ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 593 เก็บอาทิตย์ร้อนแรงที่แม่น้ำเซ่นทมิฬ
บทที่ 593 เก็บอาทิตย์ร้อนแรงที่แม่น้ำเซ่นทมิฬ
ทั้งแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา นอกจากที่สุดตะวันตกเฉียงเหนือจะมีเทือกเขาแห่งหนึ่งที่เชื่อมกับดินแดนภายนอก ที่อื่นๆ ล้วนถูกแม่น้ำเซ่นทมิฬล้อมเอาไว้ทั้งหมด
แม่น้ำสายนี้ ล้อมสรรพชีวิตเอาไว้ด้านใจราวกับกักขัง คล้ายกับวงกลมวงหนึ่ง
ที่ที่สวี่ชิงมาถึงตอนนี้ เป็นพื้นที่ตะวันตกเฉียงใต้ของแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ที่นี่มีภูเขามากมาย พืชพันธุ์บางตา และเพราะอยู่ใกล้แม่น้ำ สายลมที่พัดมาจากแม่น้ำเซ่นทมิฬจึงมีกลิ่นอายความตายกับกลิ่นเน่าคละคลุ้งไปทั่ว
เพียงแต่ในบรรยากาศเยือกเย็นมืดมนเช่นนี้ คำพูดสองแง่สองง่ามเหล่านั้นที่ลอยมาตามลมก็เหมือนกับทำลายความหมองหม่นของที่นี่ ทำให้บรรยากาศเปลี่ยนไปในชั่วขณะ
สวี่ชิงสีหน้าแปลกประหลาดเล็กน้อย หลิงเอ๋อร์ก็ยังโผล่หน้าออกมามองไปด้านหน้าอย่างกระดากอาย เอ่ยเสียงแผ่ว
“พี่สวี่ชิง พวกเขากำลังทำอะไรหรือเจ้าคะ”
พูดจบ นางยังใช้คอเสื้อสวี่ชิงปิดบังหน้า
หลี่โหยวเฝ่ยที่อยู่ข้างๆ เขาไม่รู้ว่าสวี่ชิงจะพาเขาไปไหน ยามนี้อยู่ริมแม่น้ำเซ่นทมิฬ เมื่อได้ยินเสียงที่อยู่ไกลออกไปดังมา สีหน้าของเขาก็แปลกประหลาด ถอยหลังไปหลายก้าวตามสัญชาตญาณ รู้สึกไม่เป็นสุขเล็กน้อย
แม้จะรู้สึกว่าไม่ค่อยเป็นไปได้ แต่เขาก็ยังอดคิดถึงเป้าหมายแท้จริงที่สวี่ชิงให้ยาลูกกลอนบรรเทาทุกข์กับเขาตั้งมากมายขนาดนั้นไม่ได้ แล้วก็การปฏิเสธจิ้งจอกดินอย่างเด็ดขาดของอีกฝ่ายนั่นอีก
‘คงจะไม่ใช่…’ หลี่โหยวเฝ่ยใจสั่นเล็กน้อย ปลอบใจตัวเอง
สวี่ชิงไม่เข้าใจความกระวนกระวายของเขา ยามนี้มองออกไปไกลๆ สังเกตรอบด้าน
บริเวณนี้มีผนึกต้องห้ามอยู่
ประโยชน์ของผนึกต้องห้ามนี้นอกจากอำพราง ยังสกัดกั้นได้ด้วย ไม่ใช่แค่เสียง แต่รวมถึงทัศนวิสัย
ก่อนหน้านี้ตอนที่สวี่ชิงเข้าใกล้ก็สัมผัสได้ มองออกว่านั่นเป็นกับดักที่ใช้เลือดของนายกอง และปล่อยกลิ่นอายของตน ทำให้สามารถเข้ามาได้อย่างไร้อุปสรรค
สายตาสวี่ชิงฉายแววครุ่นคิด หลังจากเดินไปไม่กี่ก้าวเขาก็ย่อตัวนั่งยกมือลูบไปบนพื้น
