ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 586-2 แกว้ก…เจ้ามีพิษ! (2)
บทที่ 586 แกว้ก…เจ้ามีพิษ! (2)
‘ไม่มีความรู้สึกว่าใช้สมุนไพรหลอมเป็นลูกกลอน
‘แต่คำสาปที่ผสานเอาไว้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ชนิดเดียว แต่รวมไว้ด้วยหลายชนิดจริงๆ…ส่วนประเด็นสำคัญคือองค์ประกอบในนั้น
‘นี่เป็นวัตถุที่ดูดซับพลังคำสาปได้ประเภทหนึ่ง’
สวี่ชิงวิเคราะห์ต่อ
‘ปริมาณของคำสาปทุกกลุ่มไม่เท่ากัน น่าจะมีพลังคำสาปของแต่ละเผ่าเป็นสมุนไพร แล้วเปลี่ยนเป็นตำรับยา
‘น่าสนใจ ทั้งๆ ที่คำสาปเหล่านี้มีต้นกำเนิดเดียวกัน แต่กลับมีการเปลี่ยนแปลงการปะทุที่แตกต่างกัน
‘แต่จะอย่างไรก็เป็นคำสาป แม้กินลงไปแล้วจะสามารถช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้ แต่ความจริงแล้วคำสาปไม่ได้ลดน้อยลงไป รังแต่จะเพิ่มมากขึ้น
‘โดยเฉพาะจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณคำสาปจะสร้างปฏิกิริยาลูกโซ่มากมาย ยกตัวอย่างเช่นการผลาญพลังชีวิตและการลดลงของพลังบำเพ็ญ…นี่ก็คือผลข้างเคียงของลูกกลอนบรรเทาทุกข์
‘ดื่มพิษดับกระหาย…’
สวี่ชิงสะท้อนใจ จากนั้นก็ยกมือซ้ายขึ้น พลังพระจันทร์สีม่วงในร่างหลอมรวมเส้นสีม่วงเป็นเส้นๆ
ประมาณหลายร้อยเส้นเห็นจะได้ หลังจากที่สะบัดพริ้วอยู่ข้างหน้าเขา จากความคิดของสวี่ชิงที่ขยับ เส้นสีม่วงเหล่านี้พุ่งตรงไปยังลูกกลอนบรรเทาทุกข์ทันที
ทะลวงไปอย่างรวดเร็ว ผสานไปในนั้น ทุกเส้นล้วนสัมผัสคำสาปต่างๆ ในลูกกลอนบรรเทาทุกข์ เริ่มทำการลอกเลียน
สำหรับคนอื่นแล้วนี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่พระจันทร์สีม่วงของสวี่ชิงมีต้นกำเนิดเดียวกับพระจันทร์สีชาด เช่นนั้นการเปลี่ยนแปลงที่พระจันทร์สีชาดทำได้ เขาก็ทำได้เช่นกัน
เพียงแต่ก่อนหน้านี้ไม่มีวัตถุอ้างอิง และขาดประสบการณ์ที่มากเพียงพอ แต่ตอนนี้คำตอบทุกอย่าง รวมถึงลูกกลอนบรรเทาทุกข์ในนั้นด้วย สำหรับสวี่ชิงแล้ว ก็เป็นแค่ประตูที่ไม่ได้ลงกลอนเท่านั้น
เวลาค่อยๆ ผ่านไปทีละน้อย สีหน้าของสวี่ชิงยิ่งจริงจังขึ้น เส้นสีม่วงที่เขาแผ่ออกมา ท่ามกลางการลอกเลียนแบบไม่หยุดนี้ก็ค่อยๆ ปรับแก้ เปลี่ยนไปตามคำสาปที่แตกต่างกัน
ระหว่างขั้นตอนทั้งหมดเขาระวังรอบคอบเป็นอย่างยิ่ง ควบคุมระลอกคลื่นพลังของเส้นทั้งหลายร้อยเอาไว้ พยายามไม่ให้คำสาปที่อยู่ในลูกกลอนปะทุ
จนกระทั่งหลังจากนั้นสามชั่วยาม ด้วยการควบคุมจากการตั้งสมาธิอย่างมั่นคงถึงเพียงนี้ แต่สุดท้ายก็เกิดช่องโหว่บางอย่างขึ้นอยู่ดี
