ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 586 แกว้ก…เจ้ามีพิษ! (1)
บทที่ 586 แกว้ก…เจ้ามีพิษ! (1)
กลางดึก ฟ้าดินมืดมิดไปหมด มีเพียงในทุกๆ แห่งของเมืองดินเทือกเขาทนทุกข์จะมีแสงตะเกียงประปรายสลัวรางเลือนท่ามกลางสายลมอยู่บ้าง
เสียงลมหวีดหวิวพัดไม่หยุด มีบ้างที่มีลมถูกพัดหอบม้วนอยู่ในเมืองดิน
แม้ลมทรายที่พัดมายังเทือกเขาจะมีไม่มาก แต่เมื่อกระทบกับประตูก็ยังส่งเสียงแซ่กๆ มา มีบ้างที่ได้ยินแล้วรู้สึกใจไม่ค่อยดี แต่ฟังไปนานๆ ก็คุ้นเคย
อย่างน้อยๆ สำหรับสวี่ชิงก็เป็นเช่นนี้ สายลมพัดอย่างรวดเร็วกรีดหวีดข้างนอก ในเกือบครึ่งปีนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว ตอนนี้ประสาทสัมผัสเทพของเขาดึงกลับมาจากแผ่นหยกคำสาป ในดวงตาฉายประกายประหลาด
นับจากที่กลับมาจากตำหนักขบถจันทร์ก็ผ่านไปสามวันแล้ว ในสามวันนี้สวี่ชิงวิเคราะห์ข้อมูลคำสาปพวกนั้นอยู่ตลอด ตอนนี้ในที่สุดก็วิเคราะห์ทั้งหมดเสร็จ
“การศึกษาค้นคว้าคำสาปของคนตำหนักขบถจันทร์ลงลึกถึงรายละเอียดได้ถึงขั้นนี้เชียว”
สวี่ชิงพึมพำ เขารู้สึกว่าข้อมูลคำสาปที่ตนใช้ลูกกลอนพิษและหินวิญญาณพวกนั้นแลกมาคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง
ข้อมูลเหล่านี้ค่อนข้างครบถ้วนทุกด้าน เห็นได้ชัดว่าไม่ได้สำเร็จได้แค่คนรุ่นเดียว น่าจะสืบทอดมาอย่างยาวนาน รวมการทดลองต่างๆ นานาของคำสาปและการคาดเดามากมาย
‘มีคนผ่านจากการทดลองมากมายหลายครั้งยืนยันว่าคำสาปนี้มีชีวิต…
‘และยังมีคนหลังจากที่ทำการทดลองไปร้อยกว่าเผ่าก็พบว่า คำสาปของแต่ละเผ่ามีรายละเอียดที่แตกต่างกันออกไป เหมือนว่ามีบางเผ่าที่นับแต่เกิดมาคำสาปก็น้อยมาก แต่จากการหมุนผ่านไปของเวลาก็ค่อยๆ สะสมเพิ่มขึ้น
‘ยังมีคนของตำหนักขบถจันทร์ทำการศึกษาค้นคว้าการเปลี่ยนแปลงการปะทุของคำสาป จัดระเบียบได้เป็นปฏิกิริยาที่แตกต่างกันไปได้ทั้งหมดหนึ่งร้อยสามสิบเจ็ดประเภท เหมือนว่าแต่ละเผ่าในเสี้ยวขณะที่ปะทุ รายละเอียดล้วนแตกต่างกันไป
‘คำสาปนี้ตามแต่เผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกันไป สามารถสร้างความทรมานให้กับเผ่านั้นๆ โดยเฉพาะ ยกตัวอย่างเช่นเผ่าสะกดอาทิตย์ เกิดมาก็สูญเสียความเจ็บปวดทางด้านกายเนื้อ เช่นนั้นคำสาปปะทุในเผ่าของพวกเขาก็จะเป็นที่จิตวิญญาณ
‘และยังมีอีกทฤษฎีหนึ่งที่ตำหนักขบถจันทร์ค้นคว้าออกมา นั่นก็คือ…คำสาปของแต่ละเผ่าสามารถผสมกันได้