แทบจะพริบตาที่มือของสวี่ชิงสัมผัส จู่ๆ กรวดบนพื้นก็มีดวงตาดวงหนึ่งผุดขึ้นมา กะพริบปริบๆ ให้กับสวี่ชิง จากนั้นรอบๆ ก็มีดวงตาแบบเดียวกันผุดขึ้นมาเต็มไปหมด
ยิ่งมีหนอนสีน้ำเงินบางส่วนมุดออกมาด้วย
อาณาเขตกว้างใหญ่ครอบคลุมนับพันลี้ ภาพนี้ทำให้หลี่โหยวเฝ่ยที่เห็นใจสั่นสะท้าน ราวกับเข้าใกล้ศัตรูตัวฉกาจ เขารู้สึกจริงๆ ว่าสิ่งประหลาดที่นี่เหมือนกับลมขาวในทะเลทราย แสดงเจตจำนงว่าจะชอนไชเข้ามา
ทั้งหมดนี้ทำให้สวี่ชิงแสดงสีหน้าออกมาเช่นกัน อดระแวงไม่ได้
‘ตอนก่อนที่ศิษย์พี่ใหญ่จะไปบอกว่ามาทำการเล็กๆ…การเล็กๆ อันใด ที่ต้องใช้ผนึกต้องห้ามพันลี้’
ขณะที่สวี่ชิงครุ่นคิด ดวงตาเหล่านั้นรวมถึงหนอนสีน้ำเงินก็ขยับไปมา แผ่คลื่นอารมณ์ดีอกดีใจ ยิ่งมีเสียงนายกองดังกองออกมาจากตัวของพวกมัน
“ฮ่าๆ อาชิงน้อยเจ้ามาแล้ว รีบเข้ามาช่วยพวกเราดึงหน่อย!”
สวี่ชิงสีหน้าแปลกประหลาด แต่ก็ไม่ได้ลังเล ร่างไหววูบก้าวเดินไปด้านหน้า ดวงตากับหนอนริมฝั่งก็หายไปอย่างรวดเร็วจากการเดินไป แหวกเป็นเส้นทางสายหนึ่ง
สวี่ชิงทะยานไปตามทางอย่างรวดเร็ว คำพูดสองแง่สองง่ามกับเสียงหอบหายใจก็ยิ่งชัดเจนขึ้น กระทั่งผ่านไปครึ่งก้านธูป ก็สัมผัสได้ว่าตนเดินเข้ามาหลังม่านที่เหมือนกับผิวน้ำผืนหนึ่ง ที่ที่บดบังไว้ด้านในก็สะท้อนเข้ามาในดวงตาสวี่ชิง
สิ่งแรกที่ดึงดูดความสนใจสวี่ชิงคือที่ริมฝั่งมีสิ่งปลูกสร้างขนาดยักษ์อย่างหนึ่งตั้งอยู่
สิ่งปลูกสร้างนี้คือกรอบประตูขนาดยักษ์ สร้างขึ้นจากหินยักษ์สีสัมฤทธิ์ สูงสามพันจั้ง กว้างหนึ่งพันจั้ง
มันถูกตั้งไว้ที่ริมแม่น้ำราวกับยักษ์บรรพกาลตนหนึ่ง แผ่แรงกดดันที่น่าครั่นคร้ามรวมถึงพลังอำนาจสูงส่ง
กระทั่งมองอย่างละเอียด ยังเห็นว่าบนหินยักษ์สีสัมฤทธิ์ สลักอักขระโบราณนับไม่ถ้วนเอาไว้เต็มไปหมด ให้ความรู้สึกซับซ้อนอย่างยิ่ง
และสิ่งที่ทำให้สวี่ชิงใจสั่นสะท้านที่สุด คือสิ่งที่อยู่ด้านในกรอบประตูนี้ไม่ใช่ประตู แต่เป็นสิ่งประหลาดที่เกิดจากเหล็กสีดำขดเป็นเกลียว
วงกลมด้านบนและล่างเล็กที่สุด ส่วนตรงกลางใหญ่ที่สุด เหมือนเกลียวโลหะทรงกรวย
บนนั้นมีสนิมเกาะ กระทั่งบางส่วนยังเป็นน้ำสีแดงจากแม่น้ำที่หยดย้อยลงมา คล้ายกับเพิ่งตักขึ้นมาจากแม่น้ำได้ไม่นาน
มองสิ่งปลูกสร้างนี้ สวี่ชิงเดาไม่ออกว่ามันคืออะไรกันแน่ จึงเบนสายตาไปริมแม่น้ำข้างๆ แทน นายกองรวมถึงอู๋เจี้ยนอู่อีกทั้งหนิงเหยียนอยู่ตรงนั้น
