ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 589 ความหิวโหยที่มาจากอำนาจพระจันทร์สีชาด
บทที่ 589 ความหิวโหยที่มาจากอำนาจพระจันทร์สีชาด
………………..
นกแก้วโอดครวญในใจ แต่ปากกลับไม่กล้าก่นด่าต่อ ทว่าอ้อนวอนเจือสะอื้น
“ท่านอาจารย์ลุงข้าไม่ไหวแล้วจริงๆ ไปต่อไม่ได้แล้ว ท่านไว้ชีวิตข้าเถิด…”
สวี่ชิงเมองนกแก้วผาดหนึ่ง
“ท่านอาจารย์ลุง ข้าๆ…ข้าส่งข้ามด้วยการใช้ขนนกจากร่างกายตัวเอง ข้ายังเด็ก ยังไม่โต ท่านดูตัวข้าตอนนี้เหลืออยู่ไม่กี่เส้นแล้ว หากนกตัวอื่นมาเห็นข้าจะหัวเราะเยาะข้านะขอรับ”
นกแก้วร้องไห้ออกมา จุดนี้มันไม่ได้พูดโกหก มันส่งข้ามด้วยขนนกจริง และเมื่อก่อนมันก็ภูมิใจกับขนเงางามห้าสีของตนมากมาตลอด
บางครั้งได้เจอกับนกตัวอื่น มันก็จะรู้สึกภาคภูมิใจ ดูถูกพวกที่ขนรกรุงรังแปลกประหลาดเหล่านั้น
ในความรู้ความเข้าใจของมัน ตนคือนกที่สวยที่สุดในฟ้าดินนี้เพียงหนึ่งเดียว
แต่บัดนี้…มันก้มหน้ามองร่างกายโล้นเลี่ยนของตัวเอง ความโกรธเคืองแผ่ปกคลุมทั้งหัวใจ
สวี่ชิงได้ยินก็เงยหน้าขึ้นสัมผัสระลอกคลื่นที่ไล่ตามมาไกลๆ จากนั้นก็กวาดตามองขนที่เหลืออยู่สิบกว่าเส้นบนตัวนกแก้ว
“ยังมีอยู่อีกตั้งหลายเส้นไม่ใช่รึ”
เขามือขวาบีบต่อ
“เจ้าไม่ตายดีแน่” นกแก้วโอดครวญ ส่งข้ามอีกครั้ง พาสวี่ชิงหายไปท่ามกลางลมทรายสีขาว มีเพียงขนเส้นหนึ่งร่วงลงมา กลายเป็นฝุ่นผงถูกพัดสลายไป
พริบตาต่อมา ร่างของสวี่ชิงก็ปรากฏขึ้นไกลออกไปอีกหลายร้อยลี้ ไม่รอให้นอกแก้วเอ่ยปาก สวี่ชิงก็บีบอีกครั้ง
เสียงกรีดร้องน่าเวทนา ดังก้องไม่หยุด…
หลังผ่านไปสิบกว่าครั้ง ตอนที่ขนนกแก้วเหลือเพียงเส้นเดียว ในที่สุดสวี่ชิงก็สลัดเผ่าประหลาดที่ไล่ตามมาในสายลมขาวนี้หลุดด้วยการช่วยเหลือของนกแก้ว ปรากฏตัวที่ชายแดนของทะเลทรายคราม
จะข้ามชายแดนของทะเลทรายอีกไม่ถึงสามสิบลี้
ส่วนสายลมขาวที่นี่เบาบางกว่าส่วนลึกของทะเลทรายมาก ดอกผูกงอิงที่ล่องลอยก็น้อยลงมากเช่นกัน