‘สรรพชีวิตทั้งหลายในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา คำสาปในร่างของพวกเขาไม่ได้เป็นเหมือนเดิมอยู่ตลอดและไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง คำสาปในร่างของแต่ละเผ่าสามารถผ่านวิธีการดื่มหรือสายเลือดทับซ้อนและส่งผลกระทบซึ่งกันและกันได้’
ดวงตาสวี่ชิงเป็นประกาย วิธีนี้ทำให้เขาได้แนวคิดมากมาย ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดเลยว่าคำสาปจะถูกเอามาใช้เช่นนี้ได้ด้วย
ยกตัวอย่างเช่นมีคนนำคำสาปหลังจากปะทุแล้ว ที่หลักๆ ส่งผลต่อจิตวิญญาณ ผสมกับเผ่าที่ไม่กลัวจิตวิญญาณจะได้รับความเสียหาย จากนั้นคำสาปของเผ่าพันธุ์นี้ก็จะถูกผสม นับจากนั้นในพริบตาที่คำสาปปะทุก็จะลดความทรมานน้อยลง
‘คำสาปที่แตกต่างกันไปของแต่ละเผ่าก็จะเกิดการแทนที่ผสมผสานกันและกันด้วยเหตุนี้เอง…นี่ก็คือหลักการของลูกกลอนบรรเทาทุกข์’
สวี่ชิงก้มหน้า หยิบแผ่นหยกที่บันทึกข้อมูลคำสาปมากมายข้างหน้ามาแผ่นหนึ่ง วิธีที่บันทึกในแผ่นหยกแผ่นนี้ก็คือวิธีนี้ ส่วนสวี่ชิงในที่สุดก็รู้แล้วว่าทำไมลูกกลอนบรรเทาทุกข์ถึงได้มีราคาสูงถึงเพียงนี้ อีกทั้งมีจำนวนน้อยยิ่งนัก
‘ลูกกลอนบรรเทาทุกข์ทุกเม็ดล้วนต้องรวมลักษณะเฉพาะของหลายๆ เผ่าเอาไว้ ทำการหักล้างทุกด้านจากการนั้น ทำให้คำสาปของผู้ที่คำสาปปะทุขึ้นมาทุเลาลง
‘นอกจากนี้ หากระดับขั้นยิ่งสูง ก็จะต้องมีปรมาจารย์ลูกกลอนหลอมให้โดยเฉพาะ ทำการปรุงยาตามลักษณะเฉพาะของเผ่าผู้ใช้ลูกกลอน
‘ซึ่งก็หมายความว่าความจริงแล้วลูกกลอนบรรเทาทุกข์ก็คือลูกกลอนคำสาปที่ผสมผสานพลังคำสาปของหลายๆ เผ่าเอาไว้ แต่ว่าในส่วนของรายละเอียด ต้องผสมปรุงและขบคิดอีกมาก ทำให้หลังจากที่คำสาปผสมแล้วไม่เพิ่มพลังไปมากกว่านั้น แต่ทำการหักล้างพลังกันเอง
‘ใช้คำสาปต้านทานคำสาป เปลี่ยนการส่งเสริมซึ่งกันและกันให้เป็นการข่มซึ่งกันและกัน’
สวี่ชิงทอดถอนใจ เขารู้ว่าข้อมูลพวกนี้ที่ได้รับ เป็นเพียงแค่มุมเดียวของภูเขาน้ำแข็งที่ตำหนักขบถจันทร์ได้รับจากการศึกษาค้นคว้าคำสาป แต่ต่อให้เขาได้มาแต่มุมเดียวก็สามารถสัมผัสได้ถึงสติปัญญาของผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์ได้อย่างลึกซึ้ง
‘ศึกษาค้นคว้าเช่นนี้ต่อไป บางทีในอนาคตอาจมีวันหนึ่งจริงๆ ที่พวกเขาสามารถหลอมลูกกลอนต้านทานการปะทุของคำสาปได้อย่างสมบูรณ์ เช่นนี้ก็มีความเป็นไปได้ที่จะหลบหนีไปจากแผ่นดินนี้’
’เงื่อนไขคือ…ชื่อหมู่ไม่ได้เปลี่ยนวิธีของคำสาป และการถ่ายทอดความรู้ก็ไม่ได้หายไปจากการทำลายในยามที่ชื่อหมู่มาเยือน’