ทั้งสามคนยืนเรียงกัน นายกองอยู่ด้านหน้าสุด มือจับเถาวัลย์เส้นหนึ่งไว้ หายใจหอบฮัก โก่งตัวเป็นคันธนูออกแรงดึงไม่หยุด
ด้านหลังคืออู๋เจี้ยนอูรวมถึงเหล่าทายาทแปลกประหลาดของเขาพวกนั้น ทุกตัวกำลังออกแรงดึงเถาวัลย์
ส่วนหนิงเหยียนอยู่ด้านหลังสุด เขานั่งอยู่อ้าสองขายันกับพื้น ส้นเท้าจมหายเข้าไปในดินทราย ขณะที่ใช้ประโยชน์จากส้นเท้าที่ยันอยู่กับพื้นมือทั้งสองก็กำเถาวัลย์ที่ท้องแน่น ร้องโอดโอยพลางออกแรง
“อย่า จะขาดแล้วจริงๆ นะ…”
เถาวัลย์นั่นเชื่อมต่อกับท้องของเขา ยืดออกมายาวมาก กระทั่งยื่นไปในแม่น้ำเซ่นทมิฬตรงหน้า
ตอนนี้น้ำในแม่น้ำเชี่ยวกราก เหมือนมีวัตถุทรงกลมขนาดยักษ์ลางๆ กำลังถูกดึงขึ้นมาทีละนิดจากการออกแรงดึงของพวกเขา
“อาชิงน้อย รีบมาช่วยเร็ว”
นายกองสะบัดผม ปาดเหงื่อบนหน้าผากออกไป ร้องเรียกสวี่ชิง
อู๋เจี้ยนอูก็เงยหน้าขึ้น หอบหายใจมองไปทางสวี่ชิง
ส่วนหนิงเหยียนที่หมดอาลัยตายอยากก็โอดครวญขึ้นมา
“ลูกพี่ ช่วยข้า…”
แทบจะตอนที่เขาเอ่ยปาก แสงซับซ้อนสายหนึ่งก็ลอยจากสวี่ชิงทางนั้น เจ้านกแก้วนั่นเอง ยามนี้มันมีขนอ่อนงอกขึ้นมาบ้างแล้ว เพียงแต่ดูน่าเกลียดอย่างยิ่ง
พริบตาที่มันบินมาถึงอู๋เจี้ยนอู ราวกับเด็กน้อยที่หนีพ้นเงื้อมมือมัจจุราชแล้วได้พบกับคนในครอบครัว ร้องไห้จ้าขึ้นมา
“ท่านพ่อ ข้าคิดว่าข้าจะไม่ได้เจอท่านอีกแล้ว”
แต่ไม่ทันได้เล่าประสบการณ์ของตน พ่อของมันก็โยกศีรษะ สลัดมันออกแล้วคำรามเสียงต่ำ
“จิกเจ้าเชือกนี้ แล้วดึง!”
นกแก้วอึ้งตะลึง ในใจโศกเศร้าและขุ่นเคือง ทำท่าเหมือนโลกมนุษย์ไม่คู่ควร แต่ในเมื่อท่านพ่อเอ่ยปากแล้ว มันก็ไม่กล้าไม่เชื่อฟัง จึงทำได้แค่ออกแรงอย่างหมดอาลัยตายอย่างเช่นเดียวกับหนิงเหยียน
พอเห็นเช่นนี้ แม้สวี่ชิงจะรู้สึกสงสัย แต่ก็เดินไปข้างๆ นายกอง จับเถาวัลย์แล้วออกแรงดึง
หลี่โหยวเฝ่ยก็รีบปรี่เข้ามาช่วย ขณะเดียวกันก็ยิ้มให้กับอู๋เจี้ยนอู แล้วเหลือบมองหนิงเหยียน จากนั้นก็มองนายกอง ในใจก็วิเคราะห์ได้ว่าใครในนี้ใครมีสถานะสูงที่สุด
การเข้าร่วมของพวกเขาทำให้มีแรงดึงเพิ่มมากขึ้น น้ำในแม่น้ำยิ่งเชี่ยวกรากโหมซัด ขณะที่เสียงอื้ออึงครืนครัน วงกลมขนาดยักษ์วงหนึ่ง ก็มีขอบส่วนโค้งปรากฏขึ้นมาบนผิวน้ำที่ไกลออกไป
“ศิษย์พี่ใหญ่ เจ้าสิ่งนี้คือ?”
สวี่ชิงดวงตาจ้องเพ่ง ดึงพลางเอ่ยถาม
นายกองได้ยิน แม้จะหอบหายใจ แต่ก็อดภาคภูมิใจไม่ได้
“อาชิงน้อย เจ้ามาช้าเกินไปแล้ว แต่ไม่เป็นไร ยังถือว่ามาทันเวลา
“เจ้าเห็นกรอบประตูด้านหลังนั่นหรือไม่ ฮ่าๆ เจ้าเดาสิว่านั่นคืออะไร”
สวี่ชิงส่ายศีรษะ ทำหน้างุนงง
เห็นสวี่ชิงแสดงสีหน้าที่ไม่ค่อยจะได้เห็นออกมา นายกองก็หัวเราะร่า
“นั่นคือดวงอาทิตย์!
“แผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราเคยมีดวงอาทิตย์ที่มนุษย์สร้างขึ้นเก้าดวง สามในนี้มอดดับไปแล้ว เรื่องนี้เจ้าคงรู้อยู่แล้วใช่หรือไม่ ส่วนกรอบประตูนั่น คือหนึ่งในดวงอาทิตย์ที่มอดดับไปแล้ว!
“และที่พวกเรากำลังลากขึ้นมา คือหนึ่งในสามดวงอาทิตย์ที่มอดดับไปแล้วเช่นกัน
“นี่คือการเล็กๆ ที่ข้าต้องมาจัดการที่นี่
“ฤดูใบไม้ผลิ ข้าจะปลูกเมล็ดพันธุ์ ตอนนี้เป็นช่วงใบไม้ร่วง ข้าจะเก็บเกี่ยวดวงอาทิตย์ทั้งสามนี่เสีย!”
นายกองภาคภูมิใจ อันที่จริงชาติที่แล้วเขาหาดวงอาทิตย์ที่มอดดับไปตามกาลเวลาทั้งสามพบแล้ว กระทั่งซ่อมแซมไปแล้วบางส่วน สุดท้ายก็โยนพวกมันลงไปซ่อนไว้ในแม่น้ำเซ่นทมิฬ
ในใจสวี่ชิงโหมระลอกคลื่น หันหน้ากลับไปมองกรอบประตูยักษ์บานนั้น เขาคิดไม่ถึงเลยว่านี่จะเป็นดวงอาทิตย์ที่มนุษย์สร้างขึ้น
“ต้องขอบคุณหนิงเหยียน ฮ่าๆ ตอนแรกข้ามองไว้ไม่ผิดจริงๆ สายโลหิตของเด็กคนนี้ไม่ธรรมดา หลังจากผสานกับเถาวัลย์ แล้วมีข้าคอยสนับสนุน ทำให้เถาวัลย์นี้ทานรับการกัดกร่อนของแม่น้ำเซ่นทมิฬได้”
หากไม่ได้ไปที่เขตปกครองผนึกสมุทร เขาก็จะไม่รู้จักเฉินเอ้อร์หนิว หากไม่รู้จักเฉินเอ้อร์หนิว เขาก็คงไม่มีอนาคตที่น่าสังเวชเช่นนี้ โดยเฉพาะยามนี้ ใจของเขาสั่นสะท้านไม่หยุด กลัวว่าถ้าพวกสวี่ชิงจับไว้ไม่มั่น เช่นนั้นตนก็จะถูกลากลงไปในแม่น้ำ
แม้การติดตามเฉินเอ้อร์หนิวออกมาทำการใดๆ เขาก็ได้ของดีๆ มาตลอดทาง จนตอนนี้พลังบำเพ็ญใกล้ทะลวงระดับปราณก่อกำเนิดแล้ว…
“ออกแรงอีก!” หลังจากนายกองอธิบายการเล็กๆ ของตนเองให้สวี่ชิงฟัง ก็ตะโกนเสียงดัง ทุกคนออกแรงพร้อมกัน
ขณะที่เสียงน้ำในแม่น้ำดังก้อง วัตถุขนาดใหญ่ในนั้น ก็ยิ่งชัดเจนขึ้น เข้าใกล้ฝั่งมาเรื่อยๆ
ของสิ่งนี้ใหญ่มาก สูงสามพันจั้ง สร้างแรงกดดันมหาศาล และจากการเข้าใกล้ สวี่ชิงก็ค่อยๆ มองเห็นรายละเอียดของวัตถุชิ้นนี้
นี่เป็นวงแหวนขนาดยักษ์วงหนึ่ง แม้จะเปรอะดินโคลนรวมถึงน้ำสีแดง แต่ก็ยังมองออกว่าพื้นเดิมเป็นสีขาว และที่น่าประหลาดที่สุดคือในวงแหวนยักษ์นี้ มีเค้าโครงร่างมนุษย์อยู่
รูปสลักมนุษย์จำนวนมากห้อยหัว สองเท้าเหยียบอยู่บนวงกลมด้านใน แต่ละคนคนจับมือกันเป็นตัวอักษร 大กลายเป็นวงด้านใน มองไกลๆ พวกเขาเหมือนเป็นลายฉลุของวงแหวนขนาดยักษ์นี้
แต่ไม่ได้สมบูรณ์ สวี่ชิงมองเห็นว่าในวงนี้ขาดรูปสลักมนุษย์ไปหนึ่งคน จึงว่างเปล่าอยู่
“เจ้าอ้วนน้อย ออกมาดึงพ่อของเจ้าเสีย!”
เห็นว่าจะสำเร็จ นายกองก็ตะโกนอย่างตื่นเต้น ล้วงดวงอาทิตย์ของเผ่าตะวันเดียวดายออกมา ยืมกำลังมาช่วยดึง
สุดท้ายขณะที่น้ำในแม่น้ำเพิ่มสูงขึ้น ทะลักมาที่ริมฝั่งดั่งผลักภูเขาล้มทะเล วงแหวนขนาดยักษ์ก็เด่นชัดขึ้นในแม่น้ำ ใกล้เข้ามาขึ้นเรื่อยๆ จนผ่านไปครึ่งชั่วยามก็ถูกลากขึ้นมาในที่สุด
หลังจากเสียงครืนดังขึ้นที่ริมฝั่ง หนิงเหยียนก็นอนแผ่หราไปกับพื้น อู๋เจี้ยนอูก็เช่นกัน มีเพียงนายกองที่ต่อให้หมดเรี่ยวแรงแต่ก็ยังลุกขึ้นวิ่งไป ลูบซ้ายลูบขวา ดวงตาฉายแววบ้าคลั่ง
“อาชิงน้อย เจ้ารู้หรือไม่ มันชื่อว่าเจ้าอ้วนใหญ่!”
สวี่ชิงเดินมาใกล้ๆ เงยหน้ามองวงแหวนขนาดมหึมา ในใจก็รู้สึกเคารพนับถือเผ่าที่สามารถสร้างของสิ่งนี้ขึ้นมาได้
“อาชิงน้อย มาช่วยข้าหน่อย พวกเราจะดันมันไปทางเจ้าเหลี่ยมใหญ่”
นายกองสีหน้าฮึกเหิม ออกแรงผลัก สวี่ชิงช่วยอยู่ข้างๆ ด้วยความพยายามของทั้งสองคน จากเสียงครืนครันบนพื้น วงแหวนยักษ์นี้กลิ้งไปด้านหน้า จนถึงหน้ากรอบประตู ทั้งสองคนก็นั่งลงหอบหายใจ
หลังจากสวี่ชิงมองสิ่งของขนาดมหึมาสองชิ้นนี้ ถอนหายใจออกมา
นายกองหัวเราะร่า โอบไหล่สวี่ชิง
“แน่นอนว่าการเล็กๆ รอให้เรื่องนี้เสร็จ พวกเราจะไปเทือกเขาทนทุกข์ด้วยกัน ที่นั่น…ถึงจะเป็นการใหญ่!
“สำหรับอาชิงน้อย เจ้าเข้าไปใช้ชีวิตในเทือกเขาทนทุกข์แล้วเป็นอย่างไรบ้าง
“ก็ดีขอรับ ข้าเปิดร้านยาเล็กๆ ร้านหนึ่งด้วย” สวี่ชิงพยักหน้า
“ร้านยา? ใช่ได้นี่ ทางนั้นขาดเถ้าแก่หรือไม่” ดวงตานายกองเป็นประกาย
สวี่ชิงมองนายกองผาดหนึ่ง หลิงเอ๋อร์ก็มุดออกมา เอ่ยอย่างรวดเร็ว
“ไม่ขาดเจ้าค่ะ!”
