ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 585 ตำหนักขบถจันทร์แสนรูป
บทที่ 585 ตำหนักขบถจันทร์แสนรูป
ในศาลเจ้า เสี้ยวขณะที่มือของสวี่ชิงสัมผัสกับประตูใหญ่ เขาก็สั่นสะท้านไปทั้งร่าง
เจตจำนงยิ่งใหญ่ที่เคยปรากฏขึ้นหลายครั้ง แผ่จากประตูศาลเจ้าปกคลุมจิตใจของเขาในพริบตา
ไม่ให้โอกาสเขาได้ตอบสนองและถอยหนี เจตจำนงนี้ดุจมหาสมุทร อัดแน่นเข้ามาในสมองสวี่ชิงชั่วพริบตานั้น กลืนตัวตนทั้งหมดของเขา จากนั้นก็แปรเป็นความเจ็บปวดระแล้วระลอกเล่า
ความเจ็บปวดนี้แผ่ซ่านไปในเลือดเนื้อทุกอณูทั่วร่าง ปะทุออกมาจากกระดูกทุกชิ้น พัดกวาดไปราวพายุคลั่ง
ดั่งมีคมมีดนับไม่ถ้วนเฉือนเลือดเนื้อของเขาทีละชิ้น ยิ่งขูดกระดูกของเขาไปมา
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกะทันหัน ทำให้สวี่ชิงใจสั่นสะท้าน และพริบตาต่อมา ความเจ็บปวดนี้ก็เปลี่ยนแปลงไป แต่ไม่ได้อ่อนกำลังลง ทว่ากลับยิ่งรุนแรงขึ้น
กลายเป็นเปลวเพลิง แผดเผาไปทั่วสารพางค์กาย
จากนั้นเปลวไฟก็มอดดับไป ไม่ว่าจะร่างกายหรือว่าจิตวิญญาณเริ่มเน่าเปื่อย คล้ายจมลงไปในยมโลก ความเจ็บปวดเช่นนี้ต่อให้สวี่ชิงเคยบาดเจ็บสาหัสมามากมาย แต่ยังคงทำให้เขาสั่นสะท้านไปทั้งร่าง
แต่จะสลบไสลไปไม่ได้
ครู่ต่อมา ระหว่างที่เน่าเปื่อย ยังมีความเจ็บปวดจากการถูกฉีกทึ้งปรากฏขึ้น
ราวกับเขากำลังอยู่ในปากขนาดยักษ์ ร่างกายถูกกัดจนขาดทีละท่อน ถูกฟันบดเคี้ยวจนกลายเป็นเศษเนื้อ
และที่น่ากลัวที่สุด คือความเจ็บปวดทั้งหมดนี้ลุกลามไปเรื่อยๆ หลังจากไปจนถึงขีดสุดในตอนท้าย ก็กลายเป็นความทรมานยากจะพรรณนา
ทั้งที่เกิดขึ้นเพียงแค่ครู่เดียว ด้วยความเด็ดเดี่ยวหนักแน่นของสวี่ชิงก็ยังอดส่งเสียงอึกอักออกมาไม่ได้ ร่างกายสั่นเทิ้มรุนแรงจนทรงตัวไม่อยู่
กระทั่งผ่านไปสิบกว่าอึดใจ ทั้งหมดนี้ก็พลันหวนกลับ ความเจ็บปวดทั้งหมดมลายหายไป
มีเพียงเหงื่อที่ยังไหลซึมออกมานอกรอยร้าวของรูปปั้น หยดลงบนพื้นทีละหยด ซึมลงไปจนกลายเป็นรอยสีน้ำตาลเป็นดวงๆ
สวี่ชิงลมหายใจหอบถี่ จิตเทพที่ยิ่งใหญ่อัดแน่นเต็มสมอง เสียงเลื่อนลอยสะท้อนก้องเนิ่นนานไม่หายไป
“นี่คือยามที่คำสาปชื่อหมู่ปะทุขึ้นมา ความเจ็บปวดที่เจ้าต้องแบกรับในอนาคต ก็คือความทุกข์ทรมานที่สรรพชีวิตของดินแดนนี้ต้องแบกรับ
“นี่คือการทดสอบหัวข้อที่สาม เจ้าไม่ต้องทำให้เสร็จสิ้น แค่เจ้าต้องได้รับประสบการณ์จากความเจ็บปวดของคำสาปอย่างลึกซึ้ง
“แล้วอนาคต เจ้าอยากจะเป็นเช่นนี้หรือไม่
“หากไม่ แล้วเจ้าคิดจะดิ้นรนต่อต้าน จงเปิดประตูบานนี้ พวกเรายินดีต้อนรับเข้าร่วมตำหนักขบถจันทร์!”