เพียงพริบตาลูกกลอนบรรเทาทุกข์ที่ล้ำค่าเม็ดนี้ก็สั่นสะเทือน เสี้ยวขณะต่อมาคำสาปทั้งหมดก็เดือดพล่าน แล้วพลันแตกสลาย เถ้าสีดำไหลมาตามง่ามนิ้วสวี่ชิงหยดลงพื้น
สวี่ชิงไม่เสียดาย ดวงตาของเขาฉายประกายประหลาด เวลาสามชั่วยาม เขาก็ทำการลอกเลียนแบบพลังคำสาปเเผ่าต่างๆ สามร้อยกว่าประเภทที่อยู่ในลูกกลอนบรรเทาทุกข์เม็ดนี้เสร็จสิ้นทั้งหมด
ตอนนี้ก้มหน้ามองเถ้าสีดำบนพื้น สวี่ชิงร้องเอ๋เบาๆ หยิบขึ้นมากลุ่มหนึ่งไว้ข้างหน้า ยิ่งดูก็ยิ่งคุ้นตา
“นี่มัน…”
สายตาของสวี่ชิงฉายประกายวาบ เอาถุงออกมาใบหนึ่ง เทเถ้าสีดำที่อยู่ในนั้นออกมา หลังจากที่ทำการเปรียบเทียบแล้วเขาก็พบว่าทั้งสองฝ่ายเหมือนกันทุกประการ
เถ้าสีดำของสวี่ชิงเปลี่ยนมาจากร่างของอสูรร้ายที่สวี่ชิงศึกษาค้นคว้าคำสาปในร่างของพวกมันในยามที่คำสาปปะทุ ตอนนั้นเขาไม่คิดว่าเถ้าสีดำจะมีประโยชน์อะไร แต่ก็เก็บมันเอาไว้
ตอนนี้ดูไป นี่คือวัสดุที่เอาไว้ดูดซับคำสาป
‘ซึ่งก็หมายความว่าในลูกกลอนบรรเทาทุกข์ทุกเม็ด ความจริงแล้วล้วนใช้กระดูกของสิ่งมีชีวิตที่คำสาปปะทุตายมาเป็นองค์ประกอบพื้นฐาน’
สวี่ชิงครุ่นคิด หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาหยิบเถ้าดำกำหนึ่งขึ้นมา พลังพระจันทร์สีม่วงในร่างแผ่ซ่าน แปรเปลี่ยนเป็นเส้นหลายร้อยเส้น ผสานไปข้างในอย่างรวดเร็ว จากการศึกษาค้นคว้าของเขาก่อนหน้านี้ ก็ลอกเลียนคำสาปที่แตกต่างกันไปแต่ละกลุ่มๆ อย่างรวดเร็ว เคลือบไปบนขี้เถ้าสีดำ
ในขั้นตอนนี้ เถ้าดำกลุ่มนั้นเริ่มหดเล็กลง สีบนนั้นก็เปลี่ยนไปช้าๆ จวบจนในตอนที่แปรเปลี่ยนมามีสีสันพร่างพราย ขนาดก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
สวี่ชิงเพียงบีบ ลูกกลอนที่ไม่เป็นทรงเม็ดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือของเขา
ภายนอกดูแล้วไม่ต่างกับลูกกลอนบรรเทาทุกข์เท่าไร กลิ่นอายก็คล้ายกันทุกประการ แต่คุณสมบัติต่างกัน
‘หากเปรียบเทียบคำสาปพระจันทร์สีชาดเป็นกองทัพศัตรู เช่นนั้นสภาวะตอนนี้ของพลังพระจันทร์สีม่วงข้า ก็คือเปลี่ยนเสื้อผ้าและหน้าตาเป็นกองทัพศัตรู เช่นนี้แล้วกองทัพศัตรูก็ยากจะพบสิ่งผิดปกติ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ข้าแฝงตัวไปในนั้นได้สำเร็จ
‘ใช้วิธีนี้ปะทุในกองทัพศัตรูขึ้นโดยเฉียบพลัน ทำให้คำสาปไม่ทันจะได้กลืนกินก็ทำการหักล้างคำสาปลงไปเล็กน้อย’
ความคิดในสมองสวี่ชิงชัดเจน เอาอสูรทดลองออกมา นั่นเป็นแมงป่องตัวหนึ่ง หลังจากที่ปรากฏขึ้นร่างก็สั่นสะท้าน หางไม่กล้าที่จะชูขึ้นมา
สวี่ชิงมองผาดหนึ่ง แตะลูกกลอนในมือที่ริมปากมัน
“กิน”
สวี่ชิงเอ่ยราบเรียบ
แมงป่องไม่กล้าปฏิเสธ ทำได้เพียงกลืนลงไปอย่างว่าง่าย จากนั้นร่างก็ยิ่งสั่นสะท้านหนักขึ้น เวลาเพียงแค่สิบกว่าอึดใจ มันก็ส่งเสียงบึ้มระเบิดแหลก กลายเป็นเถ้าสีดำ
‘ลอกเลียนแบบไม่สำเร็จ’
สวี่ชิงขมวดคิ้ว หลังจากที่ย้อนนึกขั้นตอนการหลอมของตัวเองก่อนหน้านี้ เขาก็เอาเถ้าสีดำออกมาอีกครั้ง หลังจากที่ปรับอย่างละเอียดก็ทำการหลอมต่อ
เวลาผ่านไปทีละวัน การทดลองของสวี่ชิงก็ดำเนินไปอยู่ตลอด การล้มเหลวทุกครั้ง เขาล้วนทำการปรับ จนในที่สุด พลบค่ำของวันที่สิบวันนี้ ลูกกลอนของเขาก็ทำการลอกเลียนแบบได้สำเร็จ
อสูรร้ายที่กินลูกกลอนลงไปตัวนั้นตัวไม่ระเบิด กระทั่งว่าคำสาปในร่างยังสงบลง
ในใจสวี่ชิงเกิดระลอกคลื่นอารมณ์ มองลูกกลอนบรรเทาทุกข์ที่หลอมขึ้นในมือ นี่เป็นผลสำเร็จของการค้นคว้าศึกษาทีละเล็กทีละน้อยในครึ่งปีมานี้ของเขา
แม้เหตุจากทิศทางยังคงทำให้มีความแตกต่างกับลูกกลอนบรรเทาทุกข์อยู่บ้าง แต่สรรพคุณแตกต่างกันไม่มากเท่าไร
‘ทิศทางของลูกกลอนบรรเทาทุกข์คือบรรเทาความเจ็บปวดของคำสาป ทิศทางของข้า…คือกำจัดคำสาปโดยสิ้นเชิง บรรเทาความเจ็บปวดเป็นเพียงผลพลอยได้
‘ต่อให้ตอนนี้ยังทำไม่ได้ แต่วิธีนี้น่าจะไม่ผิด
‘นอกจากนี้ ต้องยกระดับพลังพระจันทร์สีม่วงของข้า…แล้วยังมีข้อมูลเกี่ยวกับคำสาปที่มากกว่านี้ก็ต้องรวบรวมมา เช่นนี้ถึงจะค่อยๆ สำเร็จสมบูรณ์’
สวี่ชิงสีหน้าวาดหวัง ขณะสะบัดมือกำลังจะหลอมลูกกลอนบรรเทาทุกข์ให้มากอีกสักหน่อย แต่เสี้ยวขณะต่อมาเขาก็พลันเงยหน้า สายตาฉายประกายเหี้ยมโหด มองไปยังโลกภายนอก
ร่างของเขาเพียงไหววูบก็หายไปจากห้องด้านหลัง ในยามที่ปรากฏตัวขึ้นก็มาอยู่ข้างโต๊ะรับแขกร้านยาแล้ว
หลิงเอ๋อร์กำลังจดบัญชีอย่างมีความสุข สัมผัสได้ว่าสวี่ชิงปรากฏตัวเช่นนี้ นางเปลี่ยนร่างเป็นสีขาวมุดเข้าไปในแขนเสื้อสวี่ชิงทันที
บรรพจารย์สำนักวัชระก็ฉายความดุดันออกมาทันที ในตอนที่จับเป้าหมายไปในทิศทางหนึ่ง สีหน้าสวี่ชิงก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย มองไปนอกหน้าต่าง
แสงพรายห้าสีทางหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศจากทางนั้น จากนั้นเพียงกะพริบวูบก็เข้ามาในร้านยา มาปรากฏอยู่ข้างๆ ต้นอ่อนน้อยที่สูงฉื่อกว่าๆ แล้ว
ต้นอ่อนน้อยที่ขยับไหวหยุดชะงักทันที ไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย แสงพรายห้าสีนั่นแปรเปลี่ยนเป็นนกแก้วตัวหนึ่ง เสียงหยิ่งทะนงดังออกมาจากปากมัน
“นกแก้วตัวหนึ่งปรากฏตัว บิดานับเป็นอะไรกัน รีบเรียกท่านพ่อท่านปู่โดยเร็วพลัน!”
พูดจบนกแก้วก็มองไปทางสวี่ชิง ยกเท้าสูงทำท่าทางมั่นอกมั่นใจ
“เฮ้ ไอ้ใครๆๆ คนนั้นน่ะ เฉินอะไรสักอย่างหนิวให้ข้ามาเรียกเจ้า ไปรีบจุดไฟอะไรนั่น”
“จุดไฟอะไร” สวี่ชิงรู้จักนกแก้วตัวนี้ ฟังคำของมันเขาก็ขมวดคิ้ว ฟังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก
“ข้าจะไปรู้ว่าไปจุดไฟบ้าอะไร อะไรสักอย่างหนิวนั่นให้ข้ามาเรียกเจ้าไปจุดไฟ จุดไฟๆ รีบไปจุดไฟ!”
นกแก้วเอ่ยอย่างหยิ่งยโส จากนั้นก็หันไปกัดต้นอ่อนคำหนึ่ง เคี้ยวหงุบหงับ
เจ้าต้นอ่อนน้อยสั่นสะท้าน ไม่กล้าหลบ
หลิงเอ๋อร์มุดออกมาจากปกเสื้อสวี่ชิง มองนกแก้วอย่างโมโห
“เจ้าหยุดนะ!”
นกแก้วกวาดตามองหลิงเอ๋อร์ แล้วมองไปทางสวี่ชิง จากนั้นก็เชิดหน้า ร่างทำท่าเป็นท่อนไม้ทีเด็ดประจำ ใช้จมูกมองคน ทำตัวหยิ่งยโสต่อไป
“ข้าไม่หยุด!”
บรรพจารย์สำนักวัชระพุ่งไปทันที แต่ในพริบตาที่เข้าไปใกล้ นกแก้วก็พลันหายไป เคลื่อนย้ายชั่วพริบตาไปยังอีกข้างของต้นอ่อน แล้วกัดไปอีกคำ
“ไม่ซะอย่าง!”
ความเร็วเช่นนี้ทำให้บรรพจารย์สำนักวัชระตกใจ ในตอนที่กำลังจะไล่ตามต่อไป นกแก้วก็กะพริบวูบวาบไม่หยุด เคลื่อนย้ายชั่วพริบตาไปรอบต้นอ่อนน้อย กัดคำแล้วคำเล่า
“ข้าไม่หยุด ไม่หยุด ไม่หยุดๆๆ!”
ในตอนที่นกแก้วกำลังได้ใจ จู่ๆ ร่างก็สั่นสะท้าน ดวงตาเล็กๆ เบิกโพลง กระอักเลือดสดๆ ออกมา
“ข้า…แกว้ก…”
“เจ้ามีพิษ!!”
มันมองต้นอ่อนน้อยอย่างโมโห เจ้าต้นอ่อนสั่นสะท้าน ส่วนนกแก้วตอนนี้กระอักเลือดแล้วกระอักเลือดอีก ร่างเริ่มเน่าเปื่อย มันก็สัมผัสได้แล้วเช่นกันว่าไม่ใช่ต้นอ่อนน้อยมีพิษ แต่เป็นรอบๆ ตัวมันมีพิษ ดังนั้นกำลังจะอ้าปาก แต่กลับหัวทิ่มลงมา หลังจากร่วงอยู่บนพื้น มองไปทางสวี่ชิงอย่างตื่นกลัว
ขณะเดียวกัน ต้นอ่อนน้อยถอนรากของตัวเองออกมาอย่างรวดเร็วแล้วพลันกระโดดลงมา กระทืบไปบนตัวนกแก้วอย่างบ้าคลั่งเพื่อแก้แค้น
นกแก้วครวญครางโหยหวน คิดอยากจะหนีแต่ก็ทำไม่ได้ ทำได้เพียงกลิ้งไปบนพื้นไม่หยุด จนกระทั่งบรรพจารย์สำนักวัชระปรากฏตัว นกแก้วไม่กล้าขยับแล้ว ในดวงตาหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง
ต้นอ่อนน้อยไม่กล้าทำต่อ คลานเนิบนาบกลับไป ปลูกตัวเองลงไปต่อ
สวี่ชิงใบหน้าไร้อารมณ์ นั่งลงข้างๆ ก้มหน้ามองนกแก้วที่ดิ้นรนอยู่บนพื้น
“ตอนนี้จะพูดจาดีๆ ได้แล้วใช่หรือไม่”
นกแก้วพยักหน้าอย่างรวดเร็ว ในที่สุดมันก็รู้แล้วว่าทำไมบิดาของตนปกติถึงได้กลัวคนที่อยู่ข้างหน้าคนนี้นัก คนคนนี้ไม่พูดจาด้วยเหตุผล คนกันเองยังวางยาพิษ
“อาจารย์ลุงสวี่ ท่านแก้พิษให้ข้าก่อนได้หรือไม่…” พูดจบ นกแก้วก็กระอักเลือดอีกครั้ง ลมหายใจรวยริน ร่างจะเน่าหมดแล้ว
สวี่ชิงสะบัดมือ พิษบนตัวนกแก้วสลายไปกว่าครึ่ง มันฮึกเหิมขึ้นมาทันที แต่หลังจากที่สายตาสวี่ชิงกวาดมา ร่างของมันก็สะท้านเฮือก รีบเปลี่ยนมาว่าง่ายเรียบร้อย
“ท่านอาจารย์ลุงสวี่ ข้าผิดไปแล้ว อาจารย์ลุงเอ้อร์หนิวให้ข้ามาเรียกท่านไปจุดไฟจริงๆ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจุดอะไร เหมือนว่าจะเกี่ยวกับดวงอาทิตย์”
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด มองนกแก้ว ความเร็วของอีกฝ่ายก่อนหน้านี้ทำให้เขาแปลกใจเล็กน้อย จึงถามขึ้นประโยคหนึ่ง
“เจ้ามีความสามารถอะไรบ้าง”
“ข้าเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาได้ ในบรรดาลูกของท่านพ่อข้า ข้าเร็วที่สุด อีกทั้งพลังเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาของข้าไม่ว่าจะสภาพแวดล้อมเลวร้ายเพียงใด หรือจะอยู่ในพื้นที่ผนึก ล้วนไม่มีผลกระทบ ก่อนหน้านี้บิดาข้าเจออันตรายล้วนเป็นข้าที่พาเขาเคลื่อนย้ายหนีไป สรุปแล้วข้า…เอ่อ ข้าน้อยล้วนเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาได้ทั้งนั้น”
นกแก้วพูดจบ ก็มองไปทางสวี่ชิงอย่างระมัดระวัง
สวี่ชิงพยักหน้า กำลังจะอ้าปาก แต่เสี้ยวขณะต่อมาใจของเขาก็สัมผัสอะไรได้ เดินไปข้างหน้าต่าง
ลม พัดมาจากปลายขอบฟ้ามายังเมืองดิน บ้านเรือนสั่นคลอน ประตูไม้ไหวโยก และพัดมาที่หน้าสวี่ชิง พัดเส้นผมเขาปลิวพริ้วเช่นกัน
ท้องฟ้าที่ไกลๆ ลมพายุเชื่อมต่อผืนฟ้า ลมทรายระลอกใหญ่แต่ละระลอกๆ ประดุจทะเลหมอก เดือดพล่านไม่หยุด แผ่ลามไม่หยุด สายฟ้าแต่ละทางๆ แลบแปลบปลาบในนั้น เสียงเลื่อนลั่นแต่ละทางๆ ดังก้องไปทั่ว
เหมือนมีเทพเจ้าอยู่ในนั้น ขับไล่ลมทรายเคลื่อนไปข้างหน้า ทุกที่ที่ผ่านฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมเมฆหอบม้วน
นั่นคือพายุทราย
และสีของมันก็เปลี่ยนจากสีครามอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งกลายเป็นสีขาวโดยสมบูรณ์
เสียงหวีดหวิวดังก้องวนเวียนอย่างรุนแรงเป็นอย่างยิ่งในเสี้ยวขณะนี้ คล้ายว่าท้องฟ้าโศกเศร้า ผืนดินกำลังร้องคร่ำครวญ จะฝังสรรพชีวิตทุกอย่าง ใช้ทุกสรรพสิ่งร่วมฝังไปด้วย
พลังกดดันที่น่ากลัวยิ่งกว่า จากการปรากฏขึ้นของพายุทรายสีขาว มาเยือนทั่วทั้งทะเลทราย
ลมทรายสีขาวมาถึงแล้ว
มันหอบม้วนผืนดิน ปกคลุมผืนฟ้า ส่งผลกระทบไปยังเทือกเขาทนทุกข์ ทำให้ทุกอย่างในเสี้ยวขณะนี้ล้วนเป็นสีขาวคลุมเครือ แผ่ความอัปมงคลออกมาอย่างรุนแรง
สายตาสวี่ชิงจ้องเพ่ง ก้มหน้ามองไปที่เท้าของตัวเอง เจ้าเงาล่าเหยื่ออยู่ข้างนอกไม่ได้กลับมา…