระยะ
ส่วนเจ้าเงา…
มันไม่ค่อยชอบท่าทีประจบเอาใจหลิงเอ๋อร์ของต้นอ่อนนัก หลายครั้งถือโอกาสตอนที่หลิงเอ๋อร์กับสวี่ชิงไม่สนใจไปโผล่ข้างๆ ต้นอ่อนอย่างกะทันหัน จ้องมันอย่างเอาเป็นเอาตาย
ตอนนี้ทุกครั้ง ต้นอ่อนก็จะหดตัว ไม่กล้าขยับเขยื้อน
แต่เจ้าเงาก็ไม่ได้ปรากฏตัวบ่อย มันยังมีภารกิจอื่นอีก บางครั้งต้องออกจากเมืองเล็กๆ ไป คอยจับอสูรร้ายในเทือกเขาทนทุกข์รวมถึงในทะเลทรายผมครามมาให้สวี่ชิง
เช่นนี้จึงทำให้การศึกษาของสวี่ชิงดำเนินการต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง
และทุกครั้งที่มันกลับมา ก็มักจะนำสิ่งที่ได้เห็น ได้ยินรวมถึงความรู้เกี่ยวกับดินแดนนี้ สื่อคลื่นอารมณ์ถ่ายทอดให้กับสวี่ชิง
เขาคอยเป็นล่ามแปลให้ข้างๆ คอยอธิบายคำพูดของเจ้าเงา แต่ว่าบางครั้งเขาก็จะแทรกเรื่องส่วนตัวเข้าไปบ้าง ขุดหลุมให้เจ้าเงา
แม้เจ้าเงาจะเติบโตขึ้นไม่น้อย แต่ถึงอย่างไรก็ยังขาดประสบการณ์ ในสิบครั้งก็มักจะมีสองสามครั้งที่มองไม่ออก
สวี่ชิงไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้ เขาเคยชินกับความขัดแย้งระหว่างสองคนนี้แล้ว
และเขาก็เข้าใจทะเลทรายผมครามผืนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ผ่านเจ้าเงากับบรรพจารย์สำนักวัชระ
อย่างเช่นสวี่ชิงรู้สาเหตุที่ต้องสร้างเมืองดินนี้ที่ตัวภูเขาแล้ว
นั่นเป็นเพราะในทะเลทรายมีเรื่องราวประหลาดอยู่มากกมาย และทุกเรื่อง ล้วนสามารถบดขยี้ทำลายเมืองเล็กๆ ได้อย่างง่ายดาย
มีเพียงการอยู่บนเขาเท่านั้น ที่จะปลอดภัยมากขึ้น
อย่างเช่นเรื่องในทะเลทรายทุกระยะหนึ่ง จะมีแดนมายาปรากฏออกมา บางครั้งก็เป็นทวีปเขียวขจี บางครั้งก็เป็นเมืองบนฟ้า บางครั้งก็เป็นโลกอื่น
พวกมันเคลื่อนที่ได้ และทุกที่ที่เคลื่อนผ่านก็จะปกคลุมไปด้วยความตาย
เพียงแต่เมื่อเข้าไปในแดนมายานี้ ก็ยากจะมีชีวิตรอดออกมาได้ และหลังจากที่แดนมายาหายไป มีเพียงโครงกระดูกที่ถูกแทะเลือดเนื้อจนเกลี้ยงเกลาที่เหลือทิ้งไว้บนผืนดินเท่านั้น
นอกจากนี้เห็ดขนาดยักษ์ที่สวี่ชิงเห็นตลอดทาง ในข้อมูลที่เจ้าเงานำกลับมาก็มีบรรยายไว้ว่า มันเคยเห็นเห็ดยักษ์ลุกขึ้นมายืนในทะเลทราย
รากนับไม่ถ้วนใต้ต้นเห็ดรวมตัวเป็นร่างมนุษย์ เคลื่อนที่อยู่บนทะเลทราย คอยไล่ตามแดนมายา
และสิ่งเหล่านี้ยังไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวที่สุดในทะเลทรายผมคราม ในคำบรรยายกับการสืบข่าวของเจ้าเงา สวี่ชิงยังได้รู้อีกว่าในทะเลทรายผืนนี้ ใช่ว่าสีของลมไม่มีการเปลี่ยนแปลง
หากมีวันใดวันหนึ่งที่สายลมสีดำเปลี่ยนเป็นสีขาว เช่นนั้นสรรพชีวิตที่อยู่กลางทะเลทรายทั้งหมด ก็จะเร่งความเร็วให้เร็วสุดชีวิตหนีตายเข้าไปในตัวภูเขา
ไม่เช่นนั้นก็พบกับจุดจบ มีเพียงยอดเขาที่นี่ ถึงจะไม่ถูกลมทรายโจมตี
ในช่วงเวลาที่ยาวนาน จำนวนครั้งที่สายลมสีขาวปรากฏขึ้นมีอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นบางครั้งจึงมีคนโชคดีหลบหนีสายลมสีขาวเข้าไปในภูเขาที่อยู่ใกล้ๆ จนเลี่ยงการตายได้ทัน
แต่คนที่หนีพ้นเหล่านี้ ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงที่เหมือนกัน
ร่างกายของพวกเขาจะพิการอัปลักษณ์ และรุ่นหลังก็จะเป็นเช่นเดียวกัน ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
นี่จึงทำให้สวี่ชิงนึกถึงคนเหล่านั้นในเมืองเล็กๆ
นอกจากนี้ นอกจากสายลมขาว ในทะเลทรายผมครามนี้ยังมีสายลมสีดำอีก เพียงแต่ผ่านไปหลายร้อยปีแล้วก็ยังไม่ปรากฏขึ้น แต่ก็ยังคงมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับสายลมดำอยู่
เมื่อสายลมสีดำปรากฏ สรรพชีวิตทั้งทะเลทรายผมครามจะตายไปกว่าเก้าส่วน ต่อให้จะหลบอยู่ในภูเขาก็ตกอยู่ในอันตราย
แต่ในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรานี้ พบเห็นสถานที่ที่ไม่อันตรายได้น้อย เทียบกับโลกภายนอกที่ความเป็นความตายปรากฏขึ้นตลอดเวลา สายลมดำที่หลายร้อยปีจะเกิดขึ้นสักครั้งนี้จึงไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่อะไร
ทว่าสายลมสีสุดท้ายอีกสีหนึ่ง สีเทา
สายลมเทาเป็นเพียงตำนาน เป็นสิ่งที่สวี่ชิงรู้มาจากปากชายชราที่มาซื้อยาลูกกลอนผู้หนึ่ง สายลมนี้ในประวัติศาสตร์ทะเลทรายผมคราม เคยปรากฏขึ้นเพียงครั้งเดียว
จนมาถึงตอนนี้ก็ผ่านมานานแสนนาน ดังนั้นรายละเอียดเป็นเช่นไร จึงไม่มีใครรู้
ข้อมูลนี้ ทำให้สวี่ชิงเข้าใจทะเลทรายผืนนี้มากขึ้น ขณะเดียวกันช่วงนี้เขาก็กำลังศึกษาเรื่องคำสาปอยู่ และเปิดใช้กระจกหลายครั้ง
ในการสืบเสาะหลายต่อหลายครั้งของเขา จึงเข้าใจการทดสอบของตำหนักขบถจันทร์ชัดเจนขึ้น
‘จุดนี้ของผู้บำเพ็ญตาเดียวที่หนีรอดไปได้ไม่ได้พูดโกหก ไม่ว่าจะกระจกบานใด หากอยู่ในอาณาเขตเทือกเขาทนทุกข์ ล้วนสามารถเข้าไปยังตำหนักขบถจันทร์ได้
‘ขณะเดียวกันก็เป็นวิธีเริ่มการทดสอบด้วย
‘มีเพียงต้องผ่านการทดสอบนี้ ถึงสามารถเข้าสู่ตำหนักขบถจันทร์ได้”
สวี่ชิงนั่งขัดสมาธิอยู่ในบ้าน สายตาหยุดอยู่ที่กระจกเบื้องหน้า ดวงตาฉายแววแน่วแน่
จากความเข้าใจในช่วงหลายวันมานี้ ทำให้เขารู้ว่าการทดสอบเข้าตำหนักขบถจันทร์มีทั้งหมดสามหัวข้อ
หัวข้อที่หนึ่งคือการเซ่นสังเวย
สิ่งนี้อันที่จริงก็เป็นการแสดงความภักดีอย่างหนึ่ง ดังนั้นผู้ที่คิดจะเข้าร่วมตำหนักขบถจันทร์ ต้องสังหารผู้บำเพ็ญตำหนักพระจันทร์สีชาดที่อยู่ในระดับเดียวกันกับตัวเอง
ขอแค่ส่งศพที่สังหารเข้าไปในกระจก ก็ถือว่าการทดสอบข้อแรกเสร็จสิ้น
จุดนี้สวี่ชิงเข้าใจได้ หัวข้อแรกของการทดสอบนี้ เป้าหมายคือตรวจสอบพลังแท้จริงของผู้เข้าร่วม ขณะเดียวกันก็รวมถึงคอยระวังโลกภายนอกด้วย
วิธีการเช่นนี้ หากตำหนักพระจันทร์สีชาดคิดจะส่งคนเข้ามาเป็นหนอน ก็จำเป็นต้องแลกเปลี่ยนด้วยราคาเช่นนี้
พลังบำเพ็ญยิ่งสูง สิ่งที่ต้องแลกก็มากตาม
อีกทั้งนี่ยังเป็นเพียงข้อแรก หลังจากแลกไปแล้ว และผ่านการทดสอบหลังจากนี้ไปไม่ได้ ก็เท่ากับที่ทำมาทั้งหมดไร้ผล
ดังนั้น การทดสอบนี้จึงถูกจัดไว้ด่านแรก
ส่วนการทดสอบข้อที่สองการเข้าร่วมตำหนักขบถจันทร์ คือความศรัทธา
ข้อที่สามสวี่ชิงไม่ทราบ เขาคิดจะแสดงความภักดีให้เรียบร้อยเสียก่อน
พร้อมกับความคิดนี้ สวี่ชิงเงยหน้ามองท้องฟ้าขมุกขมัวด้านนอก ดวงตาฉายแววแน่วแน่ โบกมือเก็บกระจกลงไป ร่างไหววูบออกจากร้านยา
เป้าหมายของเขาไม่ใช่ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดของเทือกเขาทนทุกข์
สร้างตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดขึ้นที่นี่ได้ สวี่ชิงรู้ดีว่าห้ามดูถูกเด็ดขาด
ถึงอย่างไรการจะเข้าร่วมตำหนักขบถจันทร์ จำเป็นต้องแสดงความภักดีให้เรียบร้อย หรือก็คือผู้ที่คิดจะเข้าร่วมทั้งหมด ล้วนต้องจดจ่อที่ตำหนักเทพโดยสัญชาตญาณก่อนทั้งสิ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ ขอแค่ไม่ใช่คนโง่ ก็ไม่มีทางประมาทเลินเล่อ จากความเข้าใจที่สวี่ชิงได้สัมผัสกับตำหนักเทพมาแล้วหลายครั้ง เขารู้สึกว่าตำหนักเทพมีโอกาสวางกับดักไว้ที่นี่สูงมาก
แน่นอนว่าความคิดทุกคนแตกต่างกัน สวี่ชิงรู้สึกว่าผู้ที่จะเข้าร่วมกับตำหนักขบถจันทร์พวกนั้นคงมีคนโง่อยู่น้อยมากเป็นแน่ จึงมีโอกาสสูงที่จะเลือกไปซุ่มโจมตีผู้บำเพ็ญตำหนักเทพที่พื้นที่อื่นด้านนอกทะเลทราย
แต่สวี่ชิงไม่อยากเสี่ยง
ตอนนี้เขาสวมหน้ากากวิชาเซียน ร่างกายเริ่มแปรสู่สภาวะพรางมารยาและอำพราง ออกจากเทือกเขาตรงไปยังทะเลทราย ค้นหาอสูรร้ายที่พลังบำเพ็ญสอดคล้องกัน
เวลาผ่านไปหลายวันเช่นนี้
อสูรร้ายในทะเลทรายคราม พลังบำเพ็ญสูงต่ำไม่เท่ากัน ระหว่างที่เจ้าเงาออกล่าให้สวี่ชิงช่วงนี้ ก็ทำการปักหมุดจุดอันตรายบางส่วนเอาไว้ ดังนั้นเป้าหมายของสวี่ชิงจึงชัดเจนมาก
สองวันต่อมา ทรายดูดกลางทรายแห่งหนึ่งในทะเลทรายคราม มีเสียงครืนครันดังสนั่น คลื่นวิชาเวทกระจายไปรอบด้าน หนอนสีแดงขนาดยักษ์ตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากใต้ดิน คลื่นพลังบำเพ็ญปราณก่อกำเนิดแผ่ไปทั่วร่าง แต่กลับส่งเสียงโหยหวน
ด้านล่างมัน ร่างสวี่ชิงที่อยู่ใต้ทรายเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วตามติดขึ้นมา ยกมือขวาขึ้นกดลงไปอย่างแรง ทันใดนั้นร่างหนอนสีแดงตัวนี้แหลกเละไปเกือบครึ่ง ร่วงลงมาบนพื้นหายใจรวยริน
สวี่ชิงเก็บมันมา เดินหน้าต่อ
ห้าวันต่อมา แมงป่องยักษ์ขนาดหลายสิบจั้งตัวหนึ่งหลบหนีบนพื้นอย่างรวดเร็ว ด้านหลังของมันมีเงาร่างหนึ่งไล่โจมตีไม่หยุดหย่อน ผ่านไปครู่หนึ่ง จากการมาเยือนของร่างมารฟ้านับไม่ถ้วน แมงป่องตัวนี้ก็ส่งเสียงกรีดร้อง คิดจะพุ่งไปแต่ก็ทำไม่ได้ ถูกร่างเงาข้างหลังไล่ตามมา
ภายใต้เสียงครืนครันเป็นระยะ หนึ่งก้านธูปต่อมา เมื่อทุกอย่างสงบลง สวี่ชิงก็เดินออกมาจากลมดำ กลับไปยังเทือกเขาทนทุกข์
ใช้เวลาหนึ่งวันครึ่ง เขาก็กลับไปยังร้านยาในเมือง หลิงเอ๋อร์ยังดูปกติทุกอย่าง เพียงแต่กังวลกับการที่สวี่ชิงออกไปข้างนอก ตอนที่เห็นสวี่ชิงกลับมา นางก็ถอนหายใจโล่งอก ใบหน้าเล็กกลับมามีรอยยิ้มอีกครั้ง
สวี่ชิงลูบหัวหลิงเอ๋อร์ เดินไปห้องด้านหลัง นั่งลงขัดสมาธิ หลังจากเปิดใช้ค่ายกลปิดกั้น เขาก็ล้วงกระจกมาวางไว้เบื้องหน้า จากนั้นก็สูดลมหายใจลึก ดวงตาเปล่งประกายคม
เขาไม่อยากเสี่ยงซุ่มโจมตีผู้บำเพ็ญตำหนักเทพ หากเรื่องนี้เล็ดรอดออกไป จะยุ่งยากอย่างยิ่ง
เขาจึงคิดจะใช้กลวิธี ใช้วิธีการของตนเองสร้างผู้บำเพ็ญตำหนักเทพขึ้น ใช้เรื่องนี้มาหลอกการพิจารณาตำหนักขบถจันทร์ นี่ก็เป็นเหตุที่เขาศึกษาอยู่นานสองนาน
‘ข้าตรวจสอบไปหลายครั้ง การทดสอบนี้เป็นกลไกประเภทหนึ่ง ไม่มีผู้ควบคุม ดังนั้นข้าน่าจะทำสำเร็จ ทว่าการประทานพรของข้าจะกระตุ้นคำสาป ดังนั้นต้องทำให้รวดเร็วหน่อยถึงจะได้
สวี่ชิงกะพริบตา ขณะที่โบกมือก็หยิบแมงป่องกับหนอนสีแดงที่ตนจับออกมา แล้วประทานพลังพระจันทร์สีม่วงของตัวเองลงไปในนร่างกายที่หายใจรวยรินของพวกมันอย่างรวดเร็ว
เช่นเดียวกับตอนที่ประทานพรให้กับมู่เยี่ยในยามนั้น พริบตา ร่างอสูรร้ายทั้งสองก็สั่นกระตุก แต่ละตัวมีตราประทับสีม่วงปรากฏขึ้น และพริบตาต่อมาคำสาปของพวกมันก็ถูกกระตุ้น
และไม่รอให้คำสาปปะทุ สวี่ชิงก็ลงมืออย่างรวดเร็ว โยนอสูรร้ายสองตัวนี้เข้าไปในกระจก
สวี่ชิงถอยหลังไปสองสามก้าว แม้จะสืบเสาะและศึกษามาอย่างไม่หยุดยั้ง ค่อนข้างมั่นใจกับวิธีการของตน แต่จะสำเร็จหรือล้มเหลว ก็ยังรู้สึกร้อนรน จ้องกระจกเขม็ง
จู่ๆ กระจกนั้นก็สั่นสะเทือนกลางอากาศ แสงบนนั้นกะพริบวูบวาบอย่างรวดเร็ว คล้ายกำลังพิจารณา
กระทั่งผ่านไปหลายสิบอึดใจ ตอนที่สวี่ชิงกังวลขึ้นเรื่อยๆ ในกระจกก็แผ่เจตจำนงที่ทรงพลังออกมา
“ผ่าน!”
สวี่ชิงผ่อนลมหายใจยาว
อันที่จริงเขาก็ไม่คิดจะใช้วิธีการเช่นนี้ แต่ความอันตรายในการซุ่มโจมตีตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดสูงเกินไป โอกาสที่จะเป็นกับดักของอีกฝ่ายก็สูงมาก
ด้านหนึ่งถ้าไม่รอบคอบก็จะเกิดความยุ่งยาก ไม่เอื้อกับความตั้งใจแรกเริ่มที่จะค้นคว้าอย่างสบายใจของเขา
และหากออกจากทะเลทรายผมครามไปที่อื่น เวลาไปกลับอย่างน้อยก็เกือบครึ่งปี เทียบกันแล้ว ตนสร้างขึ้นมาเอง ย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
‘ข้าใช้ความสามารถของตนเองผ่านการทดสอบหัวข้อที่หนึ่งได้แล้ว นี่ก็ไม่ถือว่าโกงล่ะนะ’
สวี่ชิงพึมพำในใจ หลังจากระลึกถึงสิ่งที่อาจารย์สอนตนเอง เขาก็รู้สึกว่าที่ทำเช่นนี้ถูกต้องแล้ว