จิตเทพหายไป
ทั้งหมดล้วนเป็นภาพมายา
สวี่ชิงเงยหน้าขึ้น ในที่สุดเขาก็รู้ว่าการทดสอบหัวข้อที่สามคืออะไร
“ทำให้ผู้เข้าร่วมทุกคนได้สัมผัสถึงความเจ็บปวดในการปะทุของคำสาปล่วงหน้า จากนั้นก็ยึดมั่นตั้งใจขบถจันทร์”
สวี่ชิงพึมพำ แต่ไม่นานนักเขาก็ตกตะลึง
‘หากนี่คือการทดสอบหัวข้อที่สาม เช่นนั้นการทดสอบที่ข้าเบิกเส้นทางมาก่อนหน้านี้ มันคือการทดสอบใด”
สวี่ชิงสงสัย สีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย หันหน้ากลับไปมองแท่นบูชาผาดหนึ่ง เงียบนิ่งไป
ครู่ต่อมา ดวงตาสวี่ชิงก็เปล่งประกาย ไม่คิดถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นอีก ยกมือออกแรงผลักประตูไม้ศาลเจ้าตรงหน้า
เสียงเอี๊ยดแฝงความเนิ่นนานและความเก่าแก่โบราณดังก้องข้างหูสวี่ชิง ประตูศาลเจ้าก็ค่อยๆ เปิดออก
โลกมหัศจรรย์ใบหนึ่ง ปรากฏขึ้นในครรลองสายตาสวี่ชิง
ท้องฟ้าสีฟ้าที่ไม่เห็นมานาน แสงตะวันสาดส่องบนฟากฟ้า และรอบๆ เป็นภาพที่เกิดจากแสงส่องสว่างทั้งหมด
กลิ่นหอมสดชื่นทะลักเข้ามาในจมูกของสวี่ชิง แสงอ่อนโยนสะท้อนเข้ามาในดวงตาทั้งคู่ของเขา
เมื่อเทียบกับความขมุกขมัวของแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ทำให้ในแวบแรกสวี่ชิงรู้สึกว่าที่นี่ราวกับเป็นสวนดอกท้อของโลกภายนอก
ขนาดสวี่ชิงที่เป็นผู้มาจากภายนอกยังรู้สึกเช่นนี้ จินตนาการได้ถึงความสั่นสะเทือนยามสรรพชีวิตที่อยู่ที่นี่มาทั้งชีวิตเหล่านั้นได้เห็นทั้งหมดนี้
ในใจสวี่ชิงโหมระลอกคลื่น สาวเท้าเดินออกจากศาลเจ้า เบื้องหน้าเขาเป็นกระถางธูปสัมฤทธิ์ที่สนิมเกรอะใบหนึ่ง และตำแหน่งที่ศาลเจ้าตั้งอยู่ก็เป็นยอดเขาแห่งหนึ่ง
โลกใบนี้ มียอดเขาเพียงยอดเดียว
ภูเขานี้กว้างใหญ่ไพศาล มีศาลเจ้าสร้างอยู่นับไม่ถ้วน บ้างสีดำ บ้างเปล่งแสงแวววาว แต่ทุกๆ ศาลเจ้า ล้วนแผ่ความเก่าแก่โบราณออกมาทั้งสิ้น
“ที่นี่ น่าจะเป็นตำหนักขบถจันทร์”
สวี่ชิงเงยหน้าขึ้นมองด้านบนจากตีนเขา อดรู้สึกเล็กจ้อยกำลังผุดขึ้นมาไม่ได้
