ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 590 ในโลกนี้มีน้อยนัก!
บทที่ 590 ในโลกนี้มีน้อยนัก!
ลมขาวพัดมา พัดหอบเม็ดทรายบนพื้น และไหวเอนต้นหญ้าขาว
หลี่โหยวเฝ่ยที่นอนอยู่บนนั้นตอนนี้แน่นิ่งไม่ขยับราวกับศพ
ร่างสูงห้าจั้งของเขาส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง แม้แต่การพัดพาของลมก็ไม่อาจกำจัดมันไปได้ อยู่ที่ไกลๆ ยังได้กลิ่น ชวนให้อยากอาเจียนนัก
จากที่ไกลๆ ยังมองเห็นหลายๆ ที่บนตัวเขาเน่าเปื่อยจนถึงกระดูก
ทั้งคนถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย
สิ่งที่ทำให้เขาเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ไม่ได้มีเพียงสิ่งประหลาดที่มาพร้อมกับลมขาวเท่านั้น ยังมีการปะทุของคำสาปชื่อหมู่ในร่าง ทุกอย่างนี้ส่งผลกระทบไปทั้งร่างกายและจิตวิญญาณของเขา
โดยพื้นฐาน เขาห่างจากความตายไม่ไกล หรือพูดให้ถูกคือเขาในตอนนี้ก้าวลงไปยังน้ำพุเหลืองเกือบจะทั้งขาแล้ว แต่เหมือนยังเหลือความไม่ยอมจำนนอีกกลุ่มหนึ่ง ฝืนรักษาพลังชีวิตกลุ่มหนึ่งเอาไว้ไม่ยอมดับสลาย
แต่การดิ้นรนเช่นนี้ทำให้เขาเจ็บปวดและทรมานมากขึ้น
สวี่ชิงเดินมายังข้างกายหลี่โหยวเฝ่ย หลังจากมองบาดแผลของเขาผาดหนึ่งก็ส่ายหน้า
“ช่วยไม่ได้แล้ว”
แม้สวี่ชิงจะมีลูกกลอนบรรเทาทุกข์ แต่ตอนนี้ทำได้เพียงแค่บรรเทาความเจ็บปวดอย่างต่อเนื่องที่เกิดขึ้นก่อนคำสาปจะปะทุโดยสมบูรณ์เท่านั้น ไม่ได้ลดคำสาป กระทั่งว่าทางทฤษฎีแล้วยังเพิ่มปริมาณคำสาปขึ้นด้วยซ้ำ
ดังนั้นหากหลี่โหยวเฝ่ยกินลูกกลอนบรรเทาทุกข์ลงไปในตอนนี้ ไม่เพียงแต่ไม่ได้ผล แต่กระทั่งว่าพลังชีวิตที่พยายามฝืนเอาไว้จะถูกคำสาปที่ปะทุขึ้นท่วมทับทันที
ในเมื่อไม่สามารถช่วยได้ สวี่ชิงก็เก็บสายตากลับมา เรียกเนตรเงากลับมาเตรียมจากไป
แต่ไปได้ไม่กี่ก้าว เขาพลันหยุดฝีเท้าลง หันไปมองหลี่โหยวเฝ่ยที่ร่างใกล้เคียงกับศพแล้ว ดวงตาฉายแววครุ่นคิด
‘ไม่ค่อยถูก
‘ด้วยคำสาปของชื่อหมู่ ภายใต้การปะทุเขาน่าจะทนไม่ได้นานขนาดนี้ และไม่มีทางมีพลังชีวิตเหลืออยู่
‘นี่ไม่ตรงกับหลักทฤษฎี’
สวี่ชิงรู้สึกสนใจขึ้นมาเล็กน้อย กลับมาข้างกายหลี่โหยวเฝ่ยอีกครั้ง
ครั้งนี้เขาสังเกตให้ละเอียดขึ้น จวบจนกระทั่งครู่หนึ่ง สวี่ชิงพลันยกมือขวาขึ้น คว้าร่างหลี่โหยวเฝ่ยเอาไว้ แล้วทะยานไปยังที่ไกลอย่างรวดเร็ว
ก้าวออกไปนอกพื้นที่ทะเลทรายคราม บนยอดเขาแห่งหนึ่งที่ห่างจากที่นี่ไปพันลี้ สวี่ชิงขุดถ้ำเอาไว้แห่งหนึ่ง โยนหลี่โหยวเฝ่ยไปในนั้น
จากนั้นก็ลบร่องรอยรอบๆ มายังข้างกายหลี่โหยวเฝ่ย ทำการศึกษาอย่างละเอียด
ระหว่างนั้นเขาประเดี๋ยวๆ ก็ยกมือผ่าร่างเน่าเปื่อยของอีกฝ่าย ควักเลือดเนื้อจำนวนหนึ่งออกมาสังเกต
จนกระทั่งหนึ่งวันหลังจากนั้น ดวงตาสวี่ชิงก็ฉายประกาย เขาหาเหตุผลเจอและทำการพิสูจน์การคาดเดาแล้ว
‘เป็นลมขาว…
‘การเร่งปฏิกิริยาของลมขาวปะทุพลังชีวิตและสภาวะไร้ระเบียบในร่างหลี่โหยวเฝ่ยอยู่ตลอดเวลา จุดประสงค์ของพลังกลุ่มนี้คือมอบสารอาหารให้กับไข่แมลงพวกนั้น ให้พวกมันเจริญเติบโต
‘แต่ก็เพราะเหตุนี้ทำให้ในร่างหลี่โหยวเฝ่ยหลังจากที่คำสาปปะทุ ไม่ได้ตายไปในทันที
‘บนร่างของเขา พลังลมขาวและพลังคำสาปทำการต่อต้านกันในระดับหนึ่ง แม้จะสู้คำสาปไม่ได้ แต่สุดท้ายก็รักษาพลังชีวิตไว้ให้หลี่โหยวเฝ่ยได้กลุ่มหนึ่ง’
สวี่ชิงตื่นเต้น
‘ลมขาวที่สามารถต้านทานคำสาปชื่อหมู่ได้มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่’
สวี่ชิงดวงตาเป็นประกาย ย่อตัวลง ชำแหละเลือดเนื้อของหลี่โหยวเฝ่ยทีละนิด เอาไข่แมลงเม็ดทรายออกมาทีละเม็ด และยังมีผูกงอิงเหล่านั้นก็เอาออกมาด้วยเช่นกัน
ขั้นตอนโหดเหี้ยมมาก ต้องชำแหละเลือดเนื้อนับไม่ถ้วน เนื้อที่เน่าเปื่อยบางแห่งยิ่งเพียงสัมผัสก็กลายเป็นน้ำสีดำ ไหลไปทั่ว ส่งกลิ่นเหม็นเน่า
แต่สวี่ชิงอดทนมาก เขาเหมือนช่างฝีมือที่มีสมาธิเป็นอย่างยิ่ง ไม่สนใจว่าวัตถุเป็นอย่างไร ทำการแกะสลักอย่างละเอียด
ไม่นานนักร่างของหลี่โหยวเฝ่ยภายใต้การลงมือของสวี่ชิง รอยแผลนับไม่ถ้วน มีบางที่สวี่ชิงตัดขาดในทีเดียว เก็บเลือดเนื้อที่ผสมผสานคำสาปกับลมขาวลงไป
และจากการที่นำไข่แมลงออกมาทีละใบๆ เมื่อสูญเสียแหล่งกำเนิดพลังชีวิต ร่างของหลี่โหยวเฝ่ยที่ถูกลมขาวเร่งปฏิกิริยาก็มีพลังเหลือไปต้านทานกับคำสาปที่ปะทุ
แม้จะสู้คำสาปไม่ได้ แต่สรุปแล้วพลังชีวิตของหลี่โหยวเฝ่ยก็ยังยืดต่อไปท่ามกลางการปะทุของคำสาป ตอนนี้ยังไม่สลายไป
แต่ว่าความจริงแล้วก็ไม่มีประโยชน์สักเท่าไร จากการวิเคราะห์ของสวี่ชิง อย่างมากสามถึงห้าวัน หลังจากที่ในร่างหลี่โหยวเฝ่ยผลาญพลังชีวิตจนหมดก็ยังคงถูกคำสาปกลืนกินอยู่ดี
แต่นี่เป็นการเบิกแนวความคิดให้สวี่ชิงได้เป็นอย่างมาก
‘หลี่โหยวเฝ่ยพลังชีวิตแข็งแกร่ง ด้วยสภาพของเขาในตอนนี้ ลูกกลอนบรรเทาทุกข์ก็ใช่ว่าจะเอามาลองไม่ได้’
สวี่ชิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง หยิบเอาลูกกลอนบรรเทาทุกข์เม็ดหนึ่งออกมา ยัดไปในปากของหลี่โหยวเฝ่ย จากนั้นก็สะบัดมือเส้นสีม่วงหลายร้อยเส้นปรากฏออกมา พุ่งเข้าไปในร่างหลี่โหยวเฝ่ย
ลูกกลอนบรรเทาทุกข์เป็นเพียงแค่หนึ่งในวิธีการ สวี่ชิงวางแผนศึกษาค้นคว้าหลี่โหยวเฝ่ยในระดับลึก ใช้ร่างของเขาเป็นวัตถุดิบ ใช้วิธีการหลอมลูกกลอนบรรเทาทุกข์ไปลองหลอม
‘อย่างไรเสียอัตราส่วนใหญ่ก็ตาย หากเขารอดมาได้จริงๆ ในการค้นคว้าภายหลังของข้าก็จะใช้ลมขาวเป็นทิศทางการค้นคว้า’
สวี่ชิงนั่งขัดสมาธิ ดวงตาทั้งสองหลับลง ค้นคว้าไปด้วย หลอมไปด้วย
หนึ่งวันหลังจากนั้น สวี่ชิงพาหลี่โหยวเฝ่ยจากไป เคลื่อนไปข้างหน้าตามทิศทางที่นกแก้วหมดอาลัยตายอยากชี้ทาง ระหว่างทางในยามพักผ่อน เขาก็หลอมหลี่โหยวเฝ่ยต่อ
จากการศึกษาของเขา การปะทุของคำสาปในร่างหลี่โหยวเฝ่ยก็เริ่มทุเลาลง แม้พลังคำสาปจะเพิ่มขึ้น แต่ทุกครั้งในยามที่เขาจะตาย สวี่ชิงล้วนเอาเนื้อที่ตัดออกมาของหลี่โหยวเฝ่ย หลังจากยัดเข้าไปในบาดแผลของเขา เนื้อเหล่านี้ก็ผสานไปอย่างรวดเร็ว และพลังชีวิตของเขาก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
นี่ทำให้สวี่ชิงประหลาดใจเป็นอย่างมาก
เขารู้สึกว่านี่ก็คือวัตถุดิบทดลองที่ถวิลหาแม้แต่ในฝันของตน
เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปเช่นนี้เอง
สวี่ชิงลึกเข้าไปในทิศตะวันตกของแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ในคืนวันนี้ หลังจากที่ทำการหลอมหลี่โหยวเฝ่ยในหุบเขาแห่งหนึ่งสำเร็จ เขาก็เก็บเส้นทั้งหมดของตัวเองกลับมา เอาลูกกลอนบรรเทาทุกข์ที่หลอมขึ้นจากเลือดเนื้อของหลี่โหยวเฝ่ย ป้อนให้เขา
ลูกกลอนเม็ดนี้ไม่เหมือนกับลูกกลอนบรรเทาทุกข์ทั่วๆ ไป เป็นในช่วงนี้ที่สวี่ชิงหลังจากศึกษาหลี่โหยวเฝ่ย ทำการปรับปรุงลูกกลอนบรรเทาทุกข์อย่างมหาศาล ตอนนี้สำเร็จไปแล้วกว่าครึ่ง ยังเหลืออีกเพียงนิดเดียวก็สำเร็จสมบูรณ์
“ฟื้นแล้วก็เลิกแกล้งตายเสียที”
หลังจากป้อนลูกกลอนบรรเทาทุกข์ลงไป สวี่ชิงก็เอ่ยราบเรียบ
หลี่โหยวเฝ่ยร่างสะท้านเฮือก จำต้องลืมตาทั้งสองขึ้นมา มองสวี่ชิงอย่างตื่นกลัวและซับซ้อน ความจริงเขาฟื้นขึ้นมาสามวันแล้ว…
แต่หลังจากที่เขาพบว่าสวี่ชิงทำการศึกษาค้นคว้าตัวเอง ความหวาดกลัวในใจก็ทำให้เขาไม่กล้าส่งเสียง จนกระทั่งเขาสัมผัสได้ว่าในสามวันนี้สวี่ชิงป้อนลูกกลอนมหัศจรรย์ให้กับเขา การปะทุของคำสาปในร่างทุเลาอย่างต่อเนื่อง
ภาพนี้ทำให้เขาตื่นตะลึงเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่โง่ ประสบการณ์ก็มากมาย ดังนั้นไม่นานนักเขาก็เดาได้ว่าลูกกลอนที่ตนกินลงไปคืออะไร
การคาดเดานี้ทำให้สมองของเขาขาวโพลน เป็นเวลานานแล้วก็ยังไม่อาจเรียกสติคืนมาได้
ในสามวันนี้เขาจำได้อย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายให้เขากินลงไปแปดเม็ด
‘ขายตัวข้าทิ้งยังซื้อไม่ได้สักเม็ด…เขามีจุดประสงค์อะไรในตัวข้า…’ หลายวันนี้หลี่โหยวเฝ่ยขบคิดคำตอบของคำถามนี้ด้วยจิตใจที่สั่นสะท้านมาโดยตลอด
ตอนนี้ถูกสวี่ชิงจับได้ว่าแกล้งตาย เขาก็เอ่ยด้วยเสียงต่ำทุ้มไปตามสัญชาตญาณคิดจะยืนยันการคาดเดาของตน
“ท่านปรมาจารย์ ที่ท่านให้ข้ากินลงไปคือ…”
“ลูกกลอนบรรเทาทุกข์” สวี่ชิงเอ่ยราบเรียบ
ต่อให้เดาได้อยู่แล้ว แต่ในเสี้ยวขณะนี้หลังจากที่หลี่โหยวเฝ่ยได้ยินคำตอบ ในสมองก็ยังมีสายฟ้าฟาดผ่า ถามขึ้นอย่างสั่นสะท้านว่า
“เช่นนั้น…ข้ากินไปกี่เม็ดหรือ”
“เดือนนี้กินไปประมาณร้อยกว่าเม็ด” สวี่ชิงคำนวณ มองไปทางหลี่โหยวเฝ่ย
หลี่โหยวเฝ่ยได้ยินก็ดวงตาเบิกกว้าง ลูกกระเดือกขยับอยู่สองสามที เขารู้ถึงราคาของลูกกลอนบรรเทาทุกข์ นั่นเป็นลูกกลอนที่ผู้บำเพ็ญระดับสมบัติวิญญาณยังต้องคลุ้มคลั่ง แต่ตนกินลงไปแล้วร้อยกว่าเม็ด…
เขาเชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง เพราะสามวันนี้ตนก็กินลงไปแล้วแปดเม็ด
หากเรื่องนี้แพร่ออกไป จะต้องนำมาซึ่งลมพายุภายนอกอย่างแน่นอน และสำหรับเขาแล้ว ความรู้สึกของตนในตอนนี้เหมือนว่าตัวเองเป็นขอทาน วันหนึ่งมีลูกพี่ใหญ่มา หลังจากมองตนผาดหนึ่งก็โยนหินวิญญาณหลายพันล้านก้อนมาให้…
ในเสี้ยวขณะนี้ เขาไม่ขบคิดว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ และไม่ขบคิดถึงจุดประสงค์ของสวี่ชิงแล้ว เขายืนขึ้นอย่างสั่นเทา คุกเข่าไปทางสวี่ชิงทันที
“ท่านปรมาจารย์!
“ไม่ว่าท่านจะให้ข้าทำอะไร ล้วนไม่เป็นไรทั้งนั้น ท่าน…มอบให้ข้ามากมายเหลือเกิน!”
สวี่ชิงมองหลี่โหยวเฝ่ยผาดหนึ่ง กำลังจะเอ่ยปาก แต่สีหน้ากลับเคร่งขรึมขึ้น เงยหน้ามองไปทางนอกหุบเขา
ตรงนั้นเป็นส่วนลึกของทางตะวันตกแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ตอนนี้ท้องฟ้ามืดสลัว ทั่วทุกทิศไร้แสง ท่ามกลางความรางเลือน มองเห็นเพียงหญ้ารกระเกะระกะข้างในและนอกหุบเขาเท่านั้น
และลมในยามราตรีค่อนข้างเสียดกระดูก พัดจากข้างนอกมาแปรเปลี่ยนเป็นเสียงหวีดหวิว และส่งเสียงอึกทึกของเสียงฆ้องเสียงกลองมา
เหมือนว่านอกหุบเขามีคนจำนวนไม่น้อยกำลังมาเยือน
สวี่ชิงในดวงตาฉายประกายวาบ หลี่โหยวเฝ่ยก็สัมผัสได้เช่นกัน รีบเปลี่ยนจากคุกเข่ามายืนขึ้น ทำท่าเหมือนปกป้องเจ้านายอย่างจงรักภักดี แย่งตำแหน่งของบรรพจารย์สำนักวัชระ
บรรพจารย์สำนักวัชระก็ลอยออกมาเช่นกัน กวาดสายตามองหลี่โหยวเฝ่ยอย่างดูถูก จากนั้นก็จ้องไปยังทางเข้าหุบเขา
ไม่นานนักเสียงอึกทึกก็ยิ่งหนักขึ้น เงาร่างกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากนอกหุบเขา สะท้อนในดวงตาสวี่ชิง
เงาร่างเหล่านั้นพิเศษเป็นอย่างมาก แต่ละร่างล้วนเป็นตุ๊กตาดินเหนียวที่สวมเสื้อผ้า มีจำนวนถึงร้อยกว่า
ข้างหน้าตีฆ้อง ข้างหลังตีกลอง ตุ๊กตาดินเหนียวหลายสิบตรงกลางกำลังแบกศาลเจ้าที่ทำจากหินหลังหนึ่ง
ในศาลเจ้าบูชาจิ้งจอกดินเหนียวเอาไว้รูปหนึ่ง สวมชุดสีแดง ใบหน้าแต่งแต้มด้วยชาด นิ่งไม่ไหวติงราววัตถุไร้ชีวิต
การปรากฏตัวของพวกมันทำให้รอบๆ เกิดลมเย็นเยือกกวาดไปในหุบเขา พัดต้นไม้ใบหญ้าบนพื้น
แต่เหมือนว่าจะไม่ได้สนใจสวี่ชิงและหลี่โหยวเฝ่ย ตุ๊กตาดินเหนียวกลุ่มนี้ต่างเดินผ่านข้างหน้าพวกเขาไป
สายตาสวี่ชิงกวาดไปบนตัวตุ๊กตาดินเหนียวพวกนี้ สำหรับเรื่องแปลกประหลาดในโลกใบนี้เขาชินชาเสียแล้ว ตอนนี้ไม่ได้ตื่นตกใจอัศจรรย์อะไร รู้ดีว่าตัวตนพวกนี้ปกติแล้วเป็นพวกรังแกคนอ่อนแอกลัวคนที่แข็งแกร่งกว่า ไม่จำเป็นต้องสนใจอะไรมาก
แต่ว่าในเมื่อตนขวางทาง ก็ไม่จำเป็นต้องวางท่าเกินสมควร
ดังนั้นสีหน้าของเขาเป็นเหมือนปกติ แผ่ระลอกคลื่นพลังบำเพ็ญ ถอยหลังไปสามสี่ก้าว หลีกทางให้ ปล่อยให้ตุ๊กตาดินเหนียวกลุ่มนั้นตีฆ้องตีกลองเดินผ่านไป
จนกระทั่งศาลเจ้าที่แบกมาเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ในยามที่มาถึงข้างหน้าสวี่ชิง จิ้งจอกดินเหนียวในนั้นก็พลันหันมาสวี่ชิงและหลี่โหยวเฝ่ย
ดวงตาที่ทำจากดินเหนียวตอนนี้เกิดระลอกคลื่นแล้วเปลี่ยนเป็นเหมือนอัญมณี ฉายประกายวาวแวว ยิ่งมีรัศมีอำนาจสยบจิตใจไหลวนอยู่ในนั้น
จากนั้นเสียงผู้หญิงที่ในความเกียจคร้านยังเจือเสน่ห์เย้ายวนก็ดังออกมาจากปากจิ้งจอก ฉายความประหลาดใจดังมา
“ปราณพลังหยางอย่างนั้นหรือ
“ยังมีปราณพลังหยางของผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดอีกหรือ อีกทั้งยังบริสุทธิ์ถึงเพียงนี้ ไม่เคยถูกดูดออกไปแม้เพียงนิดเดียว!
“ในโลกนี้มีน้อยนัก…”