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก หลังจากค้นคว้าศึกษาข้อมูลเหล่านี้เขาก็ตระหนักได้ว่าลูกกลอนบรรเทาทุกข์จะเป็นกุญแจไขความเข้าใจในคำสาปของตน
‘ข้ามีพลังต้นกำเนิดเดียวกับพระจันทร์สีชาด ในมุมหนึ่งตัวข้าสามารถใช้พลังนี้ปลดคำสาปได้ ตามทฤษฎี การประทานพรของข้าสามารถเพิ่มความรุนแรงของคำสาป และเป็นการทำลายแบบหนึ่งได้เช่นกัน
‘และก่อนหน้านี้ข้าเดินมาผิดทางแล้ว ข้าอยากกำจัดคำสาปในทีเดียว แต่ติดที่ขั้นของพระจันทร์สีม่วงของข้าไม่สูงพอ ดังนั้นระดับความยากจึงสูงมาก
เงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาฉายแววมุ่งมั่น
‘ข้าต้องการลูกกลอนแก้คำสาปเม็ดหนึ่งมาพิสูจน์การคาดเดาของข้า’
ไปพร้อมด้วยความคิดเช่นนี้ สวี่ชิงนำกระจกออกมา เข้าไปในตำหนักขบถจันทร์อีกครั้ง
เสี้ยวขณะต่อมา ณ ตีนเขาของเทือกเขาที่ตำนักขบถจันทร์ตั้งอยู่ ดวงตาทั้งสองของรูปสลักบนแท่นบูชาในศาลเจ้าเล็กๆ แห่งหนึ่งก็พลันลืมตื่นขึ้น
ไม่ได้เคลื่อนไหวอย่างบุ่มบ่าม สวี่ชิงยืนอยู่บนแท่นบูชาสัมผัสรอบๆ ครู่หนึ่ง มั่นใจว่าไม่มีปัญหาอะไร เขาก็ควบคุมร่างรูปสลักก้าวลงไปข้างหน้า
หลังจากลงมาที่พื้นเขาก็ขยับร่างกายครู่หนึ่ง และสำรวจว่ารูปสลักนี้มีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่
ยังคงเต็มไปด้วยรอยร้าวเช่นเคย รูปร่างหน้าตาก็เหมือนกับครั้งก่อน เป็นชายชราสวมชุดคลุมยาว หลังแบกน้ำเต้า
ทุกอย่างเป็นปกติ
สวี่ชิงถึงได้ผลักประตูศาลเจ้า เดินออกไป
ทอดสายตามองท้องฟ้าและแสงแดดสดใสสว่างจ้าที่นี่ ทั้งยังมีรูปสลักที่ผ่านไปผ่านมาเหล่านั้น เขาไม่ลังเล เข้าร่วมไปในนั้นทันที
ครั้งนี้เป้าหมายของเขาชัดเจนมาก หาลูกกลอนบรรเทาทุกข์ที่ตนสามารถแลกเปลี่ยนได้เม็ดหนึ่ง ระหว่างทางเขาผ่านศาลเจ้าที่แลกเปลี่ยนลูกกลอนพิษเมื่อสามวันก่อน ก็มองไปโดยสัญชาตญาณผาดหนึ่ง
ศาลเจ้านั้นแม้จะมีประกายแสง แต่เหมือนเจ้าของจะไม่ได้มา
สวี่ชิงไม่สนใจเท่าไร จากไปไกลอย่างรวดเร็ว หาไปทีละศาลๆ เพียงแต่ศาลเจ้าที่นี่มีจำนวนมากเหลือเกิน ไม่สามารถตรวจหาดูได้ในเวลาเพียงสั้นๆ ต่อให้เจอศาลเจ้าที่ขายลูกกลอนบรรเทาทุกข์ เงื่อนไขที่ต้องการสวี่ชิงก็ไม่อาจเติมเต็มให้ได้
ส่วนศาลเจ้าที่ตอนนั้นใช้ผลึกเพลิงสวรรค์สีแดงยี่สิบก้อนแลก สวี่ชิงเมื่อไปถึงก็พบว่าอีกฝ่ายไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ยุติการแลกเปลี่ยน ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้า