เขามองภูเขายักษ์ลูกนี้ บนท้องฟ้ายังมีศาลเจ้าขนาดใหญ่ยิ่งกว่าลอยอยู่เก้าแห่ง
พวกมันอยู่สูงลิบ แผ่พลานุภาพที่ยิ่งใหญ่ออกมา ห้าแห่งในนี้เปล่งแสงเจิดจ้า มองเห็นเทวรูปอันเป็นนิมิตมงคลด้านในเลาๆ
ที่เหลืออีกสี่แห่งหมองหม่นไร้แสง ด้านในไม่มีเทวรูป
ส่วนด้านบนศาลเจ้าทั้งเก้า ก็คือดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงสว่างให้กับทุกสรรพสิ่งในนี้ แต่เมื่อมองอย่างละเอียดจะเห็นว่า ในดวงอาทิตย์นั้น ยังมีศาลเจ้าอยู่อีกแห่ง
เพียงแต่ประตูใหญ่นั้นปิดสนิท
ทั้งๆ ที่สร้างอยู่บนดวงอาทิตย์ แต่ตอนที่สวี่ชิงเห็นศาลเจ้านี้ เขากลับเกิดความรู้สึกทางสัญชาตญาณ ว่าศาลเจ้านี้…ตายไปแล้ว ด้านในไม่มีเทพอยู่
หรือพูดให้ถูกคือ ด้านในไม่มีผู้อาศัยอยู่!
นอกจากนี้ สวี่ชิงยังเห็นรูปปั้นที่เหมือนกับตัวเองอีกหลายรูป เข้าๆ ออกๆ ศาลเจ้านับไม่ถ้วนในภูเขายักษ์ลูกนี้ สัญจรไปมา บางครั้งก็พูดคุยกัน
ขณะที่คึกคัก ก็ทำให้สวี่ชิงรู้สึกขึ้นมารางๆ ว่าเหมือนมาถึงแคว้นของเทพเจ้า
กระทั่งทำให้เขาเกิดความคิดที่เหนือความคาดหมายขึ้นมาอย่างหนึ่ง หันหน้ากลับไปมองศาลเจ้าด้านหลังตนเองด้วยสัญชาตญาณ
“เหมือนว่าโลกที่ข้าอยู่ เป็นเพียง…ในศาลเจ้านี้”
สวี่ชิงส่ายหน้า ปัดความคิดนี้ทิ้งไป เขารู้ว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ จึงควบคุมร่างเทวรูปลอยขึ้นฟ้า ไปสำรวจตำหนักขบถจันทร์ให้ละเอียดยิ่งขึ้น
เวลาไหลผ่านไป ด้วยความระมัดระวังรวมถึงการสำรวจของสวี่ชิง ในที่สุดเขาก็เข้าใจเรื่องพื้นฐานของตำหนักขบถจันทร์บางส่วนแล้ว
ศาลเจ้าที่หม่นหมองในนี้เป็นตัวแทนว่าไม่มีคนอยู่ ไม่เปิดออก และเข้าไปไม่ได้
ที่เปล่งแสงวูบวาบบ่งบอกว่าด้านในมีจิตวิญญาณ ต่อให้เจ้านายไม่อยู่ แต่ขอแค่ไม่จำกัดเอาไว้ เทวรูปอื่นๆ ก็สามารถเข้าออกได้อย่างอิสระ
แทบทุกศาลเจ้ามีกลุ่มแสงจำนวนไม่เท่ากันลอยอยู่ และในทุกกลุ่มแสงก็แฝงข้อมูลที่แลกเปลี่ยนเอาไว้
‘ประโยชน์แรกของตำหนักขบถจันทร์นี้ คือการแลกเปลี่ยนกันหรือ’
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด เดินเข้าไปดูในศาลเจ้าแต่ละแห่ง ยืนยันได้ถึงจุดนี้
และด้านนอกทุกศาลเจ้าล้วนมีกระถางธูปสัมฤทธิ์ตั้งอยู่ มีทั้งที่ด้านในว่างเปล่า มีทั้งที่มีธูปปักอยู่ ควันธูปขโมง ทำให้รู้สึกเจริญรุ่งเรือง
สวี่ชิงค่อนข้างรู้สึกสงสัยกับเรื่องนี้ เขาไม่รู้ว่าธูปในกระถางธูปสัมฤทธิ์พวกนี้ปรากฏขึ้นได้อย่างไร
เขาสังเกตอยู่นาน จนพบว่าทุกครั้งที่มีรูปปั้นเข้าไปในศาลเจ้าอื่น หลังจากแลกเปลี่ยนสำเร็จ ธูปในกระถางธูปสัมฤทธิ์ศาลเจ้านั้นก็เปลี่ยนจำนวน
บางครั้งก็น้อยลงหนึ่งดอก บางครั้งก็เพิ่มขึ้นหนึ่งดอก
‘รู้สึกเหมือนเป็นคำสรรเสริญเลย…’ สวี่ชิงครุ่นคิด เมื่อมองอีกศาลเจ้าแต่ละแห่งอีกครั้ง เขาก็รู้สึกว่าเหมือนจะเป็นร้านรวงหลายร้าน
ระหว่างที่สวี่ชิงครุ่นคิดก็ค้นหาอีกรอบ สุดท้ายก็สัมผัสได้จากกลุ่มแสงในศาลเจ้าแห่งหนึ่ง รู้ว่าเจ้าของศาลเจ้านี้ต้องการแลกเปลี่ยนพวกลูกกลอนพิษ สิ่งที่ใช้แลกเปลี่ยนเป็นพวกสมุนไพรล้ำค่า
ในนั้นมีอยู่หลายต้น หลังจากสวี่ชิงเห็นก็หวั่นไหว เขารู้สึกว่าคนผู้นี้น่าจะเป็นปรมาจารย์วิถีลูกกลอนที่ไม่ธรรมดา ขณะที่กำลังสำรวจ จู่ๆ รูปปั้นบนแท่นบูชาของศาลเจ้านี้ก็ขยับ ลืมตาขึ้นมองมาทางสวี่ชิง ส่งเสียงเยือกเย็นออกมา
“มองอยู่นานแล้ว ถ้าไม่แลกเปลี่ยนก็เชิญออกไปเถิด”
สวี่ชิงครุ่นคิด ถามขึ้นมาประโยคหนึ่ง
“ไม่ทราบสหายเต๋าต้องการลูกกลอนพิษประเภทใดหรือ”
รูปปั้นเหลือบมองสวี่ชิงผาดหนึ่ง เอ่ยเสียงเรียบ
“ข้าฝึกบำเพ็ญร้อยพิษมิกล้ำกราย ลูกกลอนพิษชนิดใดก็ล้วนต้องการทั้งสิ้น”
สวี่ชิงครุ่นคิด ล้วงลูกกลอนพิษของตนออกมาเม็ดหนึ่งแล้วเอ่ยเตือน
“คุณสมบัติยาลูกกลอนพิษของข้าค่อนข้างประหลาด ตอนที่สหายเต๋าใช้ควรทดลองทีละน้อย”
รูปปั้นหัวเราะเยือกเย็น แอบคิดในใจว่าข้ากินพิษมาหลายปี เมื่อก่อนก็เคยเจอการเตือนเช่นนี้ แต่ส่วนใหญ่ล้วนธรรมดาสามัญ ยามนี้สัมผัสรอบหนึ่ง รู้สึกว่าลูกกลอนนี้พอใช้ได้ จึงสิ้นสุดการแลกเปลี่ยน
ไม่นานนัก สมุนไพรต้นหนึ่งที่สวี่ชิงต้องการในกลุ่มแสง ก็ปรากฏขึ้น ร่วงลงมาในมือสวี่ชิง พริบตาต่อมาในสมองเขาก็ปรากฏคลื่นพลังเบาบาง
คลื่นพลังนี้แฝงจิตเทพที่เรียบง่ายเอาไว้ เขาเลือกที่จะไม่พอใจหรือพอใจก็ได้
หลังจากสวี่ชิงเลือกพอใจ ในกระถางธูปสัมฤทธิ์ด้านนอกศาลเจ้า ก็มีธูปเพิ่มขึ้นอีกดอก
‘อย่างนี้นี่เอง’
สวี่ชิงรู้สึกสนใจ ออกมาจากศาลเจ้านี้ ก่อนจะออกมาเขามองไปทางรูปปั้น เอ่ยกำชับอีกครั้ง
“สหายเต๋าต้องระมัดระวัง ตอนแรกขอแค่แตะผงทดลองดูก่อน ทางที่ดีอย่ากลืนลงไปในคำเดียว”
“เจ้าไปเถอะ” รูปปั้นขมวดคิ้ว เริ่มหมดความอดทน เอ่ยอย่างเย็นชา
สวี่ชิงเห็นอีกฝ่ายมั่นใจถึงเพียงนี้ แอบคิดว่าเหนือฟ้าก็ยังมีฟ้า ตนอาจจะตื้นเขินเกินไป จึงไม่เอ่ยเตือนอีก หันหลังจากไป
เดินอยู่ระหว่างฟ้าดินของตำหนักขบถจันทร์ สวี่ชิงมองไปรอบๆ เขารู้สึกว่าตำหนักขบถจันทร์แห่งนี้ไม่ค่อยเหมือนกับที่ตนจินตนาการไว้ นอกจากนี้ยิ่งเขาเข้าศาลเจ้ามากขึ้น ก็ได้รู้จักกับที่แห่งนี้มากขึ้นเช่นกัน
การแลกเปลี่ยนที่นี่ไม่ได้มีแค่สิ่งของ แต่ยังมีข่าวสาร ทั้งยังมีการขอความช่วยเหลือรวมถึงประกาศจับ…มากมายเต็มไปหมด ครบวงจร
สำหรับพวกข้อมูลค้นคว้าคำสาป ก็มีเช่นกัน
สิ่งของในนี้ก็ดึงดูดความสนใจของสวี่ชิงเช่นกัน เพราะมันล้ำค่าอย่างยิ่ง
นั่นก็คือลูกกลอนบรรเทาทุกข์!
สำหรับลูกกลอนบรรเทาทุกข์ สวี่ชิงรู้จักหลังจากที่สำนักบุปผาหยินหยางประกาศจับตนกับศิษย์พี่ใหญ่ รู้มูลค่าและประโยชน์ของลูกกลอนนี้ดี แต่ก็ยังถูกราคาของมันทำให้สั่นสะท้าน
ลูกกลอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่หินวิญญาณจะซื้อได้ ยิ่งไปกว่านั้นจำนวนก็มีอยู่น้อยมาก ทุกเม็ดต้องใช้สมบัติสิ่งล้ำค่าแลกเปลี่ยน ไม่ก็ต้องทำภารกิจที่อีกฝ่ายกำหนดให้สำเร็จ
และในบรรดาสมบัติสิ่งล้ำค่า สวี่ชิงเห็นผลึกเพลิงสวรรค์สีแดง ส่วนจำนวนในการแลกเปลี่ยนคือยี่สิบเม็ด!
สวี่ชิงมีผลึกเพลิงสวรรค์สีแดง เขารู้ของสิ่งนี้หายากเพียงใด ยี่สิบเม็ดโดยพื้นฐานแล้วสามารถทำให้เผ่าหนึ่งสิ้นสุดการเซ่นไหว้พระจันทร์สีชาดได้ในครั้งหนึ่งเลยทีเดียว
ส่วนภารกิจ ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับสมบัติวิญญาณ เช่นสังหารผู้แข็งแกร่งสมบัติวิญญาณที่กำหนด นำจิตวิญญาณมาแลก
และยังมีบางส่วนที่ต้องการให้เขียนพันธสัญญาจำนองจิตวิญญาณ เพื่อให้อีกฝ่ายอุทิศทรัพย์สมบัติออกมามากพอ
สวี่ชิงตรวจสอบอยู่นาน หลังจากซื้อข้อมูลคำสาปจากในศาลเจ้าหลายแห่ง สุดท้ายก็กลับมายังศาลเจ้าที่อยู่ตีนเขาของตนเอง ระหว่างทางเขาก็เจอกับเพื่อนบ้านอีกหลายตน
รูปปั้นในศาลเจ้าใกล้ๆ เหล่านั้น ตอนที่เห็นสวี่ชิง สายตาแต่ละคนแฝงแววประหลาดใจ โดยเฉพาะศาลเจ้าเพื่อนบ้านที่ติดกัน ตอนที่สวี่ชิงกลับมา มีรูปปั้นที่แผ่แสงสีส้มออกมารูปหนึ่ง
รูปปั้นนี้ดูเป็นชายฉกรรจ์ผู้หนึ่ง ไม่สวมเสื้อผ้าท่อนบน บนร่างยังมีแถบหลากสีที่ทำจากหิน ท่าทางองอาจมาก ส่งจ้องสวี่ชิงอย่างโมโห แฝงความไม่พอใจอย่างรุนแรงไว้
สวี่ชิงสัมผัสจุดนี้ได้ก็ระวังตัว กลับไปอยู่บนแท่นบูชาในศาลเจ้าอย่างรวดเร็ว เสี้ยวขณะที่หลับตา เขาก็ปรากฏตัวขึ้นในห้องด้านหลังร้านยา
เมื่อสังเกตเห็นว่ารอบๆ เป็นปกติ ดวงตาสวี่ชิงเปล่งประกาย ย้อนนึกถึงเรื่องในตำหนักขบถจันทร์ทีละฉาก เขารู้สึกแปลกใจ ครู่ต่อมา สวี่ชิงก็ล้วงแผ่นหยกคำสาปที่แลกเปลี่ยนไว้ออกมา ผสานสัมผัสเทพเข้าไป
ขณะเดียวกัน ในตำหนักขบถจันทร์ หลังจากที่สวี่ชิงจากไป รูปปั้นกำยำไม่สวมเสื้อผ้าท่อนบน ก็มองศาลเจ้าของสวี่ชิงแล้วแค่นเสียง
“นึกว่าเป็นพวกโหดเหี้ยมอะไร ส่งเสียงอึกทึกไม่หยุดมาเดือนกว่า ทำเหมือนแข็งแกร่งเหลือเกิน รบกวนความสงบของข้า!”
ขณะเดียวกัน ในศาลเจ้าเล็กๆ อีกด้านหนึ่งของตีนเขา ประตูใหญ่ก็เปิดดังเอี๊ยด รูปปั้นผอมแห้งที่มือข้างหนึ่งถือขวดล้ำค่า ใบหน้ามืดมน มีดวงตาหกดวงก็เดินออกมา
บนไหล่ทั้งสองของรูปปั้นนี้แต่ละข้างมีนกเทพตัวหนึ่งยืนอยู่ ดูไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง หลังจากเดินออกมา รูปปั้นก็กางแขน สีหน้าแฝงความลำพอง เอ่ยอย่างได้ใจ
“อาชิงน้อย ใช่ว่าศิษย์พี่ใหญ่จงใจไปสาย แต่เพราะศิษย์พี่ใหญ่อย่างข้ายอดเยี่ยมเกินไป ทำเรื่องเล็กๆ ไปครึ่งหนึ่ง ก็ได้รับคุณสมบัติเข้ามาในตำหนักขบถจันทร์นี้แล้ว เฮ้อ เก่งเกินไปแล้ว ไม่มีทางเลือก เช่นนั้นก็เก่งเช่นนี้ต่อไปแล้วกัน
“อีกทั้งระดับความยากของการทดสอบ ด้วยสภาพการณ์ของอาชิงน้อย เขาน่าจะเข้ามาไม่ได้ น่าเสียดาย ทิวทัศน์ที่นี่ก็มีเพียงข้าที่เพลิดเพลินอยู่เพียงลำพัง
“แล้วก็เจ้านกโง่ตัวนั้น ไม่รู้ว่ามันบินไปถึงเทือกเขาทนทุกข์แล้วหรือยัง อย่าส่งเสียงดังระหว่างทางเล่า…”