ส่วนเจ้านกแก้ว ยามนี้เป็นอัมพาตอยู่ในมือสวี่ชิงราวกับเป็นก้อนเนื้อก้อนหนึ่ง สีหน้าหมดอาลัยตายอยาก หน้าซีดขาวราวกับตายไปแล้ว บนตัวของมันก็แดงเป็นจ้ำจุดเล็กๆ อยู่นับไม่ถ้วน
ทุกจุดเล็กๆ เคยมีขนนกงอกเรียงราย แต่ตอนนี้…เหลืออยู่เพียงเส้นเดียว ชี้โด่ชี้เด่อยู่บนปีกของมันเพียงลำพัง
เห็นว่าเหลือขนอยู่เพียงเส้นเดียว เจ้านกแก้วก็เหม่อลอย ไม่กี่เดือนก่อนที่มันจะออกเดินทาง มันก็ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าการเดินทางครั้งนี้จะมอบประสบการณ์เช่นนี้ให้กับมัน
“ขอบใจเจ้ามาก” สวี่ชิงมองนกแก้วผาดหนึ่ง เอ่ยเสียงแผ่วเบา
หากเขาไม่กล่าวขอบคุณคงจะดีกว่านี้ เมื่อกล่าวออกมาเช่นนี้ เจ้านกแก้วก็ร่ำไห้อีกครั้ง
“ขนของข้า…แล้วหลังจากนี้ข้าจะหาคู่ได้อย่างไร นกตัวอื่นจะต้องดูถูกข้าแน่…”
สวี่ชิงรู้สึกว่านกแก้วตัวนี้มีประโยชน์มาก ในใจขบคิดว่าหลังจากกลับไปจะพูดคุยกับอู๋เจี้ยนอูสักหน่อยดีหรือไม่ ขอยืมใช้สักสิบยี่สิบปี ไม่รู้ว่าขนของอีกฝ่ายจะงอกขึ้นมาใหม่หรือเปล่า จึงเอ่ยปลอบเล็กน้อย
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวมันก็งอกใหม่”
“ถึงจะงอกได้ แต่มันก็ช้ามากๆๆ…” เจ้านกแก้วร่ำไห้ต่อ
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด
และขณะที่นกแก้วสะอึกสะอื้น ขนเส้นเดียวบนปีกก็โบกไปมาไม่หยุด หลิงเอ๋อร์เห็นแล้วก็ใจอ่อน
“พี่สวี่ชิง นกแก้วน้อยก็น่าสงสารนะเจ้าคะ เหลือขนแค่เส้นเดียวแล้ว พวกเราไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของมันเลยจริงๆ”
นกแก้วได้ยินก็ซาบซึ้ง กำลังจะพยักหน้า หลิงเอ๋อร์ก็ถอนหายใจเบาๆ
“อันที่จริงแบบนี้น่าเกลียดยิ่งกว่าอีก ไม่อย่างนั้นข้าว่าพวกเราส่งข้ามอีกครั้งเถอะเจ้าค่ะพี่สวี่ชิง”
นกแก้วได้ยินก็ถลึงตาโต โมโหเดือดดาลทันที ตะคอกหลิงเอ๋อร์
“เจ้าค้างคาวปักขนไก่ เจ้ามันนกอะไรกันแน่!
“มีพี่ใหญ่ มีน้องรอง แล้วเจ้ามันคนที่เท่าไรกัน!
“เจ้าลิงท้องเสีย ไอ้ไส้เน่า!!”
หลิงเอ๋อร์หดกลับเข้าไปในคอเสื้อสวี่ชิง เอ่ยเสียงเบาอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ
“พี่สวี่ชิง มันดุจังเลยเจ้าค่ะ แต่ก็ไม่โทษนกแก้วน้อยหรอก มันยังเด็ก น่าจะเป็นเพราะข้าพูดผิดไป…”
เมื่อเจ้าเงาได้ยินเข้าก็แผ่ขยายทันทีน ปกคลุมรอบๆ นกแก้ว แผ่จิตปฏิปักษ์ออกมา
บรรพจารย์สำนักวัชระก็ลอยออกมาพลัน เล็งไปที่เจ้านกแก้ว
นกแก้วตัวสั่นเทิ้ม ในใจยิ่งเศรเสยใจ เวลานี้มันคิดเพียงอย่างเดียวก็คือกลับไปหาบิดาให้ไวที่สุด มันคิดถึงบิดาแล้ว
สวี่ชิงยกมือลูบหลิงเอ๋อร์ ไม่สนเจ้านกแก้ว แต่หันหน้ามองไปไกลๆ ส่วนลึกในดวงตาหม่นแสงลง เขาสัมผัสได้ถึงพลังที่คุ้นเคยจากทางนั้น
“เจ้าเงา”
สวี่ชิงเอ่ยราบเรียบ
เจ้าเงาไหววูบไปอย่างรวดเร็ว หลังจากสัมผัสได้ร่างกายก็บิดเบี้ยว จำแลงเป็นเค้าโครงของชายชราผู้หนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นด้านหลังชายชรายังจำแลงพระจันทร์สองดวง คล้ายกำลังไล่โจมตี
“หลี่โหยวเฝ่ย?”
สวี่ชิงพึมพำ ในทะเลทรายครามนี้ เขาทำได้แค่ทิ้งเนตรเงาไว้ที่ร่างอีกฝ่าย ยามนี้สัมผัสได้ถึงคลื่นพลัง และเป็นคนผู้นี้จริงๆ
ครุ่นคิดอยู่หลายอึดใจ สวี่ชิงก็ไหววูบ เข้าใกล้จุดที่มีคลื่นพลังนั้น
ตอนแรกที่เขาไม่สังหารหลี่โหยวเฝ่ย หลังจากทิ้งเนตรเงาไว้ก็ให้เจ้าเงาคอยจับตาดู อีกฝ่ายทำตามที่พูดจริงๆ มีศีลธรรมมากกว่าเล่ห์เหลี่ยม ยิ่งไม่สลายร่องรอยของตน
ดังนั้นต่อมาสวี่ชิงจึงเก็บจิตสังหาร ให้เจ้าเงาคอยจับตาดูต่อ ส่วนตนเองก็จดจ่ออยู่กับการค้นคว้าคำสาปต่อไป
ตอนนี้ในเมื่อเจอแล้ว อีกทั้งยังถูกผู้แข็งแกร่งตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดไล่ล่า สวี่ชิงจึงคิดจะไปดูเสียหน่อย ที่สำคัญที่สุดคือทาสเทวะพระจันทร์สีชาดที่แยกตัวมาอยู่กันสองคน โอกาสเช่นนี้เจอไม่บ่อยนัก
และหลังจากที่สวี่ชิงศึกษาคำสาปจากอสูรร้ายไปมากมาย เขาก็อยากศึกษาร่างกายของผู้บำเพ็ญตำหนักเทพบ้าง
“ตามที่ข้าวิเคราะห์ในช่วงครึ่งปีกว่านี้ บางทีในร่างกายผู้บำเพ็ญตำหนักพระจันทร์สีชาดอาจจะไม่มีคำสาป หรือคำสาปอาจจะน้อยมาก และความเป็นไปได้ที่มากกว่าคือข้าสามารถสูดรับมันได้…”
สวี่ชิงเลียริมฝีปาก พรางกายไปกับสายลม เตรียมตัวออกล่า
ไกลออกไปหลายสิบลี้ ที่ชายแดนของทะเลทรายคราม สัตว์ประหลาดเลือดเนื้อตัวหนึ่งกำลังพุ่งทะยาน
ร่างกายของมันใหญ่โตถึงห้าจั้งราวกับภูเขาเลือดเนื้อขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง บนตัวมีแขนงอกออกมาสิบกว่าท่อน และมีเนื้องอกที่ดูเหมือนศีรษะอีกเจ็ดแปดหัว
ในบรรดาเนื้องอกที่ห้อยลงมาตรงส่วนหน้าอก ก็มีใบหน้าที่ผิดแปลกจากใบหน้าเดิมไปอย่างสิ้นเชิงดวงหนึ่งอยู่
มองอย่างละเอียด จะเห็นว่านั่นคือหลี่โหยวเฝ่ย
เพียงแต่เขาในตอนนี้ ใบหน้าซีดขาว หายใจรวยริน ร่างกายกลายพันธุ์อย่างร้ายแรง และอาการบาดเจ็บก็เข้าขั้นวิกฤต เหมือนว่าการโคจรพลังบำเพ็ญทุกลมหายใจ ล้วนสามารถทำให้อวัยวะภายในของเขาเจ็บปวดสาหัสได้ กระอักเลือดสดออกมาตลอดเวลา ควบคุมอะไรไม่ได้เลย
โดยเฉพาะที่หน้าอกมีบาดแผลซึ่งถูกแทงทะลุแผลหนึ่ง กระดูกแหลกละเอียดไปไม่น้อย
ที่น่าตกตะลึงกว่าคือบนร่างเขามีดอกผูกงอิงอยู่จำนวนมาก พวกมันกำลังสูดรับพลังชีวิตเขาอย่างบ้าคลั่ง ขณะเดียวกันยังมีเส้นเนื้ออีกนับไม่ถ้วนงอกออกมาจากร่างกาย ลากกับพื้น ทั้งยังกำลังแพร่กระจาย ยังคงงอกออกมา
ทั้งหมดนี้ ทำให้ร่างของเขาดูวิกฤติเป็นอย่างมาก
นี่คือผลจากการที่ร่างกายอยู่ในลมทรายสีขาว
ส่วนด้านหลังของเขา ในลมทรายสีขาวกำลังมีร่างเงาสีแดงสองร่างไล่ตามมาอย่างไม่รีบร้อน
คนหนึ่งแผ่คลื่นพลังปราณก่อกำเนิดออกมา หมอกสีแดงโอบล้อม การสนับสนุนที่มาจากพลังพระจันทร์สีชาดชื่อหมู่ทำให้ทาสเทวะตำหนักเทพสองตนนี้อยู่ในลมทรายสีขาวได้ตามปกติ
ทั้งๆ ที่พวกเขาไล่ตามมาได้อย่างรวดเร็ว แต่ตอนนี้กลับเอ้อระเหยเหมือนพาสุนัขเดินเล่น
“หลี่โหยวเฝ่ย รีบวิ่งสิ ข้างหน้าก็เป็นชายแดนของทะเลทรายแล้ว
“ถ้าก้าวออกจากชายแดน เจ้าก็ไม่ต้องถูกลมสีขาวทรมานอีก เหลืออีกไม่กี่สิบลี้เอง เร็วเข้า
“แต่ว่าต่อให้เจ้าหนีออกไปจากที่นี่ คำสาปนายข้าในกายก็ปริ่มจะปะทุขึ้นเต็มที อีกเดี๋ยวเจ้าก็บอกข้าด้วยว่าคำสาปนายข้าปะทุหรือว่าสายลมขาวนี้อะไรเจ็บปวดมากกว่ากัน
“หรือเจ้าจะขอร้องพวกข้า ไม่แน่ว่าพวกข้าอาจจะใจดี สังหารเจ้าทิ้งไปเลยก็เป็นได้”
ทาสเทวะตำหนักเทพสองตนนี้ แววตาโหมเหี้ยม พวกเขามาเจอหลี่โหยวเฝ่ยในสายลมสีขาวโดยไม่ตั้งใจ อีกฝ่ายก็มีชื่อเสียงในตำหนักเทพของพวกเขาอยู่บ้าง
ถึงอย่างไรช่วงหลายปีมานี้ คนผู้นี้สังหารผู้บำเพ็ญไร้สังกัดที่ลองดูดซับตำหนักเทพไม่หยุด แม้จะไม่ได้ทำให้สร้างเรื่องวุ่นวายนัก แต่ก็เป็นคนน่าขยะแขยงมาก
ทว่าตัวประกอบเล็กจ้อยเช่นนี้ก็เหมาะจะนำมาล่อเหยื่อ ดังนั้นพวกผู้ยิ่งใหญ่จึงไม่คิดลงมือก่อนที่ปลาจะติดเบ็ด และคนผู้นี้ก็เชี่ยวชาญการพรางกาย จึงยังรอดชีวิตมาถึงป่านนี้
แต่สำหรับทาสเทวะทั้งสองคนแล้ว หลี่โหยวเฝ่ยคนนี้ยังมีคุณค่าอยู่บ้าง
หากบีบคั้นให้คำสาปปะทุจนตาย เช่นนั้นก็ยังนำซากศพแลกสิ่งของในตำหนักเทพได้เล็กน้อย
จึงเกิดภาพตรงหน้านี้ขึ้น
ส่วนหลี่โหยวเฝ่ยตอนนี้ ก็รู้สึกสิ้นหวังเสียเต็มประดา
เขารู้ว่าตนอยู่ในเคราะห์ที่หนีไม่พ้น แม้ลมทรายสีขาวนี้จะช่วยตนให้หลบเลี่ยงผู้ที่ล่วงเกินในเทือกเขาทนทุกข์ ทำให้อีกฝ่ายไล่ล่าสังหารต่อไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสนัก
ร่างกายที่บาดเจ็บแต่เดิมของเขาอ่อนแรงลงเรื่อยๆ และการปรากฏตัวของทาสเทวะตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดก็ยิ่งทำให้พลังชีวิตเฮือกสุดท้ายในใจเขาเบาบางลง
‘หนีไม่รอดแล้ว…’
หลี่โหยวเฝ่ยยิ้มอย่างน่าเวทนาในใจ หลายปีมานี้เขาระหกระเหินอยู่ในเทือกเขาทนทุกข์ก็เพราะอยากจะเข้าร่วมตำหนักขบถจันทร์ แต่ทาสเทวะสังหารยาก พวกที่อยู่ตัวคนเดียวมีน้อยเหลือเกิน
เขาจึงขาดอีกหนึ่งตนมาโดยตลอด จนกระทั่งช่วงนี้ตรวจสอบพบว่ามีศิษย์ของผู้บำเพ็ญไร้สังกัดอันดับหนึ่งของเทือกเขาทนทุกข์แอบกลายเป็นทาสเทวะ เขาจึงเสี่ยงมาลอบโจมตี
แต่หลังจากสังหารทิ้งยังไม่ทันได้เก็บศพ อาจารย์ของอีกฝ่ายก็แผ่ประสาทสัมผัสเทพมา ทำลายร่างฉุดดึงของเขา
จากนั้นก็ตามหาร่างเดิมของเขา
หากสายลมขาวไม่ปรากฏขึ้น บดบังร่องรอย ร่างเดิมของเขาคงตายแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย
สุดท้ายเขาก็ทำได้แค่หนีเข้าไปในสายลมอย่างจำใจ ตลอดทางจนมาถึงตอนนี้ หลังจากที่รู้สึกสิ้นหวังอย่างยิ่ง ในดวงตาเขาก็ฉายแววโหดเหี้ยมเด็ดขาด
ในใจหลี่โหยวเฝ่ยจิตสังหารแรงกล้า ขณะที่กำลังล่อทาสเทวะพระจันทร์สีชาดสองตนด้านหลังให้เข้ามาใกล้ ทว่าตอนนี้เอง จู่ๆ ด้านหลังของเขาก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น
เสียงนี้ร้องอย่างตื่นกลัว ต่อให้เสียงหวีดหวิวของลมก็ยังไม่อาจดังกลบได้ ดังก้องไปทั้งแปดทิศ
หลี่โหยวเฝ่ยอึ้งตะลึง หันหน้ากลับด้วยสัญชาตญาณ ก็เห็นกับภาพที่ทำให้ม่านตาของเขาต้องหดเล็กลง!
ในสายลมขาวด้านหลัง มีฝ่ามือขนาดยักษ์ข้างหนึ่งปรากฏขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ฝ่ามือนี้เป็นสีม่วงล้วน ขนาดเท่าคนหนึ่งคน คว้าทาสเทวะตำหนักเทพตนหนึ่งไว้ ลากเขาเข้าไปในสายลม
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ทาสเทวะตนนั้นไม่ทันได้ดิ้นรน แค่กรีดร้องอย่างน่าเวทนาออกมาเท่านั้น และตอนที่ถูกลากเข้าไปในสายลม ร่างของทาสเทวะตนนี้ก็แห้งเหี่ยวอย่างรวดเร็ว ราวกับถูกสูบพลังชีวิตไป
ส่วนทาสเทวะข้างๆ อีกตนก็หน้าถอดสี ราวกับสัมผัสได้ถึงเรื่องอะไรบางอย่างที่น่าเหลือเชื่อ ร่างกายสั่นเทาอย่างรุนแรง ดวงตาฉายแววหวาดผวาออกมา
หลี่โหยวเฝ่ยหายใจหอบถี่ เขาไม่รู้ที่มาของภาพนี้ แต่เข้าใจว่านี่เป็นโอกาสที่จะเอาชีวิตรอด จึงไม่ลังเล ไม่สนใจบาดแผลอุกฉกรรจ์ ปะทุพลังบำเพ็ญทั่วร่างในพริบตา พุ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
ทิ้งระยะห่างออกมาในพริบตา หนีเอาตัวรอดอย่างบ้าคลั่ง ออกจากจากที่แห่งนี้
และในลมพายุนี้ ทาสเทวะอีกตนก็ไม่มีความคิดจะสนใจหลี่โหยวเฝ่ยที่หลบหนีไปแล้ว เวลานี้ในใจเขามีคลื่นยักษ์โหมขึ้น พริบตาเมื่อครู่นี้ เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายและคลื่นพลังของชื่อหมู่ ระดับความเข้มข้นเหนือกว่าทาสเทวะทั้งหมดอย่างพวกเขา กระทั่งทูตเทวะยังเทียบไม่ติด
“เทพเจ้า!”
ทาสเทวะคนนี้ใจสั่นสะท้านถึงขีดสุด ปราณเลือดและพลังบำเพ็ญในร่างกายก็สั่นขึ้นมาเช่นกัน ในฐานะเป็นผู้ที่ได้รับการประทานพร เขารู้ดีแก่ใจว่าสัมผัสของตนไม่มีทางผิดพลาด
มือที่สังหารคู่หูของตนไปนั้น กลิ่นอายเทพเจ้าที่แผ่ซ่านออกมาเป็นนายท่านของตนจริงๆ
ตอนที่ร่างกายของเขาสั่นเทิ้มด้วยถูกกลิ่นอายนั้นสั่นสะเทือน เสียงหนึ่งก็ดังแว่วออกมาจากในสายลม
“ผู้ติดตามของข้า มาหาข้าทางนี้…มา…”
หลี่โหยวเฝ่ยไม่ได้ยินเสียงในลมทราย เวลานี้เขาออกห่างจากที่นี่ ตรงไปยังชายแดนอย่างไม่หยุดพัก
แต่ทาสเทวะคนนั้นกลับได้ยินอย่างชัดเจน ร่างของเขาสั่นระริก ทิศทางที่เสียงดังออกมาเจือกลิ่นอายของชื่อหมู่เอาไว้ ทำให้ร่างกายของเขาเหมือนไร้ซึ่งพลังต้านทานในพริบตา
ขณะที่สั่นกลัว เขาก็เดินไปทางนั้นตามสัญชาติญาณทีละก้าว เดินเข้าไปในสายลม จมไปในสีขาว
สักพัก ก็มีคนเดินออกมาจากในสายลม
แสงสีม่วงเปล่งประกายในดวงตาเขา ทุกจุดที่เดินผ่านล้วนมีคลื่นพลังที่มาจากพระจันทร์สีม่วงแผ่ออกมา ในสายลมขาว ฉากสีม่วงนี้ราวกับเป็นการจุติของเทพเจ้า
จนกระทั่งเดินออกมาสิบกว่าจั้ง แสงสีม่วงในดวงตาสวี่ชิงก็ค่อยๆ สลายไป เขาเรอออกมา
‘เป็นอย่างที่ข้าคิดจริงๆ คำสาปในร่างกายผู้บำเพ็ญตำหนักเทพเหล่านี้ถูกเปลี่ยนเป็นพร กลายเป็นต้นกำเนิดความศรัทธาของพวกเขา ยิ่งพวกเขาศรัทธาชื่อหมู่พระจันทร์สีชาด พลังพรนี้ก็จะยิ่งเข้มข้น ทำให้พวกเขาใช้สิ่งนี้ดึงดูดพลังที่เกี่ยวข้องกับพระจันทร์สีชาดได้
‘เมื่อเป็นเช่นนี้ สำหรับข้าแล้ว…กลืนกินพลังศรัทธาของพวกเขา ก็สามารถเพิ่มอำนาจเทพพระจันทร์สีม่วงของข้าได้
‘แม้จะไม่มาก แต่…หอมอย่างยิ่ง’
สวี่ชิงเลียริมฝีปาก กลืนกินทาสเทวะพลังบำเพ็ญปราณก่อกำเนิดเข้าไปไม่ได้ซับซ้อนสำหรับเขาขนาดนั้น เพราะการคงอยู่ของความศรัทธา ดังนั้นเขาแค่ต้องแผ่อำนาจเทพพระจันทร์สีม่วงของตนออกมา อีกฝ่ายก็ประหนึ่งอาหารที่เดินได้ มาหาตนเองถึงที่
‘แต่หากทาสเทวะพลังบำเพ็ญสมบัติวิญญาณ ก็ไม่ได้ง่ายดายขนาดนี้แล้ว’ สวี่ชิงนึกย้อนถึงหญิงชุดแดงที่เจออยู่ใต้ทะเลเพลิงสวรรค์ตอนนั้น รู้สึกทอดถอนใจ
‘อีกอย่าง ข้าก็ยังทำจุดนี้ไม่ได้ เพราะคำสาปในร่างกายสรรพชีวิตในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ไม่ได้ถูกแปรเป็นความศรัทธาต่อพระจันทร์สีชาดชื่อหมู่’
สวี่ชิงเดินไปพลางครุ่นคิด ในร่างกายค่อยๆ มีเสียงแหบแห้งดังออกมา จากนั้นก็มีความหิวโหยเพิ่มขึ้น ราวกับว่าได้กินความศรัทธาต่อพระจันทร์สีชาดไปเล็กน้อยก็กระตุ้นสัญชาตญาณนี้ขึ้นมา ทำให้เขาวู่วามอยากจะกลืนกินอีก
สวี่ชิงชะงักฝีเท้า หลังจากสัมผัสได้ก็ขมวดคิ้ว
‘กินความศรัทธาของพวกเขาไปแล้ว ทำไมถึงหิวโหยเช่นนี้เล่า…’
สวี่ชิงครุ่นคิด แต่ว่าความรู้สึกหิวโหยนี้ไม่ได้รุนแรงมาก ไม่นานนักเขาก็สะกดมันได้ จึงก้าวเดินเร็วยิ่งขึ้น จนหายเข้าไปในลมทราย
ครึ่งวันต่อมา ที่ชายแดนของทะเลทรายครามนี้ สวี่ชิงติดตามร่องรอยของเนตรเงา และได้พบกับภูเขาเนื้อเน่าเปื่อยลูกหนึ่ง
หลี่โหยวเฝ่ยนั่นเอง