สวี่ชิงค่อนข้างเสียดาย หาอยู่นาน ทำได้เพียงแค่แลกเปลี่ยนข้อมูลคำสาปบางอย่างกับศาลเจ้าอื่นๆ จากนั้นก็จากไป
เวลาพ้นผ่าน ไม่นานสิบวันก็ผ่านไป
ในสิบวันนี้ สวี่ชิงนอกจากทำการซึมซับข้อมูล ศึกษาคำสาปอสูรร้ายแล้ว ทุกวันก็แทบจะใช้เวลาครึ่งหนึ่งจมอยู่ในตำหนักขบถจันทร์ ตามหาลูกกลอนบรรเทาทุกข์ที่ตนสามารถทำการแลกเปลี่ยนด้วยได้ต่อไป
ระหว่างนั้นเขาจับตามองศาลเจ้าที่ต้องการผลึกเพลิงสวรรค์นั่นอยู่หลายครั้ง ที่นั่นปิดอยู่ตลอด
ที่ไม่ออกมาปรากฏตัวเหมือนกันยังมีปรมาจารย์ที่ทำการแลกเปลี่ยนลูกกลอนพิษกับสวี่ชิงจะทำการฝึกฝนร้อยพิษมิกล้ำกรายคนนั้น เพียงแต่ ศาลเจ้าของปรมาจารย์คนนี้ไม่ได้ปิดอยู่ สามารถเข้าไปได้ แต่รูปสลักไร้จิตวิญญาณมาโดยตลอด
มีอยู่สองสามครั้งที่สวี่ชิงเข้าไป พบว่าแสงที่ลอยอยู่ในศาลเจ้า ข้อมูลแลกเปลี่ยนในนั้นไม่ได้เปลี่ยนให้เป็นปัจจุบันมานานมากแล้ว กระทั่งว่าสมุนไพรที่อยู่ในกลุ่มแสงบางอย่างก็ว่างเปล่า
เหมือนว่าหลังจากทำการแลกเปลี่ยนกับสวี่ชิงเสร็จ ปรมาจารย์คนนี้ก็ไม่ได้มาตำหนักขบถจันทร์อีกเลย
‘คงไม่ได้กินลูกกลอนพิษแล้วมีปัญหาหรอกกระมัง’ สวี่ชิงค่อนข้างประหลาดใจ แต่ที่มีมากกว่าคือความกระวนกระวาย อีกฝ่ายไม่ได้มีความแค้นอะไรกับเขา…
แต่สวี่ชิงก็เตือนเขาแล้วแท้ๆ
“น่าจะเป็นข้าที่คิดมากไป อย่างไรเสียคนที่ฝึกฝนร้อยพิษมิกล้ำกรายล้วนแต่เป็นผู้แข็งแกร่งทั้งสิ้น” สวี่ชิงพึมพำ รู้สึกว่าตัวเองคิดมากไปแล้ว ไม่แน่ว่าปรมาจารย์คนนั้นอาจจะไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นเพราะเรื่องอื่นก็ได้
สวี่ชิงจากไปพร้อมกับความคิดเช่นนี้
หลายวันหลังจากนั้นอีกฝ่ายก็ยังคงไม่ปรากฏตัวขึ้นมาเช่นเคย…
จนกระทั่งวันนี้ สวี่ชิงตามหาลูกกลอนบรรเทาทุกข์ต่อไป ในตอนที่เข้าๆ ออกๆ ไปในศาลเจ้าที่กะพริบแสงเจิดจ้าแต่ละแห่งๆ ทั้งตำหนักขบถจันทร์ก็พลันสั่นสะเทือนขึ้นมา
แสงเจิดจ้าแสบตาปะทุขึ้นบนท้องฟ้า ยิ่งมีระลอกคลื่นน่ากลัวกลุ่มหนึ่งแผ่ตามมา ปกคลุมไปทั่วทั้งเขาตำหนักขบถจันทร์
สวี่ชิงสัมผัสได้ เดินออกมาจากศาลเจ้า เงยหน้าขึ้น
ไม่ใช่แค่เขาที่ทำเช่นนี้ ตอนนี้รูปสลักในศาลเจ้าส่วนใหญ่ล้วนเดินออกมามองไปทางท้องฟ้า
เห็นเพียงบนท้องฟ้า ศาลเจ้าเก่าแก่ทั้งเก้าใต้ดวงอาทิตย์ ประตูศาลเจ้าหนึ่งในนั้นพลันเปิดออก ประกายแสงมหาศาลสาดออกมาจากในนั้น เงาร่างมหึมาร่างหนึ่งปรากฏในศาลเจ้า
การปรากฏขึ้นของมัน ทำให้ทั้งตำหนักขบถจันทร์สั่นคลอน นิมิตมงคลปรากฏบนท้องฟ้า ประกายแสงหมื่นจั้งแผ่ซ่าน
“คารวะรองเจ้าตำหนัก!”
