ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 592 สร้างชื่อในตำหนักขบถจันทร์
บทที่ 592 สร้างชื่อในตำหนักขบถจันทร์
“ลูกกลอนบรรเทาทุกข์? ของชิ้นแรกที่ขายคือลูกกลอนบรรเทาทุกข์หรือ แล้วราคานี้…”
ชายกำยำหายใจหอบถี่ขึ้นมาเหมือนไม่กล้าเชื่อสิ่งที่ตนเห็น จึงสัมผัสอย่างรวดเร็วอีกครั้ง จนแน่ใจว่าตนเองไม่ได้ตาฝาด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
“ใช้แค่เลือดผู้รับใช้เทวะหนึ่งร้อยหยด!”
สมองชายกำยำมึนเบลอเล็กน้อย แม้ลูกกลอนบรรเทาทุกข์จะพบเห็นได้น้อย แต่เขาอยู่ในตำหนักขบถจันทร์มาหลายปี เจอผู้ค้ามาไม่น้อย ย่อมรู้ว่าลูกกลอนบรรเทาทุกข์มีมูลค่ามหาศาล
แต่ในความทรงจำของเขา แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเห็นลูกกลอนบรรเทาทุกข์ที่ขายในราคาต่ำถึงเพียงนี้
นี่ทำให้เขาค่อนข้างสงสัยว่าตนจะมาเจอกับพวกต้มตุ๋นในตอนแรก
แต่การแลกเปลี่ยนของตำหนักขบถจันทร์ เนื่องจากต้องนำสิ่งของมาวางไว้ก่อน ดังนั้นผู้ที่จะแลกเปลี่ยนจึงสามารถสัมผัสก่อนได้ ปกติแล้วเกิดความผิดพลาดขึ้นไม่บ่อยนัก นอกจากนี้หากเล่นลูกไม้ที่นี่แล้วถูกจับได้ผลที่ตามมาหนักหนายิ่ง
ที่เบาหน่อยจะถูกผนึกการแลกเปลี่ยนในศาลเจ้า ที่หนักหน่อยกระทั่งถูกลบสถานะในตำหนักขบถจันทร์ ตัดสิทธิ์ตลอดกาล
ดังนั้นปกติแล้ว มีน้อยคนนักที่มาเล่นตุกติกที่นี่ มันไม่คุ้มค่า
ชายกำยำคนนี้จึงรีบเข้าประชิด หลังจากวิเคราะห์อย่างละเอียด ลมหายใจของเขาก็หอบถี่ขึ้นอีกครั้ง ใจเต้นรัวเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จากนั้นก็หันหลัง พุ่งออกไปด้านนอกทันที
‘ของหลุดชิ้นใหญ่!
‘นี่มันเป็นของหลุดชิ้นที่ใหญ่ที่สุด…เท่าที่ข้าเคยเจอในตำหนักขบถจันทร์!
‘ไม่ได้การ ข้าต้องรีบแลกมาให้ไวที่สุด ถ้าพลาดของหลุดนี่ไป ข้าคงเสียใจไปทั้งชีวิตแน่!
‘เจ้ากระต่ายนี่ไม่มีทางไม่รู้ราคา แต่ทำไมถึงกำหนดราคาเช่นนี้ล่ะ…หรือว่าเขาจะเขียนผิดเพราะเรื่องอะไรบางอย่าง ที่ต้องการน่าจะเป็นเลือดผู้รับใช้เทวะหนึ่งพันหยดถึงจะถูก!’
พริบตาที่เดินออกมาจากศาลเจ้าของสวี่ชิง ความตื่นเต้นในใจชายกำยำก็ไม่อาจพรรณนาได้แล้ว เขารู้สึกว่าตนเองต้องรีบแลกยาลูกกลอนบรรเทาทุกข์ที่ล้ำค่ามหาศาลเม็ดนี้ก่อนที่เจ้าโง่นั่นจะรู้ตัว
‘จะให้คนสังเกตเห็นไม่ได้!’
คิดถึงตรงนี้ ชายกำยำที่เดินออกจากศาลเจ้าก็รีบสะกดความตื่นเต้นในใจ แสดงท่าทีสงบนิ่งมากๆ ออกมา กระทั่งเมื่อมีคนเดินผ่านที่ด้านนอก เขายังแสดงสีหน้าหยามหมิ่นอย่างกับกำลังมองขยะ
และเมื่อมาถึงที่ที่ไม่มีคน เขาก็สะกดไว้ไม่อยู่อีกต่อไป รีบติดต่อสหายของตนในตำหนักขบถจันทร์ ใช้เส้นสายกับช่องทางทั้งหมดของตน รวบรวมเลือดผู้รับใช้เทวะมา
‘เจ้ากระต่ายน้อยนั่นไม่ได้ระบุว่าจะต้องเป็นของคนคนเดียว เช่นนั้นก็ง่ายหน่อยแล้ว หลายปีมานี้ มีคนมากมายที่ปะทะกับผู้รับใช้เทวะ เลือดของผู้รับใช้เทวะจะมากจะน้อยก็ถือว่ามีอยู่บ้าง’
ระหว่างความดีใจนี้ ชายกำยำก็ฮึกเหิม ทุ่มพลังทั้งหมด ในที่สุดหลังจากผ่านไปหนึ่งวัน เขาก็รวบรวมเลือดผู้รับใช้เทวะมาจนครบจากทั่วสารทิศ
ในหนึ่งวันนี้ เขากังวลว่าจะมีคนมาแลกไปเสียก่อน กระทั่งยังคอยเฝ้าอยู่นอกศาลเจ้าตน ทำทีเป็นเดินเอ้อระเหย แต่อันที่จริงคอยระวังรูปปั้นทั้งหมดที่สัญจรไปมา กลัวจะมีคนไปที่สวี่ชิงทางนั้น
จนถึงตอนนี้ ได้รับเลือดผู้รับใช้เทวะมาครบแล้ว ชายกำยำก็เดินเข้าไปในศาลเจ้าสวี่ชิงอย่างรวดเร็วราวสายลม พุ่งตรงไปยังแสงกลุ่มนั้นอย่างใจร้อน แลกเปลี่ยนด้วยความเร็วทั้งหมดที่มี
พริบตาต่อมา ตอนที่ลูกกลอนเม็ดหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของเขา ชายกำยำก็รีบดม ในใจยินดีปรีดาอย่างยิ่ง
‘สี กลิ่น เหมือนกับที่คนอื่นขาย น่าจะเป็นของจริง!
‘ฮ่าๆ ของหลุดชิ้นใหญ่!!’
นอกจากความดีใจ จู่ๆ เขาก็สัมผัสได้ สังเกตเห็นว่ารูปปั้นบนแท่นบูชาสั่นเล็กน้อย ก็ตกใจ
‘เจ้ากระต่ายกลับมาแล้ว เขาน่าจะสังเกตเห็นความผิดพลาด อยู่ที่นี่ต่อไม่ได้แล้ว!’
ชายกำยำหันหลังพุ่งออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว ท่าทางรู้สึกผิดที่เอาเปรียบผู้อื่น รีบหนีออกไปอย่างรวดเร็ว
ตอนที่ร่างของเขาหายไป รูปปั้นบนแท่นบูชาก็ลืมตาทั้งสองขึ้น
สวี่ชิงกลับมาแล้ว
‘คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่ขายวัตถุดิบในตำหนักขบถจันทร์ออกไป ต่อให้ข้าอยู่ที่โลกภายนอกก็ยังสัมผัสได้’ สวี่ชิงประหลาดใจเล็กน้อย เงยหน้ามองไปทางด้านนอกศาลเจ้า
เมื่อครู่เขาเห็นร่างหนึ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ดูจากแถบผ้าที่แผ่นหลัง น่าจะเป็นเพื่อนบ้านที่เจือแววไม่ชอบใจตนมาตลอดคนนั้น
สวี่ชิงระแวดระวัง ตรวจสอบรอบๆ จนมั่นใจว่าไม่ปลอดภัย หลังจากนึกย้อนถึงแผ่นหลังที่เร่งรีบนั้น ก็คาดเดาคำตอบไว้ในใจแล้ว
‘คงคิดว่าข้าทำผิดไว้สินะ เก็บของหลุดชิ้นใหญ่ไป จึงหนีไปอย่างรู้สึกผิดเหรอ’
สวี่ชิงไม่สนใจ ยืนอยู่บนแท่นบูชายกมือคว้ากลุ่มแสงตรงหน้า
ทันใดนั้นกลุ่มแสงก็เปล่งแสงวูบวาบ ขวดลูกกลอนใบหนึ่งลอยออกมาจากด้านใน ร่วงมาบนมือเขา
หลังจากตรวจสอบ สวี่ชิงก็รู้สึกยินดีเป็นพิเศษ
‘ไม่ใช่ของคนผู้เดียว แต่มีอยู่นับสิบคน ไม่เลวๆ’
สวี่ชิงพึงพอใจมาก นี่จะเป็นตัวอย่างให้เขาศึกษาค้นคว้าได้อีกมากมาย จึงล้วงลูกกลอนบรรเทาทุกข์ออกมาใส่ไว้ในกลุ่มแสงอีกเม็ด
ครั้งนี้ยังคงเป็นเลือดผู้รับใช้เทวะหนึ่งร้อยหยด
ทำเรื่องเหล่านี้เสร็จสิ้น รูปปั้นของสวี่ชิงก็สงบนิ่ง เขาเลือกกลับออกไป
หลังผ่านไปครู่หนึ่ง เพื่อนบ้านที่ไม่ใส่เสื้อด้านนอกศาลเจ้าคนนั้น ก็ปรากฏตัวอย่างระมัดระวัง สังเกตอยู่พักหนึ่งก็มั่นใจว่าสวี่ชิงออกไปแล้ว จึงผ่อนลมหายใจโล่งอก สีหน้าฮึกเหิมกระปรี้กระเปร่า
‘ฮ่าๆ เจ้าโง่คนนี้ เมื่อครู่จะต้องโมโหหนักแน่ๆ’
นึกถึงอีกฝ่ายฝ่าส่งเสียงดังอึกทึกครึกโครมนับเดือน ชายกำยำก็รู้สึกสบายใจขึ้น สังเกตเห็นว่ากลุ่มแสงในศาลเจ้าเหมือนจะมีของชิ้นใหม่มาแล้ว เขาจึงเดินเข้าไปอย่างได้ใจ
‘ไหนข้าดูหน่อยว่าเจ้ากระต่ายน้อยเอาอะไรมาขายอีก’
ชายกำยำสบายอารมณ์ ยกมือสัมผัส แต่พริบตาต่อมาดวงตาเขาก็เบิกกว้างอีกครั้ง หัวสมองมีทัณฑ์สวรรค์ฟาดผ่ากึกก้องยิ่งกว่าเดิม ระหว่างที่ใจส่งเสียงครืนครัน เขาก็รู้สึกเหมือนเป็นภาพมายา จึงไปยืนยันด้วยสัญชาตญาณ
ครู่ต่อมา ดวงตาเขาเลื่อนลอย
‘ทำไม…ถึงยังมีอีก
‘แล้วก็ยังเป็นเลือดผู้รับใช้เทวะหนึ่งร้อยหยดเหมือนเดิม
‘เป็นไปไม่ได้ หรือว่าเจ้านี่จะเป็นคนโง่จริงๆ…
‘ไม่สิ ไม่แน่ยาลูกกลอนนี้อาจจะมีปัญหา!!’
ชายกำยำสีหน้ามืดครึ้มทันที หันหลังเดินไป รีบกลับมายังศาลเจ้าของตัวเอง แล้วเลือกกลับออกไป เขาจะไปพิสูจน์ว่ายาลูกกลอนที่ซื้อมาเป็นของจริงหรือไม่
‘หากเป็นของปลอม เขาได้เห็นดี!’
ขณะที่กัดฟัน ชายกำยำก็จากไป
หนึ่งวันต่อมา เขากลับมาอีกครั้ง สีหน้ายังมีความตกใจหลงเหลืออยู่ พุ่งไปที่ศาลเจ้าของสวี่ชิงอย่างบ้าคลั่ง
‘ของจริง เป็นของจริง!’
แต่หลังจากที่เขามาถึงศาลเจ้าของสวี่ชิง ก็พบว่าคนอื่นแลกยาลูกกลอนในกลุ่มแสงไปแล้ว ความตื่นเต้นนี้ก็กลายเป็นความเสียใจอย่างสุดซึ้งในพริบตา
‘ให้ตายเถอะ ทำไมก่อนหน้านี้ข้าไม่แลกไว้นะ!’
ชายกำยำทุบอก รู้สึกเจ็บใจอย่างยิ่ง ความรู้สึกที่พลาดของชิ้นนั้นไปทำให้เขามาสำนึกเสียใจก็ไม่ทันการ จึงรออีกสองสามวัน พบว่าสวี่ชิงทางนั้นไม่ได้วางยาลูกกลอนเอาไว้อีกเลย สิ่งนี้ยิ่งทำให้เขารู้สึกขมขื่นและเสียใจรุนแรงขึ้นไปอีก
สองสามวันมานี้สวี่ชิงไม่ได้ขายยาลูกกลอนต่อจริงๆ
เลือดผู้รับใช้เทวะสองร้อยหยดก่อนหน้านี้ มอบแนวคิดให้เขามากมาย วิธีการหลอมก็ค่อยๆ ยกระดับขึ้นมาเล็กน้อย
ตอนนี้บนที่ราบที่อยู่ห่างจากแม่น้ำเซ่นทมิฬราวครึ่งเดือน สวี่ชิงหลอมยาลูกกลอนจากร่างของหลี่โหยวเฝ่ยเสร็จ ก็นึกถึงสมุนไพรในพื้นที่ต้องห้ามที่เขาต้องการอีกครั้ง
‘ที่ข้าไม่มี ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่มี…’
หลังจากสวี่ชิงครุ่นคิดก็เลือกเข้าไปในตำหนักขบถจันทร์ วางลูกกลอนบรรเทาทุกข์อีกเม็ด ครั้งนี้ที่ต้องการไม่ใช่เลือดผู้รับใช้เทวะแล้ว แต่เป็นสมุนไพร
จัดการเสร็จ สวี่ชิงก็ออกมา
ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ชายกำยำเพื่อนบ้านที่คอยสังเกตการณ์อยู่ตลอด ก็เดินออกมาจากศาลเจ้าของตน หันหน้าไปมองอย่างเสียใจด้วยสัญชาตญาณ
เขาแลกเลือดผู้รับใช้เทวะเอาไว้ล่วงหน้ามากมาย ตอนนี้ก็รีบคว้ากลุ่มแสงขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
‘ยังมีอยู่จริงๆ ด้วย!
‘คนผู้นี้…ไม่ปกติ!’
ชายกำยำใจจดใจจ่อ แม้ครั้งนี้จะเปลี่ยนเงื่อนไข ทำให้เขาไม่สามารถแลกเปลี่ยนไปได้ทันที แต่สมุนไพรที่อีกฝ่ายต้องการ เขาจำได้ว่าเคยเห็นคนขาย แม้มูลค่าจะสูง แต่ก็เทียบกับลูกกลอนบรรเทาทุกข์ไม่ติด
‘คนผู้นี้จะต้องเป็นปรมาจารย์แน่!
‘เขาน่าจะหลอมยาลูกกลอนบรรเทาทุกข์ขึ้นมาได้เอง บางทีสำหรับเขาแล้วนี่อาจจะไม่นับเป็นอะไรเลย หรือบางทีเบื้องหลังของคนผู้นี้ก็ยิ่งใหญ่มาก ถึงได้ใจกว้างเพียงนี้!
‘แต่อย่างไร นี่ก็ถือเป็นผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง!’
ชายกำยำรู้สึกว่าวาสนาทั้งชีวิตของตนเองอยู่ที่นี่ จึงหันหลังไปตามหาสมุนไพรที่ปรมาจารย์ต้องการทันที ในใจก็กังวลว่าคนอื่นจะมาแลกไปก่อน
เพียงแต่ครั้งนี้ เรื่องที่เขากังวลก็เกิดขึ้นแล้ว
พริบตาที่เขาเดินออกจากศาลเจ้า รูปปั้นรูปหนึ่งพุ่งเข้ามาจากด้านนอก ผ่านข้างกายเขาไปอย่างรวดเร็ว ตรงไปทางกลุ่มแสง
ชายกำยำตกตะลึง หันหน้าไปพลัน เห็นสีหน้ารูปปั้นนั้นหลังจากที่สัมผัสกลุ่มแสงก็ตกตะลึง จากนั้น อีกฝ่ายก็สังเกตเห็นสายตาของชายกำยำก็จ้องเขม็งทันที
ต่างไม่เป็นมิตร เปี่ยมไปด้วยการประลอง
“เจ้านี่เอง เก้าเก้าเจ็ดหนึ่งห้า”
ชายกำยำกัดฟัน คนที่นี่จะไม่เรียกชื่อกัน หลังจากรู้จักแล้วก็จะใช้หมายเลขในการเรียก รูปปั้นตรงหน้านี้ ชายกำยำรู้จัก และเป็นเจ้าของศาลเจ้าที่อยู่ในระแวกนี้
“ยาลูกกลอนของปรมาจารย์ มีวาสนาถึงจะได้ครอบครอง” รูปปั้นนั้นยิ้มเย็น ไม่สนใจชายกำยำ จากไปอย่างรวดเร็ว
ชายกำยำแค่นเสียงเย็น พุ่งทะยานตลอดทาง ทุ่มกำลังทั้งหมดที่มี ห้าชั่วยามต่อมา ในที่สุดเขาก็หาสมุนไพรที่สวี่ชิงต้องการพบ ตอนที่รีบกลับมาก็เห็นเพื่อนบ้านเก้าเก้าเจ็ดหนึ่งแปดคนนั้นเดินออกมาจากศาลเจ้าสวี่ชิง
ชายกำยำไม่ยอม รีบเข้าไปในศาลเจ้าสวี่ชิง เห็นว่ากลุ่มแสงนั้นไม่มีลูกกลอนบรรเทาทุกข์แล้ว ก็รู้สึกแค้นใจมาก หลังจากออกมาก็นั่งเฝ้ารอที่ด้านนอกศาลเจ้าตรงนั้น
นี่ถือว่าได้ผล เพราะตามที่แต่ละวันผ่านพ้นไป สวี่ชิงก็นำลูกกลอนบรรเทาทุกข์ออกมาวางไว้อย่างต่อเนื่องเป็นจำนวนไม่น้อยเลย
สำหรับสวี่ชิง สะดวกอย่างยิ่ง การแลกเปลี่ยนของตำหนักขบถจันทร์ แก้ไขอุปสรรคในการหลอมลูกกลอนบรรเทาทุกข์ให้กับเขาทั้งหมด
ไม่ว่าจะต้องการอะไร ขอแค่เอาไปวางไว้ก็พอ อย่างช้าก็หนึ่งวัน ถ้าเร็วหน่อยก็หนึ่งถึงสองชั่วยาม ก็จะมีคนนำสิ่งที่เขาต้องการทั้งหมดมาแลก
เมื่อเป็นเช่นนี้ เส้นทางการปรับปรุงลูกกลอนบรรเทาทุกข์ของสวี่ชิงก็ยิ่งราบรื่น โดยเฉพาะความเร็วที่เพิ่มขึ้นมหาศาล
แม้จะวางลูกกลอนบรรเทาทุกข์ไว้หลายสิบเม็ด แต่สำหรับสวี่ชิงแล้ว แค่โบกมือก็หลอมจากร่างหลี่โหยวเฝ่ยได้แล้ว
ส่วนความตกตะลึงในใจหลี่โหยวเฝ่ยเมื่อผ่านวันคืนเหล่านี้ไปก็เฉยชาในที่สุด ทุกวันเขาจะเห็นสวี่ชิงใช้ร่างกายของตนเองหลอมยาลูกกลอน มองลูกกลอนบรรเทาทุกข์ทีละเม็ดๆ เหล่านั้นก่อตัวบนร่างกายตัวเอง เขารู้สึกว่าทั้งหมดนี้เหนือกว่าที่ตนคาดไว้แล้ว
กระทั่งบางครั้ง เขาก็ยังเกิดความคิดบ้าๆ บางอย่างขึ้นมา เช่น…ตนอาจจะเป็นวีรบุรุษที่ช่วยแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา
แต่หลังจากเห็นสวี่ชิง เขาก็ยังต้องทำลายความคิดนี้ทิ้งไป เปลี่ยนเป็นเชื่อฟังมากกว่าเดิม
ขณะเดียวกัน ตำหนักขบถจันทร์ก็เกิดแรงกระเพื่อมขึ้นมาไม่น้อยจากการกระทำของสวี่ชิงในช่วงนี้
อันดับแรกคือที่ด้านนอกศาลเจ้าสวี่ชิง จากรูปปั้นสองรูปตอนแรกเปลี่ยนเป็นสาม จากนั้นก็เป็นสี่เป็นห้า และข่าวเกี่ยวกับที่นี่ก็แพร่ออกไป ดังนั้นรูปปั้นที่มารอก็มีมากถึงหลายสิบคน
รูปปั้นเหล่านี้ล้วนระแวดระวังกันเอง ทุกครั้งที่แสงที่ศาลเจ้าสวี่ชิงปรากฏ พวกเขาก็จะพุ่งเข้าไปตรวจสอบเป็นอันดับแรก จากนั้นก็แยกย้ายคนละทิศละทาง แย่งกันเป็นที่หนึ่ง การแข่งขันดุเดือดพลุ่งพล่าน
รูปปั้นมากมายขนาดนี้รออยู่ ย่อมทำให้เกิดความสงสัยใคร่รู้ของคนที่ผ่านไปผ่านมา รูปปั้นทุกรูปที่เดินผ่านเมื่อเห็นความครึกครื้นที่นี่ก็ล้วนประหลาดใจ จากนั้นก็ลองสำรวจ ลองสังเกต ความน่าพิศวงจึงเริ่มแผ่ขยายออกไป
ดังนั้นรูปปั้นจึงเริ่มปรากฏตัวที่ด้านนอกศาลเจ้าสวี่ชิงที่มากขึ้น จำนวนเริ่มจากหลักสิบไปเป็นร้อย ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากกลุ่มคนที่แน่นขนัดก็ยิ่งน่าครั่นคร้าม
โดยเฉพาะกระถางธูปสัมฤทธิ์หน้าศาลเจ้าสวี่ชิง ธูปสามสิบกว่าดอกควันขโมงโฉงเฉง ดูทรงอิทธิพล ก็ยิ่งดึงดูดคนมากขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งหลังจากที่มีคนมาคอยอยู่ด้านนอกนับร้อย ข่าวลือเกี่ยวกับปรมาจารย์ก็แพร่สะพัดไปทั่วตำหนักขบถจันทร์
“นี่เป็นปรมาจารย์ลึกลับที่เห็นใจมนุษย์ผู้หนึ่ง!”
“ศาลเจ้าที่เขาอยู่คือหมายเลขเก้าเก้าเจ็ดหนึ่งเก้า ข้ายอมเรียกเขาว่าปรมาจารย์ลูกกลอนเก้าเลย!”
“ลูกลอนบรรเทาทุกข์ของปรมาจารย์ลูกกลอนเก้า มูลค่าไม่ถึงหนึ่งส่วนของคนอื่นด้วยซ้ำ แต่ประสิทธิภาพกลับดีกว่ามาก เขาเป็นผู้ที่ห่วงใยมวลประชา ช่วยเหลือสรรพชีวิตที่ทุกข์ยาก”
“ถูกต้อง นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมเงื่อนไขที่ปรมาจารย์ลูกกลอนเก้าตั้งไว้ ล้วนเป็นสมุนไพรรวมถึงเลือดผู้รับใช้เทวะ!”
ในประโยคเล่าลือมากมายนี้ มีประโยคหนึ่งที่มาจากชายกำยำถอดเสื้อเพื่อนบ้านของสวี่ชิ ผู้นั้น เขาเอ่ยอย่างภาคภูมิใจกับผู้คนหลายครั้ง
“ตอนที่ปรมาจารย์ลูกกลอนเก้าเข้ามาที่ตำหนักขบถจันทร์ ก็สำแดงพลังที่ไม่ธรรมดาออกมาแล้ว พวกเจ้าที่อยู่ด้านนอกศาลเจ้าไม่ได้รู้ความเหนือสามัญของปรมาจารย์เลย ต้องรู้ว่าตอนนั้นปรมาจารย์แผ่ท่วงทำนองเต๋าอันสูงส่งสั่นสะเทือนปลูกฝังจิตใจไปทั่วสารทิศติดต่อกันถึงสองเดือน!
“ข้าโชคดีเหลือเกิน ที่ได้ยินตั้งแต่ต้นจนจบ ตอนนั้นรู้สึกฮึกเหิมกระปรี้กระเปร่า คิดเพียงว่าสมองปลอดโปร่ง กระทั่งคำสาปยังถูกบางอย่างสะกด ด้วยเหตุนี้จึงสัมผัสได้ถึงความเมตตารวมถึงความล้ำลึกเกินหยั่งถึงของปรมาจารย์!
“น่าเสียดาย ท่วงทำนองเต๋าดังอยู่แค่สองเดือน นี่คือเรื่องที่ข้าเสียดายที่สุด
“ตอนนี้เมื่อนกถึง สองเดือนนั้น ช่างเยี่ยมยอด…”
ทุกครั้งในยามนี้ ชายกำยำผู้นี้ล้วนทำท่าทีประหนึ่งยังไม่หนำใจ
ข่าวของเกี่ยวกับปรมาจารย์ลูกกลอนเก้าจึงแพร่สะพัดไปในตำหนักขบถจันทร์อย่างต่อเนื่องเช่นนี้ เพียงแต่ยาลูกกลอนของสวี่ชิงก็ไม่ได้เข้ามาวางไว้หลายวันแล้ว เพราะว่าเขาตอนนี้ใกล้จะถึงริมแม่น้ำเซ่นทมิฬแล้ว
สวี่ชิงยืนอยู่ตรงนั้น เงยหน้าขึ้น น้ำในแม่น้ำไกลๆ โหมซัด คาวเลือดคลุ้งออกมา มองเห็นซากศพนับไม่ถ้วนลอยกระเพื่อมขึ้นลงอยู่ในนั้นรางๆ เต็มไปด้วยความชั่วร้าย
ส่วนดินทรายริมฝั่งก็เป็นสีแดง เจตจำนงของคำสาปในที่แห่งนี้ยิ่งชัดเจนขึ้น
ที่แห่งนี้ คือจุดที่นกแก้วชี้นำให้มารวมตัวกับนายกอง
ครู่ต่อมา สวี่ชิงถอนสายตากลับมา เดินไปเบื้องหน้า
หลังจากข้ามผ่านดินแดนที่ปกคลุมด้วยผนึกต้องห้าม เขาที่เดินมาถึงชายหาดสีแดง เปลี่ยนสีหน้ากะทันหัน ในสายลมที่พัดมาจากไกลๆ พาเสียงหอบหายใจฮักของนายกอง หนิงเหยียนรวมถึงอู๋เจี้ยนอูมา
ทั้งในนี้ยังมีเสียงสนทนาเดี๋ยวชัดเดี๋ยวเลือนของพวกเขาด้วย
“ข้าไม่มีแรงแล้ว ด้านในมันติด ดึงไม่ออก”
“ไม่เป็นไร พี่เจี้ยนเจี้ยนไม่ต้องกลัว กำให้แน่นแล้วออกแรงประเดี๋ยวก็ออกมา”
“พี่เจี้ยนเจี้ยนเอวของเจ้าไม่ได้เรื่องเลย ขาของเจ้าทำไมมันอ่อนแรงถึงเพียงนี้!”
สวี่ชิงสีหน้าแปลกประหลาด จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องน่าเวทนาของหนิงเหยียน
“ไม่ไหวแล้ว จะขาดแล้ว พวกเจ้าปล่อยข้าไปเถอะ…”