ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 59 เงาเดียวดายในคืนฝนพรำ
บทที่ 59 เงาเดียวดายในคืนฝนพรำ
เวลาค่อยๆ ผ่านไป ลมฝนหนักขึ้น
เสียงลมหวีดหวิวเหมือนเสียงร้องไห้ดังสะท้อนในเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิต ลอยไปในถนนทุกเส้น ในตรอกทุกแห่ง พบและกอดกับหยดฝนบนท้องฟ้าครั้งแล้วครั้งเล่า
แล้วหยดลงมาบนถนนทองผุด รอบๆ ตัวสวี่ชิง
หยดฝนกระทบอิฐและกระเบื้องที่อยู่ด้านข้าง ส่งเสียงติ๋งๆ ออกมา ลมก็ไม่ยอมแพ้ พัดเสื้อคลุมยาวของเขาสะบัดดังพึ่บพั่บ
ส่วนสวี่ชิงที่ยืนอยู่ใต้หลังคาก็เหมือนว่าจะไม่ถูกลมฝนรบกวนเลย ตัวคนกลืนไปกับความมืด นิ่งไม่ขยับ จ้องเพ่งอย่างเยียบเย็นเหมือนกับนักล่า
เขามีความอดทนมาก ลมหายใจสม่ำเสมอ ไม่รีบไม่ร้อน
ผ่านไปเช่นนี้อีกหนึ่งชั่วยามแล้ว ยามเมื่อบ้านเรือนทุกหลังดับตะเกียง ทั้งเมืองก็ตกสู่ความมืดมิดและเงียบสงัด มีเพียงเสียงซ่าๆ ของฝนเท่านั้นที่ดังออกมา ในโรงเตี๊ยมมีเงาหนึ่งโผล่หัวออกมาช้าๆ
เป็นผู้บำเพ็ญสวมชุดคลุมยาวสีแดงคนหนึ่ง ร่างกายใต้ชุดคลุมยาวน่าจะไหล่กว้างแข็งแกร่งกำยำ ยืนอยู่ตรงนั้นก็สร้างความรู้สึกกดดันอย่างหนึ่งให้กับผู้คน เป็นชิงอวิ๋นจื่อนั่นเอง
ระลอกคลื่นพลังวิญญาณบนร่างของเขาไม่ธรรมดาเลย ท่าทางจะแข็งแกร่งมาก เหมือนจะถึงระดับรวมปราณขั้นเก้าแล้ว
แต่ความแข็งแกร่งเช่นนี้ก็เป็นแค่สำหรับขั้วอำนาจเล็กๆ สำนักเล็กๆ เท่านั้น สำหรับลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตแล้ว ความแตกต่างของเคล็ดวิชาก็ทิ้งห่างด้านรากฐานไปไกล และสามารถเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เหี้ยมโหดอย่างเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิตแบบนี้ได้ เช่นนั้นแค่เพียงระดับรวมปราณขั้นเจ็ดก็สามารถสยบขั้นเก้าจากสำนักเล็กๆ อย่างเขาเช่นนี้ได้แล้ว
ดังนั้นทำให้เขาที่อยู่ในเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิตระมัดระวังเป็นอย่างมาก
ตอนนี้เขายื่นหน้าจากในโรงเตี๊ยมออกไปกวาดตามองรอบๆ ก่อน หลังจากแน่ใจว่าไม่มีอันตรายแล้วถึงจะลองก้าวเท้าออกไป ในเสี้ยวพริบตาที่ก้าวออกไปจากโรงเตี๊ยม ทั้งตัวก็ไหววูบจะจากไปในคืนฝนพรำ
แต่ก้าวออกไปไม่ถึงห้าก้าว สีหน้าชิงอวิ๋นจื่อก็เปลี่ยนไป เหมือนเขามีพรสวรรค์ในการวิเคราะห์แยกแยะอันตราย แม้จะไม่เห็นสวี่ชิง แต่เหมือนจะสังเกตได้ถึงอันตราย จึงหมุนตัวพลัน พุ่งกลับเข้าไปในโรงเตี๊ยม
สวี่ชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เดิมเขากะจะรอให้อีกฝ่ายวิ่งออกมาสักประมาณหนึ่งค่อยลงมือ แต่ความระวังตัวของอีกฝ่ายสูงมาก ตอนนี้ในดวงตาของสวี่ชิงมีประกาย สาวเท้าเดินออกไป
ตัวเขาทั้งร่างรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด พุ่งตัวไปในสายฝน
หยาดฝนอยู่ต่อหน้าเขาก็เปลี่ยนมาช้าเนิบเป็นอย่างยิ่ง ถนนทั้งสายเกิดกำแพงเสียงขึ้นในเสี้ยวพริบตานี้ทันที
ท่ามกลางหยดฝนโปรยปรายติดต่อกัน เงาร่างของสวี่ชิงเหมือนลูกธนูพุ่งจากคันศร พุ่งตรงไปยังชิงอวิ๋นจื่อที่อยู่นอกโรงเตี๊ยมอย่างรวดเร็วทรงพลัง
ชิงอวิ๋นจื่อเห็นสวี่ชิงแล้วหน้าเปลี่ยนสี สัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของความเร็วนี้ ยิ่งสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของทะเลต้องห้ามจากพลังวิญญาณในร่างกายของอีกฝ่ายที่สะกดทั้งร่างของตนเอาไว้ ทำให้การโคจรพลังวิญญาณของตัวเองหยุดชะงัก ในใจสั่นสะท้านรุนแรงทันที วิกฤตความเป็นความตายปะทุขึ้น ณ เสี้ยวพริบตานี้
ดวงตาของเขาแดงก่ำขึ้นมาฉับพลัน กัดปลายลิ้นจนเลือดไหลเหมือนกระตุ้นเคล็ดวิชาลับ ฝืนโคจรพลังบำเพ็ญ ทำให้ความเร็วของตัวเองปะทุขึ้นมาเล็กน้อย ใกล้จะพุ่งตัวเข้าไปในประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมได้แล้ว
และตอนนี้ชายชราที่สูบบ้องยาสูบก็ปรากฏตัวขึ้นด้านในประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมตรงนั้น มองสวี่ชิงที่พุ่งตรงมาที่นี่ในชั่วขณะที่บ้องยาสูบส่องประกายไฟวูบวาบ
เสี้ยวขณะต่อมา ในชั่วพริบตาที่ชิงอวิ๋นจื่อดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือด ขาขวาห่างจากประตูโรงเตี๊ยมแค่ครึ่งก้าวก็จะยกเหยียบย่างเข้ามาได้แล้วนั้น ประกายสีดำทางหนึ่งที่เร็วกว่าพร้อมด้วยแสงเย็นเยียบและพลังวิญญาณทะเลต้องห้ามที่เข้มข้นมาถึงในทันใด ทำลายพลังบำเพ็ญการป้องกันของชิงอวิ๋นจื่อ ทะลุน่องข้างขวาที่ยกขึ้นข้างนั้นของเขาทันที
ความเร็วและความแข็งแกร่งของการโจมตีทำให้ชิงอวิ๋นจื่อส่งเสียงร้องโหยหวนน่าสังเวชในราตรีที่เงียบสงัดนี้
เท้าขวาของเขาไม่สามารถเหยียบลงไปได้ ถูกโจมตีจนร่างผงะ ฝีเท้าโซซัดโซเซยากจะยืนได้มั่นคง ในขณะที่จำต้องถอยไปก้าวหนึ่ง ประกายแสงสีดำทางที่สองก็พุ่งมาอย่างรวดเร็ว เป็นกริชเล่มหนึ่ง
บึ้ม
ความเร็วของกริชเล่มนี้ปักมายังแขนซ้ายของชิงอวิ๋นจื่อในชั่วพริบตาดูน่าสะพรึง พลังวิญญาณน่ากลัวปะทุในร่างของเขา ในขณะที่ทำลายเส้นลมปราณก็ตรึงร่างของเขาเอาไว้ หน้าคว่ำกับพื้น ห่างจากประตูโรงเตี๊ยมเพียงแค่ช่วงแขนเท่านั้น
เส้นเลือดที่หน้าผากชิงอวิ๋นจื่อปูดโปนท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน เขาดิ้นรนคิดจะดึงกริชออกพลางคลานไปที่โรงเตี๊ยม แต่สายไป เงาร่างของสวี่ชิงมาถึงแล้ว เขาเหยียบไปที่หลังของชิงอวิ๋นจื่อ
พลังของการเหยียบนี้มหาศาลนัก หลังของชิงอวิ๋นจื่อก็หักเสียงดังกร๊อบ ความเจ็บปวดรุนแรงทำให้เขาสั่นสะท้านไปทั้งร่าง เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นไปอีก
ชายแก่ในโรงเตี๊ยมวางบ้องยาสูบในมือท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน ในเสี้ยวพริบตานี้ทั้งตัวก็เหมือนจะแผ่กลิ่นอายที่อันตรายออกมา มองไปยังสวี่ชิงที่อยู่หน้าประตูอย่างเย็นชา
“เจ้าจะทำลายกฎของข้าหรือ”
ดวงตาทั้งสองข้างของเขาเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ข้างในมองเห็นหนวดชอนไชออกมา ที่หว่างคิ้วมีรอยแยกปรากฏขึ้น เหมือนว่าในร่างมีตัวตนอะไรที่แฝงอยู่จะแหวกออกมาในตอนนี้อย่างไรอย่างนั้น น่ากลัวน่าขนลุกนัก
ในขณะเดียวกัน ในโรงเตี๊ยมของเขาตอนนี้ก็มีเสียงประหลาดดังออกมา งูเหลือมตัวมหึมาขนาดเท่ากับมนุษย์สามคนห้อยลงมาจากคานของโรงเตี๊ยม ดวงตาขีดตั้งที่ฉายความเหี้ยมโหดและกระหายเลือดจ้องมาทางสวี่ชิง
ไม่ใช่แค่นี้เท่านั้น บนพื้นก็มีตะขาบมากมายมุดออกมา แต่ละตัวดำเมี่ยมมีพิษร้ายแรง ต่างตั้งท่าโจมตี ยิ่งไปกว่านั้น ในห้องรอบๆ ต่างมีกลิ่นอายคมกริบแผ่ออกมา ในขณะเดียวที่มุ่งเป้ามาที่สวี่ชิง ที่หลังคาก็มีเชือกเป็นเส้นๆ ห้อยลงมา
เชือกพวกนี้เหมือนมีชีวิต ตอนนี้มันพันเกี่ยวเป็นวงหลวมๆ เหมือนเชือกแขวนคอ คล้ายว่าชั่วขณะต่อไปก็จะพันรัดสวี่ชิง บนเชือกแผ่กลิ่นอายความตายมหาศาลออกมา เหมือนว่าคนที่ตายด้วยเชือกพวกนี้มีจำนวนมากมายจนนับไม่ถ้วน
พวกมันกำลังจ้องสวี่ชิง
สวี่ชิงยืนอยู่ที่หน้าประตู เหยียบหลังของคนที่ร้องโหยหวน เงยหน้ามองชายชราที่อยู่ในโรงเตี๊ยม
สายตาทั้งสองประสานกัน
สวี่ชิงแสร้งเหมือนมองไม่เห็นพวกอสูรกลายพันธุ์ในโรงเตี๊ยม กลิ่นอายที่พุ่งเป้ามาจากรอบๆ และเชือกพวกนั้น เขาแค่เงยหน้ามองชายแก่
เงาขุยปรากฏมาข้างหลัง ดำทะมึนเหมือนผีร้าย ท่าทางเหี้ยมโหด เตรียมพร้อมโจมตี
ในขณะเดียวกับที่เคล็ดวิชาคีรีสมุทรของสวี่ชิงโคจรเต็มกำลัง เลือดเนื้อทั่วทุกแห่งทั้งร่างกายในตอนนี้ก็เตรียมพร้อมที่จะปะทุพลังออกมาอย่างเต็มที่
คัมภีร์แปรสมุทรก็เช่นเดียวกัน หยดฝนรอบๆ ต่างหยุดนิ่งกลางอากาศ ณ เสี้ยวขณะนี้ วนล้อมรอบสวี่ชิง ส่งเสียงขานรับกับทะเลวิญญาณในร่างของเขา
เหมือนจะเกิดเป็นวิชาสังหารคนได้ทุกเมื่อ
ยาพิษก็เหมือนกัน แล้วยังมีเงาของเขา ตอนนี้มันได้แผ่ลามไปในโรงเตี๊ยมอย่างเงียบงันและไม่อาจสังเกตได้ ไปอยู่ใต้เท้าของชายแก่แปลกประหลาดคนนั้นแล้ว
โดยเฉพาะเหนือศีรษะของเขาตอนนี้ หยดน้ำปรากฏเรียงตัวเป็นวง ในขณะเดียวกันก็มีดาบยาวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นมา ประเดี๋ยวเลือนรางประเดี๋ยวปรากฏชัด เหมือนแฝงไว้ด้วยพลังมหาศาลแต่ตอนนี้ถูกบีบอัด เหมือนดาบสวรรค์ที่พร้อมจะฟันลงมายังพื้นดินทุกเมื่อ
สวี่ชิงหรี่ตามอง ไม่ได้ตื่นกลัวหนวดในดวงตาและศีรษะที่จวนเจียนจะปริแตกของชายชราข้างหน้า เขารู้ว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่ง แต่ตัวเขาก็มีวิธีที่จะล่าถอยออกมาได้อย่างปลอดภัย ดังนั้นสีหน้าจึงนิ่งสงบ เอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง
“ข้าไม่ได้ก้าวเข้าไป ไม่นับว่าผิดกฎ”
ในดวงตาของชายชรามีประกายแสงเย็นเยือกฉายวาบ หลังจากที่มองสวี่ชิงอยู่นานครู่หนึ่งก็พลันหัวเราะขึ้นมา
“เจ้าพูดมีเหตุผล”
ในขณะที่คำพูดก้องกังวาน รอยยิ้มก็ฉายออก กลิ่นอายที่พุ่งเป้ามาที่สวี่ชิงนอกโรงเตี๊ยมก็หายไปทันที งูเหลือมในโรงเตี๊ยมก็เลื้อยกลับเข้าไปในคาน ตะขาบบนพื้นก็ส่งเสียงแซ่กๆ หายไปในดิน
แล้วยังมีเชือกพวกนั้น พวกมันรางเลือนหายวับไปอย่างรวดเร็ว ส่วนหนวดในดวงตาและรอยแยกที่ศีรษะของชายแก่ก็หายไปหมดเช่นกัน กลับมาเป็นชายชราหหน้าตาธรรมดาๆ อีกครั้ง ถือบ้องยาสูบสูดเข้าปอด
“ขายศพหรือไม่”
สวี่ชิงส่ายหน้า คว้าผมของชิงอวิ๋นจื่อ เอ่ยถามเสียงราบเรียบขณะที่อีกฝ่ายสั่นสะท้าน
“ผู้หญิงคนนั้นที่เจ้าจับมาเมื่อสองวันก่อนเล่า”
ชิงอวิ๋นจื่อผมกระเซอะกระเซิง หน้าเต็มไปด้วยเลือด สภาพอเนจอนาถนัก
ตอนนี้เนื้อตัวสั่นเทิ้ม แต่เหมือนจะทำปากแข็ง คิดจะถ่มเลือดใส่สวี่ชิง แต่กลับถูกเขากดหัวลงถูไปกับพื้นอย่างจัง
ในขณะที่เสียงร้องยิ่งโหยหวนมากขึ้น สวี่ชิงก็ยกมือกดไปที่แขนขวาของชิงอวิ๋นจื่อ ค่อยๆ บีบกระดูกทั้งหมดให้แหลกทีละนิดๆ แล้วก็เปลี่ยนอีกข้างหนึ่ง ความเจ็บปวดมหาศาลทำให้ชิงอวิ๋นจื่อตัวสั่นเทิ้ม ร้องไม่ออก
สวี่ชิงสีหน้าเรียบนิ่ง ตรวจสอบอย่างละเอียดครู่หนึ่งแล้วชกไปที่จุดตันเถียนของชิงอวิ๋นจื่อ ทำลายพลังบำเพ็ญของเขา หลังจากมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่เป็นภัยคุกคามแล้ว เขาก็ยืนขึ้น เก็บกริชและเหล็กแหลมสีดำลงไป คว้าเท้าของชิงอวิ๋นจื่อแล้วลากไปข้างหน้า
เลือดเนื้อสัมผัสกับพื้น ต่อให้มีน้ำฝนหล่อลื่น แต่ความรู้สึกที่เนื้อหนังเสียดสีค่อยๆ แหลกเละก็ทำให้เสียงร้องโหยหวนของชิงอวิ๋นจื่อยิ่งแหลมสูงขึ้นอีก
เสียงร้องโหยหวนดังไม่หยุดไปตามการเดินไปข้างหน้าของสวี่ชิง พื้นเริ่มมีรอยเลือดปรากฏขึ้นทางหนึ่ง แม้จะถูกน้ำฝนชะล้างไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังมองเห็นรอยอยู่ดี
ภาพแต่ละฉากๆ นี้ทำให้ชายแก่เจ้าของโรงเตี๊ยมม่านตาหดเล็ก เขามองเด็กหนุ่มที่เดินจากไปไกลท่ามกลางสายฝน ฟังเสียงร้องโหยหวนที่ไม่เหมือนเสียงมนุษย์ของชิงอวิ๋นจื่อที่ถูกลาก หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็พึมพำ
“ไอ้เด็กนี่มันเหี้ยมแท้…”
เสียงร้องของชิงอวิ๋นจื่อดังไปตลอดทางเช่นนี้ ระหว่างทางคนที่เดินไปในความมืดทุกคน เมื่อเห็นภาพนี้ก็ต่างจิตใจสั่นสะท้านหวาดกลัว มีเงาร่างเด็กหนุ่มที่หน้าตาไร้อารมณ์คนนี้ฝังแน่นในความทรงจำ
ต่อให้เป็นลูกศิษย์ที่ลาดตระเวนก็มีบางคนที่ได้ยินเสียงวิ่งตามมา หลังจากได้เห็น จำฐานะของชิงอวิ๋นจื่อได้ ก็ต่างสีหน้าเปลี่ยนไป มองไปทางสวี่ชิง
สามารถสังหารระดับรวมปราณขั้นเก้าได้ แม้จะเป็นเพียงผู้ฝึกไร้สังกัดสำนักเล็กๆ แต่กลับถูกจับเป็นทั้งยังถูกทรมานจนถึงขั้นนี้ เห็นได้ถึงกำลังรบและความเหี้ยมโหด คนเช่นนี้ ไม่มีใครอยากไปหาเรื่องด้วยง่ายๆ
ศึกนี้ก็ทำให้สวี่ชิงมีชื่อเสียงบารมีขึ้นมาบ้างในเมืองหลัก
แต่การแข็งข้อของชิงอวิ๋นจื่อก็สลายไปจนหมดหลังจากที่ยืนหยัดได้หนึ่งชั่วยาม ในขณะที่สติสัมปชัญญะใกล้จะมอดดับ เขาก็บอกสถานที่หนึ่งให้กับสวี่ชิง และบอกความลับเกี่ยวกับสายคนนั้นให้สวี่ชิงฟัง
สายคนนั้นความจริงแล้วเป็นสายที่ชิงอวิ๋นจื่อเลี้ยงเอาไว้ เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายบอกเบาะแสของตัวเขาเองให้สวี่ชิง แต่เขามีความเคยชินหนึ่งคือหลังจากใช้สายไม่ว่าจะคนใดไปช่วงหนึ่งแล้ว ก็จะสังหารทิ้ง
ครั้งนี้ก็แค่ถึงตาสายคนนี้ก็เท่านั้น
หลังจากที่สวี่ชิงไปตามที่อยู่ที่ชิงอวิ๋นจื่อบอก ตรวจสอบอย่างละเอียดว่าไม่มีกับดัก ก็เข้าไปจริงๆ ในที่สุดคุกที่ปิดสนิทมีกลิ่นเหม็นมากมายผสมปนเป ก็ได้เห็นสายคนนั้นในสภาพลมหายใจรวยริน
สูญเสียเหรียญวิญญาณไป กลิ่นผงพิษที่หลงเหลือบนร่างกายยังผสมปนเปไปกับกลิ่นอื่น อีกทั้งยังถูกขังอยู่ในสถานที่ปิดสนิท ดังนั้นสวี่ชิงจึงหาไม่เจอ
แต่นางยังไม่ตาย ข้างกายนางล้วนเป็นซากศพเน่าเฟะ มีทั้งผู้ชายและผู้หญิง
วิธีตายของคนเหล่านี้น่าสลดสังเวชมาก เห็นได้ชัดว่าตอนมีชีวิตอยู่ก็ถูกทรมานอย่างโหดเหี้ยม อีกทั้งบนพื้นก็เหมือนจะมีค่ายกลวาดเอาไว้ คล้ายว่าการตายของพวกเขาเป็นพิธีอะไรบางอย่าง
การมาถึงของสวี่ชิงทำให้สายคนนี้ลืมตาขึ้นมาอย่างอ่อนแรง เมื่อนางเห็นชิงอวิ๋นจื่อที่สลบอยู่ข้างๆ ก็ไม่รู้เอาพลังมาจากที่ใด คุ้มคลั่งขึ้นมา ไม่สนใจว่าสวี่ชิงอยู่ข้างๆ กระโจนเข้าไปกัดทึ้งราวสัตว์ป่า กัดจนชิงอวิ๋นจื่อที่สลบอยู่ฟื้นขึ้นมา เขาร้องโหยหวนน่าสังเวช สุดท้ายนางก็กัดไปที่คอของชิงอวิ๋นจื่อ คำแล้วคำเล่า
จวบจนชิงอวิ๋นจื่อเลือดเนื้อแหลกเละ ร่างกระตุกขาดใจตาย นางถึงเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น เงยหน้าไปตามสัญชาตญาณ มองไปทางสวี่ชิงที่ใบหน้าไร้อารมณ์
ในสายตาของนาง สวี่ชิงในชุดนักพรตสีเทาทั้งร่าง ตัวเหยียดตรง ใบหน้าหล่อเหลาฉายความเย็นชาที่ทำให้นางยากจะคาดเดา กลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาจากกายของเขายิ่งทำให้นางหายใจไม่ค่อยออก
ดังนั้นความคุ้มคลั่งบนใบหน้าของนางจึงค่อยๆ ถูกสะกดลงไป หลังจากที่เปลี่ยนมาสงบนิ่งแล้ว ก็ค่อยๆ เผยความเรียบร้อยเชื่อฟังออกมาในสายตาของสวี่ชิง ร่างกายสั่นสะท้านไปตามสัญชาตญาณ เหมือนว่านึกอะไรออก รีบหาอะไรที่นี่ขึ้นมา
สุดท้ายก็หาแผ่นหยกชิ้นหนึ่งเจอ นางเงยหน้ามองสวี่ชิง คุกเข่าคำนับช้าๆ ราวว่าสยบศิโรราบ สองมือประคองส่งมอบให้สวี่ชิง
สวี่ชิงรับแผ่นหยกมา ข้างในบันทึกค่ายกลนอกรีตเอาไว้ค่ายกลหนึ่ง บรรยายไว้ว่าหลังจากที่เริ่มพิธีที่เหมาะสม ก็จะเรียกพลังที่ไม่คาดคิดมาได้
แต่เงื่อนไขของการเปิดค่ายกลคือต้องการอารมณ์ของสิ่งมีชีวิต สุข โกรธ เศร้า ดีใจ อารมณ์สุดโต่งต่างๆ
มองความสลดน่าสังเวชในคุกอย่างเงียบๆ หลังจากนิ่งไม่พูดอะไรไปนาน สวี่ชิงก็ลากศพของชิงอวิ๋นจื่อจากไป ก่อนจาก เสียงของเขาดังสะท้อนก้องอยู่ในหูของผู้หญิงคนนั้น
“วันหน้าต้องตั้งใจเป็นสายของข้า”
สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาตามเสียงเป็นเหรียญวิญญาณเหรียญหนึ่งและยาแก้พิษเม็ดหนึ่ง
หญิงสาวถือเหรียญวิญญาณและยาแก้พิษเอาไว้ พลางมองสวี่ชิงที่จากไปไกลอย่างอึ้งตะลึง เงาของเขาในดวงตาของนางค่อยๆ สลักไปในวิญญาณ ก้มหน้ารับคำ
ตอนนี้ข้างนอกอีกไม่นานก็เช้าแล้ว สวี่ชิงหยิบร่มกระดาษสีดำคันหนึ่งออกมา ลากซากร่างแหว่งวิ่นของชิงอวิ๋นจื่อเดินไปบนถนนเงียบๆ
ชั้นเมฆบนท้องฟ้าก่อเป็นชั้นๆ เหมือนจะสะท้อนอารมณ์ของเขาออกมา จวบจนเขาส่งศพของชิงอวิ๋นจื่อไปที่กรม และจากไปท่ามกลางความตื่นตะลึงของสหายร่วมงานแล้ว สวี่ชิงก็มองดวงอาทิตย์ยามเช้าตรู่บนท้องฟ้า มองเศษเสี้ยวใบหน้าเทพที่อยู่ไกลออกไป ในดวงตาฉายความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวออกมา
“ในโลกาวินาศที่โหดร้ายนี้ มีแค่แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้นจึงจะเลี่ยง…ไม่ตกไปเป็นเนื้อบนเขียงของคนอื่นได้!”