เสียงที่แฝงไว้ด้วยความเคารพแต่ละเสียงดังออกมาจากรูปสลักแต่ละตนๆ หลังจากรวมเข้าด้วยกันก็แปรเปลี่ยนเป็นคลื่นเสียงลูกมหึมาแผ่ไปทั่วทั้งแปดทิศ
สวี่ชิงก็อยู่ในนั้นเช่นกัน ในใจพุ่งพล่าน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอผู้นำระดับสูงของตำหนักขบถจันทร์ แม้มีร่างรูปสลักขวางกั้น สัมผัสไม่ได้ถึงพลังบำเพ็ญที่แน่นอน แต่สามารถทำให้ตำหนักขบถจันทร์เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ แค่คิดก็สามารถรู้ได้ถึงพลังบำเพ็ญของรองเจ้าตำหนัก จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ในขณะเดียวกัน จากการเปิดออกของประตูใหญ่ศาลเจ้า จากการเดินออกมาของรูปสลัก ท่ามกลางประกายแสงเจิดจ้าไม่สิ้นสุด เสียงต่ำทุ้มราวอัสนีสวรรค์ก็ดังก้องไปทั่วสารทิศ
“ประกาศแจ้งกับผู้บำเพ็ญขบถจันทร์สามเรื่อง
“เรื่องแรก ทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว แต่ละแห่งล้วนมีผู้บำเพ็ญที่ไม่จำนนต่อชะตาชีวิตทยอยปรากฏตัวขึ้น ประกายไฟจะลุกลามทุ่งหญ้า!
“เรื่องที่สอง ภายใต้การลงมือของพวกข้าในครึ่งปีนี้ ได้ทำการทำลายสาขาย่อยตำหนักเทพพระพระจันทร์สีชาดสำเร็จไปห้าแห่ง สังหารทูตเทวะไปสิบเอ็ดตน ผู้รับใช้เทวะหลายสิบตน ทาสเทวะหลายร้อย!
“เรื่องที่สาม จากการยืนยันข้อมูล รัฐทายาทเจ้าเหนือหัวและองค์หญิงหมิงเหมยอาการบาดเจ็บฟื้นฟูแล้ว ทุกอย่างเรียบร้อยดี พวกข้ากำลังพยายามติดต่อกับพวกท่าน ทันทีที่ติดต่อสำเร็จ ตำหนักขบถจันทร์ของเราจะพบกับความรุ่งเรืองอีกครั้ง!
“ทุกท่าน พระจันทร์สีชาดหาใช่สิ่งนิจนิรันดร์!”
เสียงรูปสลักก้องกังวาน อารมณ์สะท้านสะเทือนเป็นระลอกๆ พวยพุ่งขึ้นในใจรูปสลักมากมาย กระทั่งว่าศาลเจ้าที่ปิดประตูจำนวนไม่น้อยต่างเปิดออก เจ้าของศาลเจ้าหวนคืนกลับมา
สุดท้ายรูปสลักทั้งหมดต่างโค้งคารวะท้องฟ้าจากใจ ปากพูดออกไปเป็นประโยคเดียวกันว่า
“ความหวังนั้นคงอยู่ตลอดกาล!”
ความดังของเสียงสะท้านสะเทือนเลื่อนลั่น ดังก้องชั้นเมฆ
เมล็ดพันธุ์ความหวังถูกปลูกอีกครั้ง
สวี่ชิงอยู่ในนั้น จ้องมองรูปสลักมหึมาในศาลเจ้าบนท้องฟ้าจากที่ไกลๆ สัมผัสได้อย่างรุนแรง และรูปสลักนั่นหลังจากที่ประกาศเรื่องเหล่านี้ก็ไม่พูดอะไรมาก กลับไปอีกครั้ง ประตูศาลเจ้าปิดลง
แม้เขาจะจากไป แต่ข้อมูลที่ประกาศออกมาได้กระจายออกไปจากที่นี่ด้วยความเร็วสูงสุด แพร่ไปทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด มองรูปสลักที่ตื่นเต้นแต่ละตนกำลังจะจากไป แต่สายตาก็พบว่าศาลเจ้าที่ต้องการผลึกเพลิงสวรรค์ที่ตนจับตามองอยู่นานก็เปิดประตูเช่นกัน
เขารีบเหาะไปทันที หลังจากก้าวเข้าไปก็สัมผัสกลุ่มแสงในนั้น หาการแลกเปลี่ยนลูกกลอนบรรเทาทุกข์ ไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น สวี่ชิงเอาผลึกเพลิงสวรรค์สีแดงออกมายี่สิบก้อน ทำการแลกเปลี่ยนสำเร็จ
ในชั่วขณะที่ได้ลูกกลอนบรรเทาทุกข์มา ในใจสวี่ชิงก็ไร้กังวล หันหลังจากไป
ตำหนักขบถจันทร์ในตอนนี้ จากการประกาศของรองเจ้าตำหนัก รูปสลักที่มาถึงทั้งหมดก็ต่างเลือกที่จะกลับมา เปลี่ยนมาคึกคักยิ่งนัก
กวาดสายตามองไป เหมือนเทพมารสวรรค์ทั้งหลายกำลังร่ายรำไปทั่วทุกทิศ
เพียงแต่ศาลเจ้าที่สวี่ชิงแลกเปลี่ยนลูกกลอนแห่งนั้นยังคงเหมือนเดิม…
สวี่ชิงไม่รู้ว่าควรพูดอะไร มองไปเงียบๆ ผาดหนึ่ง ก็กลับไปยังศาลเจ้าของตัวเองอย่างรวดเร็ว เลือกที่จะกลับไป
ในขณะเดียวกันนี้ ในทะเลทรายครามแสงพรายห้าสีเจิดจ้ากำลังเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ลมทรายสีครามข้างหลังมันตอนนี้ฉายสีขาวออกมารางๆ
เหมือนว่าลมครามกำลังเปลี่ยนไปเป็นลมขาว!
นกแก้วในนั้นตอนนี้สีหน้าแฝงด้วยความตื่นกลัว บินไปด้วย ก่นด่าไปด้วย
“นี่มันบ้าอะไรกัน ข้าก็แค่แอบอู้บินช้าไปนิดเดียว แล้วก็ขี้เป็นฟองๆ ในหลุมทรายดูดก็เท่านั้นเอง ทำไมลมถึงเปลี่ยนเป็นสีขาวเล่า!”
ท่ามกลางการหลบหนีอย่างตื่นกลัวของนกแก้ว ในขณะที่เคลื่อนย้ายในพริบตาหลายครั้ง พยายามที่จะหนีลมทรายที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีขาว ในเมืองดินเทือกเขาทนทุกข์ เงาร่างของสวี่ชิงปรากฏขึ้นที่ห้องด้านหลัง
เขานั่งลงขัดสมาธิ ในดวงตาฉายความวาดหวัง ยกมือเอาลูกกลอนบรรเทาทุกข์ที่แลกเปลี่ยนออกมา ตั้งสมาธิสังเกต
สีของลูกกลอนบรรเทาทุกข์พร่างพราย ปนไปด้วยสีสันต่างๆ ดูแล้วแปลกประหลาดนัก แต่ว่ากลิ่นอายคำสาปที่แผ่ออกมาจากในนั้นชัดเจนมาก
สวี่ชิงไม่ได้บุ่มบ่ามลงมือ ลูกกลอนบรรเทาทุกข์นี้ล้ำค่าเป็นอย่างมาก เขาไม่มีกำลังเหลือแลกเปลี่ยนเม็ดที่สองแล้ว ทำได้เพียงแค่พยายามศึกษาค้นคว้าเม็ดที่มีอยู่เพียงเม็ดเดียวนี้ให้สำเร็จเท่านั้น
เขาจึงมองมันก่อน สังเกตผิวชั้นนอกของลูกกลอนนี้อย่างละเอียด จากนั้นก็วางไว้ข้างหน้าแล้วดมครั้งแล้วครั้งเล่า ในดวงตาฉายแววครุ่นคิด ในใจวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว