ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 591 คุณชาย บอกราคามาเถิด!
บทที่ 591 คุณชาย บอกราคามาเถิด!
เสียงอ่อนหวานทรงเสน่ห์เหมือนเส้นไหมเป็นกลุ่มๆ ลอยพริ้วอยู่รอบๆ กระทบมาที่หู แทรกซึมไปในวิญญาณ ทำให้คนจิตใจเกิดระลอกคลื่นไปบ้างตามสัญชาตญาณ
สวี่ชิงขมวดคิ้วมองไปทางหลี่โหยวเฝ่ย
หลี่โหยวเฝ่ยอึ้งตะลึง พูดออกมาทันที
“ไม่ใช่ข้า…ไม่ใช่ตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ตอนระดับรวมปราณก็ไม่มีแล้วขอรับ”
จิ้งจอกดินเหนียวกวาดสายตามองหลี่โหยวเฝ่ยอย่างรังเกียจ เอ่ยอย่างเย็นชา
“ตัวโสโครกจากไหนกัน!”
พูดจบ นางก็มองไปทางสวี่ชิง ในดวงตาฉายความเย้ายวนเป็นระลอกๆ ออกมา คล้ายว่ามองการแกล้งปกปิดของสวี่ชิงออก เอ่ยเสียงแผ่วเบา
“ซ้ำยังรูปโฉมงามสง่าปานนี้ ทำเอาข้าเห็นแล้วใจสั่นเต้นระรัวเลยทีเดียว”
ขณะพูด จิ้งจอกดินเหนียวรูปนี้ก็ลุกขึ้น ในยามที่ลงมาจากศาลเจ้า ร่างเพียงไหววูบก็เปลี่ยนเป็นหญิงสาวงดงามแช่มช้อยคนหนึ่งแล้ว
ยอดเขาอวบอิ่มล้นทะลักสองลูกกระเพื่อมขึ้นลงตามการเดินของนาง เอวที่เหมือนน้ำเต้าอรชรอ้อนแอ้นนัก รวมกับเงาบั้นท้ายที่กระดกนูน ทำเอาหลี่โหยวเฝ่ยเห็นแล้วต้องสูดลมหายใจ หัวใจเต้นเร็วไปตามสัญชาตญาณ แอบร้องในใจว่านางปีศาจ
โดยเฉพาะผ้าคลุมโปร่งบางสีแดงที่วับแวมทั่วทั้งร่างนั่น อยู่บนร่างของนางเหมือนว่าจะร่วงหล่นได้ทุกเมื่อ
และผิวที่เนียนใส ร่างกายที่รูปร่างมีส่วนเว้าส่วนโค้งชัดเจน ขณะที่โยกย้ายนี้ก็แผ่กลิ่นอายที่ทำให้คนอยากจะเข้าใกล้ชิดชม ดั่งสามารถปลูกเมล็ดพันธุ์ไปในใจคน หยั่งรากผลิใบ
สวี่ชิงสายตาเย็นชา มองออกว่าพลังบำเพ็ญของปีศาจตนนี้ก็เป็นระดับปราณก่อกำเนิดเช่นกัน ตอนนี้เจ้าเงาใต้เท้าแผ่ออกไปแล้ว แต่ในตอนนี้สตรีที่เดินลงมาจากศาลเจ้าฝีเท้าพลันหยุดชะงัก เหยียบไปบนพื้นเล็กน้อย
เจ้าเงาสั่นงันงกไปในทันที ตลบม้วนกลับมา สวี่ชิงสายตาจ้องเพ่ง
หญิงสาวเลียริมฝีปาก ยิ้มพลางเอ่ย
“คุณชาย แม้ข้าและท่านต่างเป็นระดับปราณก่อกำเนิดเช่นกัน แต่ท่านไม่รู้ถึงเบื้องหลังและที่มาที่ไปของข้า ข้าเองก็ไม่อยากใช้อำนาจกดขี่ ยิ่งไม่อยากบังคับขู่เข็ญคนน่ารักที่ชวนให้คนเอ็นดูเช่นท่าน เช่นนั้นบรรยากาศดีๆ ก็เสียหมด
“ดังนั้น พวกเราปรึกษากันได้ทุกเรื่อง
“เจ้าบอกราคามาเถอะ”
สวี่ชิงเงียบนิ่ง เขาเพิ่งเคยเจอเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรก ส่วนหลิงเอ๋อร์ตอนนี้ก็โผล่ออกมาจากปกเสื้อสวี่ชิงแล้ว นางโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง ในดวงตาแฝงด้วยความดุร้าย เกล็ดบนร่างพองขึ้นมา จ้องสตรีคนนั้นเขม็ง
หญิงสาวเมินหลิงเอ๋อร์ สายตากวาดประเมินสวี่ชิงตั้งแต่ใบหน้าลงไป จนกระทั่งถึงเท้า ก็ไล่สายตาขึ้นมามองตากับสวี่ชิง อดไม่ได้ที่จะเลียริมฝีปาก
“พี่สาวไม่เอาเปรียบเจ้าแน่นอน”
พูดพลาง นางก็เอาน้ำเต้าออกมาใบหนึ่ง เขย่าๆ แล้วพูดขึ้นว่า
“ในนี้มีลูกกลอนบรรเทาทุกข์เก้าเม็ด แต่เดิมมีสิบเม็ด เมื่อครั้งที่แล้วมีคนใช้ผลึกเพลิงสวรรค์สีแดงยี่สิบก้อนซื้อมันไปเม็ดหนึ่ง แต่ว่าให้เจ้าหมดเลยก็ได้ เจ้าคิดว่าอย่างไร”
สวี่ชิงอึ้งตะลึง
หญิงสาวมองสวี่หน้าสวี่ชิง ในใจยิ่งฮึกเหิม แล้วสะบัดมือเอากระดูกสีเงินท่อนหนึ่งออกมา แย้มยิ้มพลางเอ่ย
“นี่คือลูกกลอนกระดูกของผู้วิเศษยิ่งใหญ่คนหนึ่งของเผ่าวิญญาณบรรพกาล มีประโยชน์อย่างมากกับงูน้อยตัวนั้นของเจ้า เอาหรือไม่”
หลิงเอ๋อร์อึ้งตะลึง จากนั้นก็กัดฟันมองอย่างโมโหโกรธเคืองต่อไป อดทนไม่ไปมองกระดูกชิ้นนั้น
หญิงสาวหัวเราะเบาๆ คิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอาวัตถุชิ้นหนึ่งออกมา นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นอวัยวะมนุษย์สีทองชิ้นหนึ่ง รูปทรงจันทร์เสี้ยว ดูแล้วเหมือนจะเป็นไต
“นี่เป็นของวิเศษชิ้นหนึ่ง ตอนนั้นมีสาวกคลุ้มคลั่งคนหนึ่งกัดชื่อหมู่ไปหนึ่งคำ จากนั้นร่างก็ถูกจับแยกชิ้นส่วน มีคนมอบไตนี้ให้ข้า หากคุณชายยินยอมอยู่เคียงข้างไปกับข้าสักสองสามวัน หลังจากเวลาสิ้นสุดก็เอาไปกินเสีย ชดเชยข้อบกพร่องของร่างกาย”
สวี่ชิงมองไตชิ้นนี้ อึ้งตะลึงไปอีกครั้ง
หลิงเอ๋อร์กระวนกระวายแล้ว
หลี่โหยวเฝ่ยอึ้งงงงัน เขาพลันอิจฉาสวี่ชิงขึ้นมาเสียเหลือเกิน
เห็นสวี่ชิงไม่ตอบรับ หญิงสาวถอนหายใจ
หญิงสาวพูดพลางหันหลังโยกย้ายสะโพก สำแดงเงาแผ่นหลังอันยั่วเย้าคนออกมาได้อย่างสุดยอด เดินมาถึงศาลเจ้าก็แปลงเป็นจิ้งจอกดินอีกครั้ง ส่วนตุ๊กตาดินเหนียวรอบๆ ตั้งแต่ต้นจนจบเหตุการณ์ล้วนใบหน้าไร้อารมณ์ ตอนนี้แบกศาลเจ้า เดินไปข้างหน้าต่อ
ลมเย็นพัดเป็นระลอกๆ พวกมันทะลุผ่านหุบเขา จากไปไกลไร้ร่องรอย
หุบเขาเงียบสงัดไปทั้งแถบ
สวี่ชิงเงยหน้า มองบริเวณที่จิ้งจอกดินเหนียวจากไปไกล สายตาฉายแววครุ่นคิด
หลิงเอ๋อร์มองไปทางสวี่ชิงอย่างกังวล หลี่โหยวเฝ่ยอยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ในใจซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง เขารู้สึกว่าหลังจากที่ตัวเองออกมาจากทะเลทรายครามแล้ว เรื่องราวในทุกๆ วันล้วนเกินคาดทั้งนั้น
“พี่สวี่ชิง…” หลิงเอ๋อร์เอ่ยเสียงเบา
“บนร่างนางไม่มีคำสาป” สวี่ชิงเอ่ยสงบนิ่ง
เขาเพียงพูดขึ้น หลิงเอ๋อร์โล่งอก หลี่โหยวเฝ่ยเมื่อได้ยินก็จิตใจสั่นสะท้าน
“ท่านปรมาจารย์ ความหมายของท่านคือ…นางมาจากนอกแผ่นดินใหญ่หรือ”
สวี่ชิงส่ายหน้า จิ้งจอกดินเหนียวรูปนี้มาอย่างกะทันหัน เขาไม่สามารถวิเคราะห์อย่างกระจ่างในเวลาสั้นๆ ว่าอีกฝ่ายผ่านมาจริงๆ หรือตั้งใจมาที่นี่โดยเฉพาะ
โดยเฉพาะของเหล่านั้นที่เอาออกมา ทุกชิ้นล้วนไม่ธรรมดา ลูกกลอนบรรเทาทุกข์ที่นางบอกว่าถูกซื้อไป ทำให้สวี่ชิงค่อนข้างลังเล เขาไม่รู้ว่าใช่เม็ดนั้นที่ตนแลกเปลี่ยนที่ตำหนักขบถจันทร์หรือไม่
แล้วยังมีไตนั่น…
สวี่ชิงลังเล แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ที่นี่ก็ไม่ใช่ที่ที่ควรอยู่นาน เขาจึงหันหลังร่างไหววูบ ทะยานไปในทิศตรงข้ามอย่างรวดเร็ว หลี่โหยวเฝ่ยรีบตามอยู่ข้างหลัง ไม่นานพวกเขาก็ไปจากหุบเขา
เวลาไหลไป ไม่นานนักก็ผ่านไปครึ่งเดือน
ในเวลาครึ่งเดือนนี้ สวี่ชิงไปตามการชี้นำทางของนกแก้ว เดินทางอยู่ตลอด เพียงแต่ทุกวันเขาจะปลีกเวลามาศึกษาค้นคว้าหลี่โหยวเฝ่ย หลังจากได้แรงบันดาลใจจากลูกกลอนที่หลอมได้จากร่างเขา ก็ทดลองปรับปรุงลูกกลอนบรรเทาทุกข์
หลี่โหยวเฝ่ยทีแรกยังกังวลตื่นเต้น แต่จากเวลาผ่านไปแต่ละวันๆ เขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนมาไม่ใส่ใจแล้ว
ส่วนเหตุผลที่เขาไปจากเทือกเขาทนทุกข์ สวี่ชิงในครึ่งเดือนนี้ก็เคยถามเหมือนกัน รู้ว่าอีกฝ่ายไปล่วงเกินบรรพจารย์คนหนึ่งของเทือกเขาทนทุกข์เข้า
“บรรพจารย์โม่กุยคนนั้นมีพลังบำเพ็ญระดับหวนสู่อนัตตา เป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งในบรรดาผู้บำเพ็ญไร้สังกัด อยู่กับทั้งตำหนักเทพและตำหนักขบถจันทร์ ชีวิตอยู่สุขสบายนัก
“เพื่อทำการทดสอบของตำหนักขบถจันทน์ให้สำเร็จ ข้าจนปัญญาจึงสังหารลูกศิษย์ของเขา…”
คิดถึงเรื่องนี้ หลี่โหยวเฝ่ยก็แอบมองไปทางสวี่ชิงแล้วถอนหายใจ เขารู้สึกว่าตัวเองขาดทุนเหลือเกิน แม้จะฆ่าคนได้แล้ว แต่ศพกลับไม่ได้เอากลับมา
เหตุที่แอบมองสวี่ชิงเพราะครึ่งเดือนมานี้เขาเห็นสวี่ชิงมีศพทาสเทวะ ซึ่งก็คือผู้บำเพ็ญที่ไล่สังหารตนสองคนนั้นนั่นเอง
ศพสองร่างนั้นก็เป็นวัตถุในการศึกษาค้นคว้าของสวี่ชิงเช่นกัน บางครั้งหลังจากที่ค้นคว้าหลี่โหยวเฝ่ยแล้ว เขาเจอกับจุดติดขัดทางด้านความคิดก็จะเอาพวกเขาออกมา เริ่มทำการชำแหละ
จากเวลาที่ผ่านไป ฝีมือการชำแหละก็ยิ่งชำนาญขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งต้องต้องเอาอวัยวะภายในออกมา ผ่าทีละนิดๆ สังเกตดู บางครั้งทุบกระดูกจนแหลกละเอียด สังเกตดูไขกระดูก
ทุกครั้งล้วนคราบเลือดเปรอะเปื้อนไปทั่วร่าง
สวี่ชิงก็ค้นพบลักษณะพิเศษของผู้บำเพ็ญทาสเทวะจากการนี้ นั่นก็คืออวัยวะมีการโจมตีในระดับที่แตกต่างกันไป แม้คำสาปในร่างของพวกเขาจะกลายเป็นความศรัทธา แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้สมบูรณ์
‘ไม่รู้ว่าผู้รับใช้เทวะระดับสมบัติวิญญาณจะเป็นอย่างไร’
สวี่ชิงครุ่นคิด
ทุกครั้งในเวลาเช่นนี้หลี่โหยวเฝ่ยล้วนตัวสั่นสะท้าน แม้ศพที่สวี่ชิงชำแหละไม่มีทางที่จะมีเสียงร้องคร่ำครวญดังออกมา แต่หลี่โหยวเฝ่ยทุกครั้งล้วนเห็นกับตาตัวเองอยู่ข้างๆ ความรู้สึกหวาดกลัวในใจก็รุนแรงขึ้นมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่ได้
เขารู้สึกว่าตัวเองก็เป็นคนเหี้ยมโหดเช่นกัน แต่เทียบกับปรมาจารย์แล้ว ไม่ควรค่าที่จะพูดถึงเลย และสิ่งที่ทำให้เขากลัวที่สุดคือ กังวลว่าจะมีสักวันหนึ่งที่ปรมาจารย์จะเกิดความคิดอยากจะศึกษาศพของตนหรือไม่
ขณะที่จิตใจหวาดกลัวขวัญแขวนนี้ พวกเขาก็ใกล้แม่น้ำเซ่นทมิฬที่อยู่ทางตะวันตกเข้ามาเรื่อยๆ และลูกกลอนบรรเทาทุกข์ของสวี่ชิงก็แก้ไขข้อบกพร่องเล็กๆ สุดท้ายได้ เปลี่ยนมาสมบูรณ์แบบ
ลูกกลอนนี้เป็นลูกกลอนที่สวี่ชิงอาศัยความมหัศจรรย์ของร่างหลี่โหยวเฝ่ย ผสานกับการศึกษาทั้งในและนอกของศพทาสเทวะทั้งสอง สุดท้ายก็ปรับปรุงหลอมออกมา
ข้างนอกไม่ต่างอะไรกับลูกกลอนบรรเทาทุกข์ทั่วไปนัก และมีแสงพรายห้าสีเช่นกัน เพียงแต่มองไปอย่างละเอียดก็จะเห็นรางๆ ว่าในสีสันเหล่านั้นแฝงไว้ด้วยสีขาว ดังนั้นสีของทั้งเม็ดจึงจางไปเล็กน้อย
แต่สรรพคุณของยาเกิดการเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกฟ้าพลิกปฐพี
มันไม่หยุดอยู่แค่บรรเทาความทรมานจากการปะทุของคำสาปเท่านั้น แต่สามารถลดคำสาปได้ด้วย!
หากแปลงพลังคำสาปในร่างของคนผู้หนึ่งให้เป็นตัวเลขหนึ่งหมื่น เช่นนั้นหลังจากที่กลืนลูกกลอนบรรเทาทุกข์เม็ดนี้ลงไป คำสาปก็จะเหลือเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้า
แม้จำนวนที่ลดลงไปจะน้อยมาก และยากที่จะสัมผัสได้ แต่นี่ก็เป็นการค้นพบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
เพราะคำสาปลดลงคือผลที่ถาวร!
หลักการที่เป็นพื้นฐานของมันคือใช้ประเภทการต้านทานเป็นหลัก ลดจำนวนไปตลอด ผลที่ตามมาถึงจะเป็นการบรรเทาความเจ็บปวดจากการปะทุของคำสาป
แต่ว่าผลข้างเคียงนั้นก็มีเช่นกัน มันจะผลาญพลังชีวิตในระดับหนึ่ง แต่เทียบกับลูกกลอนบรรเทาทุกข์ทั่วไปแล้ว ผลาญพลังน้อยกว่ามาก พลังการบรรเทาก็เพิ่มตามขึ้นมาด้วย
‘แต่น่าเสียดาย มีเพียงในตอนแรกที่กินลงไปเท่านั้นคำสาปถึงจะลดลง กินต่อจากนั้นไปก็ทำได้แค่บรรเทาความเจ็บปวดเท่านั้น ในเมื่อคำสาปมันมีชีวิต ทำการปรับเองได้’
สวี่ชิงเสียดายนิดๆ แต่เขาก็รู้ว่าเรื่องแบบนี้ยากที่จะสำเร็จในทีเดียว ลูกกลอนนี้จำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเป็นครั้งๆ ไปถึงจะได้ อีกทั้งตนก็ต้องการข้อมูลคำสาปที่มากกว่าเดิม
‘นอกจากนี้ หากข้าได้ศึกษาผู้รับใช้เทวะพลังบำเพ็ญระดับสมบัติวิญญาณได้สักหน่อยล่ะก็…’
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด เขารู้สึกว่าผู้บำเพ็ญผู้รับใช้เทวะระดับสมบัติวิญญาณ ในร่างของพวกเขาจะต้องมีความลับอย่างอื่นแน่นอน
‘แล้วก็สมุนไพรในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราน้อยเกินไป ข้าจำได้ว่าสมุนไพรที่เขตต้องห้ามบางอย่างมีไอพลังประหลาดเข้มข้นในตัว หากผสานกับสรรพคุณทางยา บางทีอาจจะมอบแนวคิดที่ดีขึ้นกว่าเดิมให้กับลูกกลอนบรรเทาทุกข์ฉบับปรับปรุงของข้าได้’
สวี่ชิงคิดๆ ก็ควบคุมเจ้าเงาไปปกคลุมร่างหลี่โหยวเฝ่ยที่สลบไสลไม่ได้สติ หลังจากทำให้เขาหลับลึกกว่าเดิม เขาก็สำรวจรอบๆ มั่นใจว่าไม่มีปัญหาก็เอากระจกออกมา ร่างเพียงไหววูบก็ก้าวเข้าไปในตำหนักขบถจันทร์
ไม่ได้เข้ามานาน ครั้งนี้ในตอนที่มาปรากฏบนแท่นบูชาในศาลเจ้า สวี่ชิงไม่ค่อยชิน ใช้เวลาอยู่พักหนึ่งเขาถึงจะเดินลงมา ในพริบตาที่ผลักประตูศาลเจ้า ท้องฟ้าสดใสและแสงอาทิตย์ที่เจิดจ้า ทำให้เขาต้องหรี่ตา มองไปทางที่ไกลตามสัญชาตญาณ
ตรงนั้น…เป็นทิศของศาลเจ้าที่เขาใช้ผลึกเพลิงสวรรค์แลกลูกกลอนบรรเทาทุกข์
นึกถึงจิ้งจอกดินเหนียวรูปนั้น สวี่ชิงในใจก็ระแวดระวังขึ้นมา ไม่ว่าจะบังเอิญหรือไม่ เขารู้สึกว่าการวิเคราะห์ต่อตำหนักขบถจันทร์ของตัวเองเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ผิดเลย
คนของตำหนักขบถจันทร์ไม่ธรรมดาจริงๆ
เขาจึงไม่ได้ไปจากศาลเจ้าของตัวเอง หลังจากสัมผัสที่นี่ก็สะบัดมือ แสงแถบหนึ่งแผ่ออกมาจากในศาลเจ้า หลอมรวมมาข้างหน้าเขา แปรเปลี่ยนเป็นกลุ่มแสงที่เหมือนกับศาลเจ้าแห่งอื่นๆ
ตรวจสอบครู่หนึ่ง สวี่ชิงก็เอาลูกกลอนที่ปรับปรุงของตัวเองออกมาแล้ววางไปในกลุ่มแสง
จากนั้นเขาก็ประกาศสิ่งที่ต้องการไปในนั้น
“เลือดสดๆ ของผู้รับใช้เทวะระดับสมบัติวิญญาณร้อยหยด”
สวี่ชิงไม่ได้ตั้งราคาที่เกินสมควร สำหรับเขาแล้วการหลอมลูกกลอนบรรเทาทุกข์นั้นง่ายมาก อย่างไรเสียเขาก็ให้หลี่โหยวเฝ่ยกินไปเกือบสองร้อยเม็ดแล้ว
สิ่งที่เขาต้องการคือยกระดับการปรับปรุงลูกกลอนของตัวเองให้เร็วที่สุด
จากความเข้าใจของเขาช่วงก่อนหน้านี้ หลังจากประกาศไปเช่นนี้ ทันทีที่มีคนทำสำเร็จก็จะทำการแลกเปลี่ยนเองได้เลย ในตอนที่ตนกลับมาอีกครั้งก็จะสามารถเอาของไปได้
‘หวังว่าจะเร็วหน่อย’
สวี่ชิงพึมพำในใจ หลังจากประกาศออกไปก็กลับมายังแท่นบูชา ไปจากที่นี่
หลังจากมาปรากฏบนยอดเขา เขาก็ตบเรียกหลี่โหยวเฝ่ยตื่น แล้วออกเดินทางต่อ
หนึ่งวันก็ผ่านไปเช่นนี้เอง
วันที่สอง ในตำหนักขบถจันทร์ ชายกำยำเพื่อนบ้านข้างศาลเจ้าสวี่ชิงผลักประตูใหญ่ เดินออกมาจากในนั้น
ถอดเสื้อเปลือยอก แถบผ้าที่ทำจากหินอยู่รอบๆ สีหน้าไม่โมโหแต่รัศมีอำนาจฉายชัด ทำให้เขาอยู่ใต้แสงอาทิตย์รัศมีอำนาจดูองอาจน่าเกรงขาม
ในเมื่อความมืดมิดและความทุกข์ยากในโลกความจริงจะคอยเตือนเขาถึงความน่าสังเวชเวทนาของชะตาชีวิตอยู่ทุกเวลา
คนที่เป็นเหมือนเขามีจำนวนไม่น้อย ล้วนชอบที่จะอยู่ที่นี่
แต่ตำหนักขบถจันทร์มีกฎสำหรับเรื่องนี้ ต่อให้ไม่ยินดี แต่ทุกๆ สามสี่วันพวกเขาต้องกลับไปยังโลกความจริง
นี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าสวี่ชิงเอะอะหนวกหูและมองอย่างโมโหโกรธเคืองอยู่หลายครั้ง
เวลาเสพสุขที่เดิมก็มีไม่มากอยู่แล้ว หากมีเสียงรบกวนระเบิดครืนครันไม่หยุด เปลี่ยนเป็นใครก็ต้องหงุดหงิดทั้งนั้น
ตอนนี้หลังจากเดินออกมา สัมผัสได้ถึงความสงบสุข ชายกำยำก็บิดขี้เกียจ กำลังจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย แต่หางตาก็เหลือบไปเห็นศาลเจ้าของสวี่ชิงที่อยู่ข้างๆ สังเกตว่าที่นั่นมีกลุ่มแสงกะพริบ คิ้วของชายกำยำก็เลิกขึ้น
“ไอ้เวรตะไลน่าระรังเกียจที่ชอบทำตัวลึกลับนั่นเริ่มขายของแล้วหรือ”
ชายกำยำไม่ได้สนใจเท่าไร แค่นเสียงหัวเราะขึ้นจมูกทีหนึ่ง ในดวงตาฉายแววดูถูก
ในความทรงจำของเขา เจ้าของศาลเจ้าผู้นั้น ทุกครั้งที่ปรากฏตัวล้วนท่าทางลึกลับ อีกทั้งแทบจะไม่พูดคุยกับใคร
ตนมองไปอย่างโมโหหลายครั้ง อีกฝ่ายเมื่อเห็นก็หลบหลีก จากไปอย่างรวดเร็ว เหมือนกระต่ายที่ตื่นตกใจอย่างนั้น
“ช่างเถอะ ไปดูสักหน่อยว่าเจ้ากระต่ายตัวนี้ขายอะไร และอาศัยโอกาสนี้ดูว่าคนผู้นี้เป็นคนเช่นไร”
ชายกำยำไม่พอใจเพื่อนบ้านคนนี้มานานมากแล้ว ดังนั้นร่างเพียงไหววูบก็มาอยู่นอกศาลเจ้าของสวี่ชิง กวาดตามองกระถางธูปสัมฤทธิ์สนิมเขรอะไม่มีธูปแม้แต่ดอกเดียวก็หัวเราะเยาะ เดินอาดๆ เข้าไปในศาลเจ้าของสวี่ชิง
หลังจากก้าวเข้ามา เขาก็มองรูปสลักที่นิ่งไม่ไหวติงบนแท่นบูชาอย่างดูถูกผาดหนึ่ง แล้วกวาดสายตามองกลุ่มแสงเพียงกลุ่มเดียวที่ลอยอยู่กลางอากาศ ยกมือคว้าส่งๆ ไปทางกลุ่มแสง
“ดูสิว่าของที่เจ้านี่ขายครั้งแรกเป็นขยะอะไร”
แต่ในพริบตาที่มือของเขาสัมผัสกลุ่มแสง สีหน้าที่เดิมสุขุมลุ่มลึกของชายกำยำก็เปลี่ยนไปทันที
ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ทั้งคนเหมือนถูกสายฟ้ามากมายฟาดผ่า ในสมองเกิดคลื่นซัดโหมทันที ร่างชะงักค้างอยู่ตรงนั้นไปทันใด