นายกองหัวเราะฮี่ๆ มองสวี่ชิง จากนั้นก็กวาดตามองหลิงเอ๋อร์ ทำท่าเหมือนเข้าใจ จากนั้นก็กระแอมไอ
“ไว้คุยเรื่องนี้คราวหน้าแล้วกัน ยังมีเจ้าตัวใหญ่อยู่ใต้แม่น้ำอีก พวกเราพักผ่อนกันสักพัก แล้วค่อยออกแรงลากมันขึ้นมา
“ข้าจะบอกเจ้านะอาชิงน้อย ตัวสุดท้ายนี่ไม่ง่ายเลย!
“นี่คือดวงอาทิตย์ที่มนุษย์สร้างดวงแรกที่ดั้งเดิมที่สุดในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา กระทั่งเคยมีข่าวลือว่าเป็นของโบราณที่มาจากยุคสมัยของเจ้าเหนือหัวด้วย”
ตอนที่นายกองแนะนำเสียงต่ำทุ้ม หลี่โหยวเฝ่ยที่นั่งอยู่ข้างๆ อู๋เจี้ยนอู ตอนนี้ก็ตกตะลึงอย่างยิ่ง
ในฐานะคนของแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา เขาย่อมรู้จักดวงอาทิตย์ที่มนุษย์สร้างขึ้น ยามนี้เห็นว่าถูกลากขึ้นมากับตา ใจเขาก็สั่นไหวรุนแรง
‘สหายปรมาจารย์ น่ากลัวเพียงนี้เชียว!’
ไม่รอให้หลี่โหยวเฝ่ยทางนี้หายตกตะลึง หลังจากพักผ่อนเบาๆ ครู่หนึ่ง นายกองก็ผุดลุกขึ้น สีหน้ามาพร้อมกับความห้าวหาญ เอ่ยขึ้นเสียงดัง
“ทำงานได้แล้ว ทำงาน
“ลากเจ้าตัวใหญ่อันสุดท้ายขึ้นมา จะได้เสร็จเรื่องเสียที!”
พูดพลาง นายกองก็เดินมาข้างๆ หนิงเหยียน
หนิงเหยียนมองนายกองอย่างอ้อนวอน นายกองตบบ่าของเขา
“พี่หนิงหนิง นี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ข้ารับรอง และของที่รับปากท่านไว้ ข้าทำให้ท่านแน่ จะต้องยกระดับสายโลหิตให้เหนือกว่าบิดาของท่านได้แน่นอน!”
หนิงเหยียนได้ยินก็แปลกใจระคนสับสนทันที
นายกองคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ไม่พูดอะไรมาก ยกเถาวัลย์ของหนิงเหยียนแล้วพุ่งไปที่แม่น้ำ
สวี่ชิงมองภาพนี้อย่างไม่ค่อยวางใจ แต่ก็เดินตามไปอยู่ข้างๆ นายกอง
สังเกตเห็นว่าสวี่ชิงเดินมา นายกองก็หัวเราะร่า รู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมา
“เป็นศิษย์น้องเล็กที่ดีที่สุด รู้จักเห็นใจศิษย์พี่ใหญ่ ก่อนหน้านี้พอหนิงหนิงกับเจี้ยนเจี้ยนเห็นข้ากระโดดลงน้ำ ก็ไม่ยอมตามมา ได้ พวกเราพี่น้องไปด้วยกัน!”
นายกองกล่าวจบก็พุ่งตัวไปด้านหน้าย่างลงไปในแม่น้ำ สวี่ชิงก้าวตามไปด้านหลัง พริบตาทั้งสองก็หายไปในแม่น้ำ ต่างแผ่พลังบำเพ็ญออกมา ขณะที่ต้านทานพลังของน้ำก็พุ่งไปที่ก้นแม่น้ำอย่างรวดเร็ว
วิธีการต้านทานของนายกองคือเปล่งแสงน้ำเงินออกมาทั่วร่าง ส่วนสวี่ชิงง่ายกว่าเล็กน้อย เพียงค่อยๆ แผ่พลังพระจันทร์สีม่วงออกมาก็พลันสลายทุกอย่างได้ เช่นนี้พวกเขาทั้งสองจึงเคลื่อนที่ใต้แม่น้ำได้อย่างรวดเร็ว
ใต้แม่น้ำขุ่นมัว น้ำสีเลือดที่นี่เข้มข้นอย่างยิ่ง ยิ่งมีโครงกระดูกนับไม่ถ้วนลอยอยู่ในน้ำ
สวี่ชิงเห็นโครงกระดูกของหญิงสาวที่เน่าเปื่อยร่างหนึ่งลอยผ่านหน้าเขาไป ดวงตาเหมือนจะลืมขึ้นเล็กน้อย
สวี่ชิงไม่สนใจเรื่องนี้ ยังคงมุ่งหน้าต่อไป
ในแม่น้ำคล้ายยังมีตัวตนที่น่ากลัวบางอย่างปรากฏตัวขึ้นรอบด้านอยู่เลาๆ แต่ไม่ว่าจะแสงสีน้ำเงินของนายกองหรือว่าอำนาจพระจันทร์สีม่วงของสวี่ชิงล้วนกลายเป็นอำนาจสยบ ทำให้ตัวตนเหล่านั้นไม่ได้เข้ามาโจมตี
เวลาก็ไหลผ่านไปเช่นนี้ เถาวัลย์ของหนิงเหยียนก็ยืดออกมาได้อย่างไร้ขีดจำกัดด้วยการสนับสนุนของนายกอง พวกเขาดึงเถาวัลย์ เข้าใกล้ส่วนลึกก้นแม่น้ำเรื่อยๆ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ทรงกลมขนาดยักษ์หลายพันจั้งส่วนหนึ่งที่จมอยู่ในโคลน ก็สะท้อนเข้ามาในตาพวกเขาเลาๆ
สิ่งของขนาดยักษ์นี้ชำรุดทรุดโทรม เต็มไปด้วยรูพรุน ประหนึ่งผ่านสงครามมา
ความรู้สึกผ่านห้วงเวลามาช้านานแผ่ซ่านอยู่บนลูกเหล็กนี้ ความบรรพกาล ฉายออกมาจากรอยสนิมสีกระดำกระด่างอย่างชัดเจน
และการผันผ่านของกาลเวลาจากมัน ทำให้ผู้ที่เห็นทั้งหมดรู้สึกเหมือนเน่าเปื่อยขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
สิ่งนี้ ก็คือดวงอาทิตย์ที่มนุษย์สร้างขึ้นเป็นชิ้นแรกในยุคสมัยเจ้าเหนือหัวของแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา
‘ถึงแล้ว!’ นายกองดวงตาเปล่งประกายประหลาด ใช้สัญญาณมือบอกสวี่ชิง ให้เขาช่วยระวังรอบๆ จากนั้นตนก็ลากเถาวัลย์เข้าใกล้ลูกเหล็ก
สวี่ชิงพยักหน้า จดจ้องอยู่ข้างๆ
เพียงแต่ เวลานี้พวกเขาไม่อาจสังเกตเห็นว่าด้านในลูกเหล็กที่เต็มไปด้วยรูพรุนและสนิมนี้ มีร่างเงาหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่!
ร่างนี้ผอมแห้ง ใบหน้าซูบตอบ สวมชุดคลุมสีน้ำตาลขาดๆ เผยให้เห็นเส้นลมปราณที่ปูดนูนขึ้นมาราวกับเทือกเขาหลายต่อหลายเส้นบนผิวหนัง
ผมยาวสีเทาทั้งศีรษะสยายไปรอบตัวเขา กลายเป็นวิญญาณแต่ละดวง เวียนว่ายไปมาในลูกเหล็กนี้
แต่ตอนที่นายกองกับสวี่ชิงเข้าใกล้ ดวงตาที่ปิดสนิทของร่างนี้ค่อยๆ ลืมขึ้น ด้านในเปล่งแสงสีน้ำเงินวูบหนึ่ง แผ่พลังพรากจิตวิญญาณออกมา
รัฐทายาทเจ้าเหนือหัว!
เขามองโลกภายนอก สีหน้าเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด