ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 582-2 กระตุกหนวดเสือ ล้วงคองูเห่า (2)
บทที่ 582 กระตุกหนวดเสือ ล้วงคองูเห่า (2)
ตอนนี้ละล่ำละลักพูดขึ้นมาทันที
“นายหญิง รับประกันทำภารกิจสำเร็จแน่ขอรับ!”
หลิงเอ๋อร์ยิ้ม เก็บกวาดเก้าอี้ที่แหลกละเอียดบนพื้น แล้วพูดขึ้นอีกว่า
“อ้อ จริงสิ จำไว้ว่าเอาเก้าอี้กลับมาสามตัวด้วยล่ะ”
บรรพจารย์สำนักวัชระกะพริบตาปริบๆ รีบรับคำ
“อ้อ ข้าว่า จับตัวหัวหน้าของพวกเขากลับมาด้วยแล้วกัน เอามาให้พี่สวี่ชิงค้นคว้าศึกษาสักหน่อย”
หลิงเอ๋อร์กำชับอีกประโยค
สวี่ชิงอยู่ในห้องด้านหลังเงยหน้าขึ้น ดวงตาเบนจากร่างแมงป่องระดับแก่นลมปราณที่ชำแหละไปครึ่งหนึ่ง มองไปทางข้างนอก สำหรับความเอาใจใส่ของหลิงเอ๋อร์ ในใจของเขามีความอบอุ่นผุดขึ้นมา
ศึกษาค้นคว้าแต่อสูรร้าย เขาก็ค่อนข้างจะเบื่อแล้วจริงๆ นั่นแหละ
แมงป่องตัวใหญ่ข้างหน้าสวี่ชิงตัวนี้ตอนนี้ยังไม่ตาย ดวงตาฉายความตื่นกลัวและสิ้นหวัง ในความคิดของมัน เผ่ามนุษย์ข้างหน้าคนนี้น่ากลัวเป็นที่สุด มันถูกผ่าชำแหละร่างทั้งยังเป็นๆ
และระลอกคลื่นพลังที่นี่ล้วนถูกซ่อนอำพรางเอาไว้ ข้างนอกนั้นไม่สามารถสัมผัสรับรู้ได้
ไม่เช่นนั้นผู้บำเพ็ญพันธมิตรโครงกระดูกระดับรวมปราณบริบูรณ์คนนั้นจะต้องกลัวจนขาอ่อนทันทีแน่นอน นึกเสียใจที่เดินเข้ามาที่นี่
“ถึงเวลาที่ต้องศึกษาคำสาปในร่างของผู้บำเพ็ญพวกนี้แล้ว” สวี่ชิงพึมพำในใจ ยกมือบีบหัวของแมงป่องจนแหลกละเอียด จบชีวิตมัน
กลางคืน ท้องฟ้าสลัวยิ่งมืดมิด แสงสีดำทางหนึ่งพุ่งออกไปจากร้านขายยาอย่างรวดเร็ว ความเร็วน่าตื่นตะลึง พุ่งผ่านไปในฟ้าดิน เป็นบรรพจารย์สำนักวัชระนั่นเอง
เขาควบคุมก้างปลาเทพเจ้า พุ่งตรงไปยังขั้วอำนาจขนาดเล็กที่คนที่มาเมื่อเช้า
‘เจ้าเงาตัวดี ปกติโง่เง่าทึบทึ่ม แต่มันเดินหมากได้ถูกต้อง นั่นก็คือประจบนายหญิง…
‘เรื่องนี้ข้าประมาทไป ทีแรกเห็นว่าเด็กสาวนั่นปกติใสซื่อไร้เดียงสา แต่ความจริงแล้วจิตใจโหดเหี้ยมเหมือนกับเจ้าดาวพิฆาตนั่นไม่มีผิดเลย
‘ในนิยาย นายหญิงเช่นนี้ล้วนเป็นตัวละครที่ร้ายกาจห้ามล่วงเกินทั้งสิ้น
‘เจ้าเงาตัวดีมีที่พึ่ง ช่วงนี้ก็เปลี่ยนมากำเริบขึ้น’
บรรพจารย์สำนักวัชระนึกย้อนภาพแต่ละฉากๆ ที่เกี่ยวกับหลิงเอ๋อร์ ก็ยิ่งรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ได้ธรรมดาเหมือนที่เห็นภายนอก จึงตัดสินใจในใจ วันหน้าจะต้องประจบไว้ให้มากๆ หน่อยถึงจะถูก
‘แต่ว่าข้าก็ยังไม่เสียโอกาส…ไม่เป็นไร รอเมื่อกลับไปยังเขตปกครองผนึกสมุทรข้าก็จะไปประจบนายหญิงอีกคนหนึ่ง
‘เช่นนี้หากวันใดเจ้าดาวพิฆาตดวงนี้เห็นข้าแล้วไม่สบอารมณ์ ข้าก็มีไพ่ตายรักษาชีวิตใบหนึ่ง’
ขณะที่บรรพจารย์สำนักวัชระในใจคิดว้าวุ่น ก็พุ่งแหวกอากาศไป ไม่นานก็ออกไปจากเมืองดิน มาถึงยังแถวๆ บริเวณที่ขั้วอำนาจเล็กๆ นั่นตั้งอยู่
แต่ยังไม่ทันเข้าไปใกล้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย สัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวเลือด
บรรพจารย์สำนักวัชระร้องเอ๊ะเบาๆ ในใจ แม้ในสายตาของเขาอีกฝ่ายจะสามารถสังหารได้ภายในพริบตา แต่เขาก็ยังคงรักษาความระมัดระวังภัยเอาไว้ อำพรางร่องรอยเข้าไปใกล้ช้าๆ จวบจนกระทั่งวนไปในนั้นรอบหนึ่ง เขาก็เห็นศพเต็มพื้นไปหมด
ผู้บำเพ็ญขั้วอำนาจเล็กๆ นี้ถูกคนฆ่าตายหมดแล้ว ไม่เหลือผู้รอดชีวิตแม้แต่คนเดียว ทรัพย์สินในนั้นก็ถูกกวาดเอาไปหมดเกลี้ยงเช่นกัน
‘ดูจากท่าแล้ว เวลาตายน่าจะเป็นเมื่อครึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้ อีกทั้งคนที่ลงมือยังมีระดับพลังบำเพ็ญอย่างน้อยเป็นขั้นแก่นลมปราณ เมื่อมาถึงก็ทำการสังหารอย่างรวดเร็ว…’
บรรพจารย์สำนักวัชระครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็หันหลังไปจากที่นี่ หลังจากกลับไปถึงร้านยาเขาก็รีบบอกสิ่งที่ตนเองเห็นทั้งหมดตลอดจนการวิเคราะห์ของเขารายงานให้กับหลิงเอ๋อร์และสวี่ชิง
หลิงเอ๋อร์ประหลาดใจ สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด เรื่องนี้ความเป็นไปได้ที่จะเป็นความบังเอิญมีไม่มาก กลับทำให้รู้สึกว่าเป็นการกระทำโดยตั้งใจ
และคำตอบก็ปรากฏขึ้นในวันที่สอง
เช้าตรู่ ร้านยายังไม่ทันเปิด ข้างนอกก็มีคนสองคนอยู่ตรงนั้น รออย่างเคารพนอบน้อม
ทันทีที่หลิงเอ๋อร์เปิดประตูร้าน สองคนนี้ก็โค้งคารวะหลิงเอ๋อร์
“คารวะผู้ดูแล ไม่ทราบว่าท่านปรมาจารย์อยู่หรือไม่”
หลิงเอ๋อร์กะพริบตาปริบๆ สายตากวาดไปบนร่างทั้งสองคนนี้
คนหนึ่งในนั้นนางเคยเห็น เป็นเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์ที่ซื้อยาแก้พิษไปคนนั้น ส่วนชายกลางคนที่อยู่ข้างๆ เขาสวมชุดคลุมยาวสีเขียวคราม บนร่างมีกลิ่นอายสง่างามอย่างบัณฑิต เสื้อผ้าแตกต่างจากคนอื่นๆ ที่นี่อย่างเห็นได้ชัด
พลังบำเพ็ญของเขาก็ไม่ธรรมดา ท่าทางเป็นระดับแก่นลมปราณช่วงปลาย อีกทั้งห่างจากทะลวงขั้นก็เหมือนว่าอีกไม่นานแล้ว
ผู้ที่พูดกับนางคือชายกลางคนระดับแก่นลมปราณผู้นั้น เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆ สีหน้าสงบเสงี่ยมระมัดระวังกิริยา ดวงตาเหลือบมองไปทางห้องด้านหลังที่สวี่ชิงอยู่
เห็นเป็นเช่นนี้ ชายกลางคนผู้นั้นโค้งคารวะไปทางห้องด้านหลังอีกครั้ง เอ่ยออกไปอย่างเคารพนอบน้อม
“ท่านปรมาจารย์ เมื่อวานคนของพันธมิตรโครงกระดูกหาเรื่องสร้างความเดือดร้อนให้ท่าน ข้าได้ทำการกำจัดพวกเขาออกไปแล้ว นี่คือลูกกลอนที่พวกเขาขูดรีดไปจากพวกท่านขอรับ”
ชายกลางคนระดับแก่นลมปราณเอาถุงออกมาใบหนึ่ง ยื่นสองมือออกไปหาหลิงเอ๋อร์
หลิงเอ๋อร์ดวงตาเป็นประกาย เมื่อคืนวานนางขบคิดเรื่องยาลูกกลอนมาโดยตลอด รู้สึกว่าตัวเองขาดทุนแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือไปเอามาทันที รอปฏิกิริยาของสวี่ชิง
นางรู้จักนิสัยของพี่สวี่ชิง รู้ว่าบางเรื่องไม่ใช่สิ่งที่นางจะตัดสินใจได้
“เชิญเข้ามาเถิด”
ครู่หนึ่ง เสียงของสวี่ชิงก็ดังออกมาจากห้องด้านหลัง
หลิงเอ๋อร์ถอยหลังไปสองสามก้าว คนทั้งสองหน้าประตูเดินเข้าไปอย่างเคารพนอบน้อม ยืนอยู่ข้างๆ มองไปทางประตูห้องข้างหลัง ไม่ได้มีท่าทีหยั่งเชิงสืบค้นใดๆ
มีมารยาทรู้อะไรควรไม่ควรเช่นนี้ สวี่ชิงจะไม่ออกมาก็ไม่ได้ จึงเดินออกมาจากห้องด้านหลัง มองมายังทั้งสองคน
ความอ่อนเยาว์ของสวี่ชิง ทำให้ผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณคนนี้ดวงตาฉายประกายประหลาด แต่นี่ไม่กระทบต่อท่าทีของเขา ตอนนี้สีหน้าแววตาเคร่งขรึม ประสานหมัดไปทางสวี่ชิง บอกจุดประสงค์ที่มา
“คารวะท่านปรมาจารย์
“ข้าน้อยเฉินฝานจัวเจ้าสำนักธุลีดินที่อยู่แถวนี้ๆ นี้ นี่คือลูกศิษย์สำนักข้า และข้าก็ได้ทราบถึงวิชาแพทย์ของท่านมาจากเขา
“บุ่มบ่ามมาถึงที่นี่เพราะลูกศิษย์สำนักข้าล้วนได้รับพิษกันหมด แม้แต่ข้าแซ่เฉินคนนี้ก็เช่นกัน ไม่ทราบว่าท่านปรมาจารย์ยังมียาแก้พิษอีกหรือไม่
เขารู้ดี บางเรื่องต้องลงมืออย่างเรียบง่ายตรงไปตรงมา จะปกจะปิดไม่ได้ อีกทั้งลูกศิษย์ทั้งสำนักทยอยอาการกำเริบ เขาหาปรมาจารย์ลูกกลอนจำนวนไม่น้อยแต่ก็แก้พิษนี้ไม่ได้
ในใจจึงร้อนรนเป็นอย่างยิ่ง จนกระทั่งเขาพบลูกศิษย์คนหนึ่งโดยบังเอิญว่าไม่เป็นอะไร
ดังนั้นหลังจากที่รู้เรื่องทุกอย่างแล้ว เขาก็ตัดสินใจมาที่นี่
เขาไม่เชื่อว่าคนธรรมดาจะหลอมลูกกลอนเช่นนี้ได้ อีกทั้งยังมีความลึกซึ้งต่อลูกกลอนแก้พิษถึงปานนี้ยิ่งไม่มีทางเป็นคนธรรมดาไปได้เลย
ดังนั้นท่าทีของเขาจึงเกรงอกเกรงใจรักษามารยาทมาโดยตลอด
สวี่ชิงสีหน้าเป็นปกติ มองผู้บำเพ็ญกลางคนผาดหนึ่ง คร้านจะวิเคราะห์ว่าการกระทำของพันธมิตรโครงกระดูกเป็นคนคนนี้ผลักดันอยู่ข้างหลัง เพื่อแสดงท่าทีเป็นมิตรจากการนี้หรือไม่
ท่าทีของอีกฝ่ายเพียงพอแล้ว
เขาจึงยกมือสะบัด ก็โยนถุงที่บรรจุยาแก้พิษเอาไว้เต็มไป
ชายกลางคนคนนั้นรับไปสองมือ ทั้งยังไม่ตรวจสอบ เอาถุงเก็บของใบหนึ่งออกมาแล้ววางไว้ข้างๆ จากนั้นก็จากไปอย่างนอบน้อมรักษามารยาท
หลังจากเขาจากไป หลิงเอ๋อร์ก็รีบพุ่งตัวมาตรวจดู จากนั้นก็ร้องอย่างตื่นตะลึง
“พี่สวี่ชิง ในนี้มีหินวิญญาณแสนก้อนเจ้าค่ะ”
สวี่ชิงเลิกคิ้ว มีความรู้สึกดีๆ กับผู้บำเพ็ญกลางคนคนนั้นขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็เรียกให้หลิงเอ๋อร์เข้าไปในห้องด้านหลัง
หลิงเอ๋อร์ไม่รู้ว่าคิดไปถึงไหน ใบหน้าดวงน้อยแดงก่ำ รีบปิดประตูร้านยาทันที จากนั้นก็สูดลมหายใจลึก เดินกระบิดกระบวนตามสวี่ชิงเข้าไปในห้องข้างหลัง จากนั้นก็ยืดหน้าอกน้อยๆ เต็มที่ เอ่ยเสียงแผ่วเบา
“พี่สวี่ชิง กลางวันแสกๆ เช่นนี้ ท่านเรียกข้ามาทำอะไรเจ้าคะ”
สวี่ชิงไม่ได้สนใจคำพูดของหลิงเอ๋อร์ หลังจากนั่งลงขัดสมาธิก็เอากระจกแผ่นหนึ่งออกมา
“หลิงเอ๋อร์ ข้าอยากให้เจ้าเข้าร่วมตำหนักขบถจันทร์”
“หา?” หลิงเอ๋อร์อึ้งตะลึง ในใจผิดหวังเล็กน้อย การกระทำของสวี่ชิงไม่ค่อยเหมือนกับสิ่งที่ตนจินตนาการเอาไว้
ตอนนี้เหลือเพียงวิธีสุดท้ายเท่านั้น
นั่นก็คือให้หลิงเอ๋อร์เข้าร่วมและทำการทดสอบให้สำเร็จ ตนอาศัยวิชาร่วมชะตากับหลิงเอ๋อร์ ใช้วิธีนี้เข้าร่วมตำหนักขบถจันทร์
ในจุดนี้เดิมมีเรื่องยากอยู่เรื่องหนึ่ง เนื่องจากคนของตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดพลังบำเพ็ญขั้นต่ำก็เป็นระดับปราณก่อกำเนิดแล้ว ส่วนพลังบำเพ็ญของหลิงเอ๋อร์ยังไม่ถึงแก่นลมปราณเลย ดังนั้นพลังด้านการสังเวยพลังสร้างคุณูปการจะมีปัญหา
เป้าหมายของการทดสอบการมอบพลังสังเวยคุณูปการจะต้องเป็นระดับเดียวกับผู้มอบพลังสังเวยคุณูปการถึงจะได้ หากผู้บำเพ็ญตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดที่จับมาสังเวยมีขั้นสูงกว่ามาก ช่องโหว่ที่เห็นได้ชัดนี้จะถูกมองว่ามีคนช่วยโกง
เช่นเดียวกันนี่ก็เป็นการจำกัดพลังบำเพ็ญของคนที่เข้าร่วมตำหนักขบถจันทร์
แต่ว่ามีสวี่ชิงอยู่เรื่องนี้จัดการได้ง่าย
ภายใต้การอธิบายของสวี่ชิง หลิงเอ๋อร์จึงได้กระจ่างกับเรื่องนี้ แอบเก็บความคิดลงไป พยักหน้าเต็มแรง
“ไม่มีปัญหาพี่สวี่ชิง ข้าได้หมดเลย”
พูดแล้ว หลิงเอ๋อร์ยังตบอกเล็กๆ หน้าสวี่ชิงอีกด้วย
ตอนนี้สวี่ชิงสมองเต็มไปด้วยเรื่องของตำหนักขบถจันทร์ เรื่องนี้เขาขบคิดมานานมาก แล้วก็ทำการคิดวิเคราะห์อย่างละเอียดในใจว่าไม่มีอันตรายอะไร ดังนั้น หลังจากที่เขาบอกขั้นตอนกับหลิงเอ๋อร์แล้ว คนทั้งสองก็เริ่มลงมือทันที
สวี่ชิงให้หลิงเอ๋อร์กระตุ้นกระจกก่อน จากนั้นก็เอาอสูรร้ายที่มีพลังบำเพ็ญเท่ากับหลิงเอ๋อร์ออกมาสองตัว ประทานพรอย่างรวดเร็ว แล้วโยนมันไปในกระจกก่อนที่คำสาปของพวกมันจะปะทุ
ไม่นานนัก การทดสอบรายการแรกก็ผ่าน จากนั้นด่านความศรัทธาก็ผ่านไปอย่างราบรื่น บนร่างหลิงเอ๋อร์ไม่มีพลังพระจันทร์สีชาด นางผ่านการทดสอบหัวข้อที่สองได้อย่างง่ายดาย
พริบตาที่สำเร็จ กระจกที่ลอยอยู่กลางอากาศก็ส่งเสียงแตกร้าวขึ้น เกิดรอยแยกทางหนึ่ง
พลังดูดเป็นระลอกๆ แผ่ซ่านออกมาจากในรอยแยก
“พี่สวี่ชิง เสียงนั้นบอกข้าว่าที่นี่ก็คือทางเข้าของตำหนักขบถจันทร์” หลิงเอ๋อร์มองกระจก รีบเอ่ยขึ้น
สวี่ชิงมองรอยแตกบนกระจกทางนั้น ไม่กล้าลองเข้าไป ด้วยความยอดเยี่ยมของตำหนักขบถจันทร์ หากผู้รับการทดสอบฝืนบุกรุกเกรงว่าคงจะมีพลังสังหารซัดมาในทันที
ในดวงตาหลิงเอ๋อร์ฉายแวววาดหวัง นับจากที่สวี่ชิงสลายวิชาร่วมชะตากับนาง ปากนางบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่ในใจก็ยังคงผิดหวังมากๆ ตอนนี้สามารถผูกชะตาต่อไปได้ ในใจของนางเต็มไปด้วยความสุข ไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น ร่างของนางเพียงไหววูบก็แปลงเป็นงูขาวตัวเล็ก พันมายังข้อมือของสวี่ชิง
เสี้ยวขณะต่อมา เส้นไหมทางหนึ่งก็เกี่ยวกระหวัด
สายสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่สวี่ชิงตอนนี้ไม่ใช่คนเดิมในอดีต ภายใต้การเพิ่มพลังจากพลังดวงชะตาในกาย ครั้งนี้จึงไม่ได้ผูกเพียงแค่ฝ่ายเดียว หากแต่ทั้งสองฝ่ายต่างผูกชะตาไว้ด้วยกัน
ทำเรื่องเหล่านี้เสร็จ สวี่ชิงก็สามารถสัมผัสได้ทันทีว่าตัวเองกับหลิงเอ๋อร์ในเสี้ยวขณะนี้เหมือนว่าเป็นร่างเดียวกัน
“พี่สวี่ชิง นี่คือพรสวรรค์ที่มีเฉพาะเผ่าวิญญาณบรรพกาลเรา ชั่วชีวิตนี้…จะผูกชะตาได้เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ต่อให้ปลดทิ้งก็ไม่สามารถผูกชะตากับคนอื่นได้อีก
“ชั่วชีวิตนี้ ข้ากับท่านมีชีวิตร่วมกัน ท่านมีชีวิตข้ามีชีวิต ท่านตายข้าตาย เป็นตายเคียงคู่ แสงพรายรุ้งน้ำพุเหลือง…เคียงคู่มิห่าง!”
เสียงกังวานในดังขึ้นในใจสวี่ชิง
สวี่ชิงจ้องมองตราประทับที่ข้อมือ พยักหน้าอย่างหนักแน่น หลังจากสูดลมหายใจลึก เขาก็มองไปทางกระจกที่ลอยอยู่ชิ้นนั้น ร่างเพียงไหววูบก็ตรงไปยังรอยแยก
ในพริบตาที่เข้าไปใกล้ ร่างของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นแสงทางหนึ่งผสานไปในรอยแยก
เข้าไปยังดินแดนมหัศจรรย์แห่งหนึ่ง!