ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 595 ท่านปู่ชราในดวงอาทิตย์
บทที่ 595 ท่านปู่ชราในดวงอาทิตย์
เสี้ยวขณะนี้บนท้องฟ้าเหนือแม่น้ำเซ่นทมิฬ ลูกทรงกลมขนาดมหึมาลุกไหม้ พลังกดดันน่าหวาดกลัวแผ่ออกไปอย่างต่อเนื่อง ในนั้นยิ่งมีเสียงเปรี๊ยะๆ ดังออกมา เหมือนขบเคี้ยวฟัน ชวนให้หวาดหวั่นพรั่นพรึงนัก
โดยเฉพาะสีของมันในตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นสีแดงก่ำ กระทั่งว่าผิวบางแห่งของมันเนื่องจากอุณหภูมิน่ากลัวไปอย่างมาก ก็เกิดสัญญาณละลาย เหล็กเหลวหยดลงมาเป็นหยดๆ
และระลอกคลื่นพลังที่ไม่เสถียรจากในลูกไฟยักษ์ลูกนี้ ตอนนี้แผ่ออกมาอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ผู้ที่เห็นทุกคนในใจล้วนเกิดความตื่นกลัวขึ้นมา
แผ่นดินได้รับผลกระทบไปด้วยสั่นไหวอย่างรุนแรง เม็ดทรายสีแดงนับไม่ถ้วนลอยฟ้าขึ้นเอง ถูกดวงอาทิตย์บรรพกาลที่เผาไหม้ดวงนั้นดูด ผิวน้ำก็เช่นกัน น้ำในแม่น้ำเป็นระลอกๆ ไหลทวนน้ำลอยขึ้น แสงสีเลือดสุดลูกหูลูกตา
ภาพนี้ทำให้คนทั้งหลายที่อยู่บนฝั่งในสมองต่างเกิดสายฟ้าฟาดผ่า เหมือนอัสนีสวรรค์นับร้อยหมื่นฟาดลงมากลางใจของพวกเขา
“เกิดอะไรขึ้น!”
“สมควรตาย ข้ารู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้!”
“ทุกครั้งที่เฉินเอ้อร์หนิวลงมือล้วนไม่มีเรื่องดี เขาไม่รนหาที่ตายจะไม่สบายใจใช่หรือไม่ น่าโมโหนักที่ข้าเชื่อคำเพ้อเจ้อของเขาอีกแล้ว!!”
อู๋เจี้ยนอูและหนิงเหยียนหน้าขาวซีด ความรู้สึกวิกฤตเป็นตายปะทุขึ้นทั่วทั้งร่างทันที หลังจากที่มารวมอยู่ในสมอง ร่างของพวกเขาก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรงขึ้นมา หนิงเหยียนตั้งสติได้เร็วที่สุด ร้องตะโกนขึ้นมาแล้วหันหลังวิ่งอย่างบ้าคลั่ง
วิ่งไปด้วย ทั้งยังเก็บเถาวัลย์ของตัวเองกลับมาไปด้วย ขณะที่ท้องพองยุบขึ้นลงก็ลองดึงเถาวัลย์กลับเข้าไป
อู๋เจี้ยนอูพลังบำเพ็ญไม่พอ ช้าไปเล็กน้อย แต่เขาก็คว้าเถาวัลย์ของหนิงเหยียนที่ลากอยู่บนพื้น อาศัยแรงหลบหนีด้วย
หลี่โหยวเฝ่ยก็ตั้งสติได้เร็วมาก เขาหวาดกลัวจนถึงขีดสุด หนังศีรษะชาวาบ นี่เป็นครั้งแรกที่ติดตามสวี่ชิงทำภารกิจ จึงไม่ได้เตรียมใจก่อนล่วงหน้า ตอนนี้เห็นดวงอาทิตย์ที่แผ่พลังกดดันน่ากลัวใกล้ระเบิดเต็มที สมองของเขาก็ส่งเสียงดังวิ้ง หลบหนีอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณ
ทั้งสามรวดเร็วนัก คิดจะส่งข้าม แต่พื้นที่บริเวณนี้ไม่เพียงแต่มีการผนึกต้องห้ามของนายกอง ยิ่งมีการปกคลุมจากดวงอาทิตย์บรรพกาล มิติปั่นป่วน การส่งข้ามไม่อาจทำได้
แม้นกแก้วจะทำได้ แต่…ขนของมันยังงอกไม่สมบูรณ์
‘จบเห่แล้วๆ ข้าจะตายแล้ว ข้าแค้นนัก!’ นกแก้วโศกเศร้าโกรธแค้น งับเถาวัลย์ของหนิงเหยียน ในใจเกิดความคับแค้นเสียใจไม่สิ้นสุด
แม้พวกเขาทั้งสามจะตั้งตัวได้เร็ว แต่สุดท้ายในเวลาสั้นๆ ก็ไม่สามารถหนีไปได้ไกลเท่าไรนัก
สวี่ชิงมองผาดหนึ่ง ถอนหายใจ ความจริงเขาก็เดาเอาไว้อยู่แล้ว รู้ว่าทุกครั้งที่นายกองทำอะไรจะต้องเป็นเช่นนี้ ตอนนี้ไม่ได้หนีไปทางหนิงเหยียนพวกนั้น แต่หันหลังพุ่งตรงไปยังแม่น้ำเซ่นทมิฬ
เทียบกับโลกภายนอกที่กว้างโล่งแล้ว อาศัยพลังของแม่น้ำเซ่นทมิฬเห็นได้ชัดว่าผลดียิ่งกว่า
แต่ว่าเขาก็เตือนพวกหนิงเหยียนที่อยู่ที่ไกลๆ สักหน่อยเช่นกัน
“ดำลงไปในแม่น้ำเซ่นทมิฬ!”
หนิงเหยียนและอู๋เจี้ยนอูได้ยินก็เปลี่ยนทิศทันที หลี่โหยวเฝ่ยอึ้งไปเล็กน้อย นึกถึงความพิเศษของตัวเอง จึงกัดฟันพุ่งไป
ส่วนนายกองตอนนี้เขามองดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า อึ้งตะลึงไปโดยสมบูรณ์
สัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นน่ากลัวที่มาจากดวงอาทิตย์ นายกองตามสวี่ชิงถอยหลังไปพลางเอ่ยอย่างสับสนงุนงง
“เป็นไปไม่ได้ ข้าคำนวณไว้แล้ว ไม่มีทางพลาด เป็นการเล็กๆ จริงๆ นะ…”
สวี่ชิงร่างเหยียบลงไปในแม่น้ำเซ่นทมิฬ มองนายกองผาดหนึ่ง
“ท่านเรียกเรื่องแบบนี้ว่าการเล็กๆ อย่างนั้นหรือ”
“เป็นการเล็กๆ จริงๆ นะ ก็แค่งมของขึ้นมาจุดไฟก็เท่านั้นเอง”
นายกองจิตใจว้าวุ่น ครั้งนี้เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ในความคิดของเขานี่เป็นแค่การเล็กๆ จริงๆ และเขาก็เตรียมการเพื่อเรื่องนี้มานานมาก
“งมดวงอาทิตย์ขึ้นมาดวงหนึ่งจะเป็นเรื่องใหญ่เพียงใดเชียว ไม่ได้งมเทพเจ้าขึ้นมาเสียหน่อย ตามหลักแล้วไม่ควรเป็นเช่นนี้”
นายกองน้อยใจอัดอั้นนัก ที่มากกว่านั้นคือปวดใจ เขารู้สึกว่าดวงอาทิตย์บรรพกาลนี้เกิดปัญหาขึ้น ไม่ตรงกับแผนของตัวเอง ไม่สามารถเอาไปได้
“อาชิงน้อย ข้าอยากจะไปดูสักหน่อย ไม่แน่ว่าอาจจะแก้ไขอะไรได้…”
นายกองเพิ่งพูดออกไป กลิ่นอายของดวงอาทิตย์บรรพกาลกลางท้องฟ้าก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง ระลอกคลื่นยิ่งน่ากลัวขึ้น
พื้นรอบๆ ไม่มีเม็ดทรายลอยขึ้นฟ้าอีกแล้ว แต่เกิดการเผาไหม้ขึ้น ภูเขาก้อนหินละลายทันที
น้ำในแม่น้ำในบริเวณรอบๆ เดือดพล่าน กลิ่นอายระเบิดในเสี้ยวขณะนี้เข้มข้นจนถึงขีดสุด
และการระเบิดของดวงอาทิตย์ที่ขนาดใหญ่เช่นนี้ ความรุนแรงของพลังยากจะบรรยาย แต่สามารถยืนยันได้เรื่องหนึ่ง สรรพสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในบริเวณนี้จะกลายเป็นเถ้าถ่านในพริบตาแน่นอน
นายกองเก็บความคิดที่จะแก้ไขสถานการณ์ดวงอาทิตย์ไปในทันที สวี่ชิงก็สูดลมหายใจเช่นกัน ความรู้สึกวิกฤตอันตรายในใจเดือดพล่านถาโถม เขาเร่งความเร็วพุ่งลงไปในแม่น้ำ
แต่ในตอนนี้ ดวงอาทิตย์บรรพกาลที่ลอยอยู่กลางอากาศจู่ๆ ก็ดิ่งวูบลงมาข้างล่าง
ทันใดนั้น ฟ้าดินเปลี่ยนสี คลื่นความร้อนระเบิด พลังกดดันในนั้นตอนนี้รุนแรงจนถึงขีดสุด
และสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือดวงอาทิตย์บรรพกาลดวงนั้นไม่ได้ดิ่งลงไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่พุ่งไปทางสวี่ชิงและนายกองอย่างรวดเร็ว
ในครรลองสายตาของสวี่ชิง ดวงอาทิตย์ที่เดิมก็มีขนาดมหึมาอยู่แล้ว จากการเข้าใกล้ ก็ยิ่งมีขนาดใหญ่ขึ้น และในเสี้ยวขณะที่ดวงอาทิตย์เข้ามาใกล้ แม่น้ำเซ่นทมิฬรอบๆ เขาและนายกองก็ถูกแช่แข็ง
ไม่อนุญาตให้พวกเขาดำลงไป!
เสียงบึ้มดังขึ้น การดำลงไปของสวี่ชิงและนายกองถูกขัดจังหวะทันที
สวี่ชิงหน้าเปลี่ยนสี จะเปลี่ยนทิศ แต่เสี้ยวขณะต่อมา พลังกดดันนั่นก็พันธนาการเขาเอาไว้ทันที เพียงพริบตา สวี่ชิงก็ค้นพบอย่างตื่นตะลึงว่าร่างกายของตัวเองไม่อาจขยับเขยื้อนได้เลย
ไม่ใช่แค่เขาเป็นเช่นนี้ แม่น้ำก็เป็นเช่นนี้ แผ่นดินเองก็เช่นกัน ร่างของพวกหนิงเหยียนทั้งสามคนสูญเสียพลังการเคลื่อนไหวไปทันใด ยืนอยู่ตรงนั้นหยุดอยู่ที่โดยสมบูรณ์
นายกองยิ่งร้องครวญครางขึ้นมา
“อะไรกัน เจ้าสิ่งนี้หรือจะมีสติปัญญาอย่างนั้นหรือ”
สวี่ชิงหนังศีรษะชาวาบ ส่วนความหวาดกลัวในใจของคนทั้งหลายตอนนี้ได้กลายเป็นพายุแห่งความตาย ภายใต้การระเบิดปะทุท่วมฟ้า ดวงอาทิตย์บรรพกาลนั่นก็เข้ามาใกล้อย่างเร็วรี่ แต่กลับเล็กลงเรื่อยๆ
จนกระทั่งสุดท้าย ท่ามกลางการสั่นสะท้านของทุกคน ดวงอาทิตย์ที่มีขนาดมหึมาดวงนี้ก็เปลี่ยนมามีขนาดเท่ากับกำปั้น ถูกเงาร่างที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าถือไว้ในมือ
ผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นสวมชุดคลุมยาวขาดวิ่นสีน้ำตาล หน้าตางามสง่าไม่ธรรมดา ผมยาวทั้งศีรษะอยู่ข้างหลังปลิวพริ้ว ก่อเป็นวิญญาณเป็นดวงๆ ส่วนดวงตาสีฟ้าทั้งสองข้างของเขาก็ราวกับอัญมณี ทำให้เขาทั้งคนเต็มไปด้วยรัศมีอำนาจสูงส่งยากจะบรรยาย
การปรากฏตัวของเขาทำให้ท้องฟ้าพลันแข็งค้าง แผ่นดินหยุดนิ่ง ลมหยุดพัด เปลวไฟกลายเป็นภาพนิ่ง
แม้แต่น้ำในแม่น้ำเซ่นทมิฬตอนนี้ก็ราวกับว่ากลายเป็นรูปภาพ นิ่งไม่ไหวติง
สรรพสิ่งในฟ้าดิน ทุกสิ่งทุกอย่าง จากการเดินมาของคนคนนี้ต่างหยุดนิ่ง
มีเพียงหัวใจเท่านั้นที่ยังขยับ ดังนั้นความตื่นกลัวมหาศาลจึงปะทุขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งในใจคนทั้งหลาย
หนิงเหยียนหวาดกลัว อู๋เจี้ยนอูใจสั่น พวกเขามองตัวคนของผู้มาเยือนออกแล้ว…
ส่วนหลี่โหยวเฝ่ยทั้งคนใกล้จะสติแตก หลังจากติดตามสวี่ชิง เขารู้สึกว่าทุกเรื่องที่เกิดขึ้นล้วนกลับตรงข้ามความคิดจินตนาการของเขาหมด เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่เดือน เรื่องที่เขาได้เห็นและประสบล้วนเกินกว่าประสบการณ์ครึ่งชีวิตก่อนหน้านี้ของตัวเอง
ตอนนี้แม้จะไม่รู้จักผู้มาเยือน แต่เขามองดวงอาทิตย์ที่ก่อนหน้านี้บ้าคลั่งเป็นอย่างยิ่งอยู่ในมือของผู้มาเยือนราวกับของเล่น ในใจก็หวาดกลัวสุดขีดแล้ว
นายกองทางนั้นรูม่านตาก็หดเล็กเช่นกัน ในใจเกิดคลื่นซัดถาโถม ทั้งยังงุนงงสับสนมหาศาล
“ในดวงอาทิตย์ของข้าทำไมมีคนเพิ่มขึ้นมาด้วย…ข้างมอะไรขึ้นมากัน แล้วก็คนผู้นี้…ค่อนข้างคุ้นจังเลย”
นายกองตัวสั่น
คนที่ตัวสั่นเหมือนกันยังมีสวี่ชิง
สวี่ชิงมองเงาร่างที่ถือดวงอาทิตย์พลางเดินมาหาตน ในใจของเขาก็งุนงงสับสนไปเช่นกัน เขาคิดไม่ถึงเลยว่าการเล็ก ที่นายกองงมดวงอาทิตย์ขึ้นมา จะงมเอารัฐทายาทเจ้าเหนือหัวขึ้นมา!
ตอนนี้มองอีกฝ่าย สวี่ชิงก็อดคิดถึงตอนที่อยู่ใต้แม่น้ำก่อนหน้านี้ ภาพที่พวกเขาหาลูกเหล็กเจอ
ท่าทางตอนนั้น รัฐทายาทก็อยู่ในลูกเหล็กแล้ว
จากนั้นสวี่ชิงก็นึกถึงข่าวลือพวกนั้น เดาว่าหลังจากที่รัฐทายาทกับองค์หญิงหมิงเหมยหลังจากที่สู้กับบุตรเทวะพระจันทร์สีชาดแล้ว อีกฝ่ายซ่อนตัวในดวงอาทิตย์บรรพกาลรักษาตัว
นี่ก็เป็นที่ซ่อนตัวที่ดีมากจริงๆ นั่นแหละ…
ดวงอาทิตย์บรรพกาลเดิมก็มาจากยุคของเจ้าเหนือหัว ดังนั้นรัฐทายาทย่อมรู้จักมันดี และแม่น้ำเซ่นทมิฬดูเหมือนอันตราย แต่จากการหลับใหลของชื่อหมู่ กลับกลายเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด
โดยปกติแล้วน้อยนักที่จะมีคนหาเขาเจอ นอกจาก…นายกองที่เดินทางมางมดวงอาทิตย์
“พวกเจ้าหาข้าเจอได้อย่างไร แล้วไยจึงจ้องจุดไฟเผาสถานที่ที่ข้าอยู่ด้วย”
รัฐทายาทสีหน้าสงบนิ่ง เดินมาทีละก้าวๆ มายังข้างหน้าสวี่ชิงและนายกอง ก้มศีรษะจ้องมอง เก็บพันธนาการที่มีต่อทุกคนลงไป
หนิงเหยียนและอู๋เจี้ยนอูคุกเข่าลงไปดังตุบ หลี่โหยวเฝ่ยเองก็เช่นกัน คนทั้งสามตัวสั่นสะท้านรุนแรง
แล้วยังมีนกแก้ว ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเช่นกัน ซ่อนตัวไปในแขนเสื้อบิดาของมัน
สายตาและกลิ่นอายที่มาจากรัฐทายาทก่อเป็นพลังกดดันมหาศาลอันยากจะบรรยาย ปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณแห่งนี้
นายกองตัวสั่นพลางฝืนยิ้ม สีหน้ายิ่งฉายแววประจบ
“ผู้อาวุโส เข้าใจผิดแล้วๆ นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน…พวกเราผิดไปแล้ว จะไปเดี๋ยวนี้ขอรับๆ ท่านผู้อาวุโสไม่ต้องสนใจพวกเรา ท่าน…กลับไปพักผ่อนต่อดีหรือไม่ขอรับ”
นายกองพูดพลางถอยหลัง
รัฐทายาทมองเขาแวบหนึ่ง
นายกองทั้งคนร่วงลงไปกองกับพื้นดังตุบ ปากกระอักเลือด ทั้งตัวล้วนมีเลือดพุ่งกระฉูดราวกับน้ำพุ
รัฐทายาทดึงสายตากลับมามองไปทางสวี่ชิง
สวี่ชิงปรายตามองนายกองที่เลือดพุ่งกระฉูด สีหน้ายิ่งฉายแววเคารพนบนอบ ประสานหมัดโค้งคารวะรัฐทายาทเจ้าเหนือหัวที่อยู่ข้างหน้า แสดงมารยาทในตอนนั้นออกมา เอ่ยเสียงต่ำ
“พวกเราไม่ทราบว่าผู้อาวุโสอยู่ที่นี่ มาที่นี่ก็เพื่อทำแผนการที่อาจารย์ข้าวางไว้ให้สำเร็จ จะงมดวงอาทิตย์สามดวงขึ้นมาขอรับ”
รัฐทายาทได้ยินก็มอ สวี่ชิงมาอย่างคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ไม่ได้ถามเรื่องนี้ต่อ แต่มองไปทางขอบฟ้าที่ไกล
“มีคนจะมา พวกเราต้องไปแล้ว
“สหายตัวน้อย พวกเจ้างมดวงอาทิตย์ขึ้นมาแล้วเตรียมจะไปที่ใด”
สวี่ชิงลังเล ไม่กล้าปกปิด จึงตอบไปตามตรง
“เทือกเขาทนทุกข์อย่างนั้นหรือ” รัฐทายาทคล้ายครุ่นคิด หัวเราะขึ้นมา ร่างเพียงไหววูบก็แปลงเป็นชายชราหน้าตาอ่อนโยนมีเมตตาคนหนึ่ง
“ข้าก็คิดจะไปที่นั่นอาศัยอยู่สักช่วงหนึ่งเช่นกัน พวกเราไปกันเถอะ ถือโอกาสระหว่างทางนี้บอกกับเจ้าถึงพลังรากฐานของตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดกับเจ้าสักหน่อย นี่มีความเกี่ยวของกับเจ้าอยู่นิดๆ”
จากคำพูดที่ดังออกมา พันธนาการบนร่างของพวกหนิงเหยียนทั้งสามคนสลายไป พวกเขาหวาดกลัวสุดขีด ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร ทำได้เพียงมองไปทางสวี่ชิง ส่วนนายกองเลือดหยุดพุ่งเป็นน้ำพุแล้ว หลังจากลุกขึ้นมาเขาก็หวาดหวั่นพรั่นพรึง มองไปทางสวี่ชิงเช่นกัน
และในความคิดของพวกเขา สวี่ชิงเป็นคนที่คุ้นเคยกับรัฐทายาทผู้นี้ที่สุด
สวี่ชิงจิตใจว้าวุ่นนัก มองไปทางรัฐทายาทที่แปลงตัวเป็นปู่แก่ๆ ที่เดินอยู่ข้างหน้า กัดฟันกรอดแล้วก้าวตามไป
คนทั้งหลายรีบตามอยู่ข้างหลัง หนิงเหยียนและอู๋เจี้ยนอูต่างขาอ่อน เดินตามไปด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา ประเดี๋ยวก็มองหน้ากัน ล้วนเห็นความไม่อยากจะเชื่อและความหวาดกลัวในดวงตาของกันและกัน
‘ระดับเตรียมสู่เทวะที่ยังมีชีวิตอยู่…’
ส่วนนายกองก็ปรับสภาพจิตใจ ราวกับเสี่ยวเอ้อร์ตามมาอย่างรวดเร็ว สะบัดมือเอาพัดออกมา พัดไปด้วยคอยประจบประแจงเอาใจไปด้วย
“ท่านปู่ ท่านร้อนหรือไม่ ข้าพัดให้ท่านเอง”
“ท่านปู่ ท่านเหนื่อยหรือไม่ พี่เจี้ยนเจี้ยน ยังไม่รีบเอาหมีวิเศษออกมาเป็นพาหนะให้ท่านปู่อีก!”
คนทั้งหลายตัวสั่นเทิ้ม ตลอดการเดินทางมีเพียงสวี่ชิงเท่านั้นที่ดูแล้วนับว่าเป็นปกติ เพียงแต่ในใจของเขา ตอนนี้งุนงงสับสนยิ่งนัก
‘นี่คือจะกลับร้านยาของข้าหรือ’
เวลาผ่านไป หลังจากที่คนทั้งหลายจากไปหนึ่งชั่วยาม บริเวณที่พวกเขาอยู่เมื่อก่อนหน้านี้ จู่ๆ ฟ้าดินก็พลันบิดม้วน ขณะที่มิติเดือดพล่านก็มีเงาร่างมหึมาร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
ร่างนี้รางเลือน มองเห็นหน้าตาไม่ชัด เห็นเพียงชุดคลุมยาวตัวกว้างสีแดงชาดแผ่ออกไปรอบๆ จากร่างคนคนนี้ไปคลุมท้องฟ้า ปกคลุมผืนดิน
ทุกสิ่งทุกอย่างในเสี้ยวพริบตานี้ล้วนกลายเป็นสีเลือด
ยิ่งมีพลังที่เหนือกว่าระดับหวนสู่อนัตตาเกิดขึ้นในฟ้าดินแห่งนี้ กฎเกณฑ์นับไม่ถ้วนปรากฏรอบๆ ตัวเขา กระทั่งว่ายังเห็นเงาของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวรายล้อม
และในพริบตาที่คนคนนี้ปรากฏตัว รอบๆ รางเลือน พลังอำนาจพระจันทร์สีชาดปะทุเพิ่มขึ้น จากการสะบัดมือของเขา ห้วงเวลาที่นี่เริ่มหมุนถอยหลัง คล้ายว่าจะย้อนกลับ
เศษเสี้ยวนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมาในมิติ ประกอบเข้าด้วยกันไม่หยุด คิดจะประกอบทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่ก่อนหน้านี้ เพียงแต่เศษชิ้นส่วนเหล่านี้เพิ่งเริ่มประกอบขึ้น ยังไม่ทันที่ภาพจะปรากฏขึ้นก็ต่างสั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างรุนแรง
เสี้ยวขณะต่อมา เศษชิ้นส่วนทั้งหมดก็แตกทลาย เริ่มสลายหายไป
เงาร่างที่มาเยือนเงียบนิ่ง เงยหน้ามองไปทางแม่น้ำเซ่นทมิฬ เพียงกวาดตามองไป แม่น้ำก็เดือดพล่าน
“พรายแม่น้ำออกมาพบข้า” เสียงต่ำทุ้มดังออกมาจากปากเขา
เพียงพริบตา บนแม่น้ำมีพรายแม่น้ำจำนวนมหาศาลลอยขึ้นมา ก้มศีรษะหมอบคารวะร่างนั้น
“คารวะจักรพรรดิตำหนัก”
“ที่นี่เกิดอะไรขึ้น” เงาร่างยักษ์เอ่ยถามราบเรียบ เสียงประดุจสายฟ้าดังก้อง
พรายแม่น้ำงุนงง ต่างส่ายหน้า พวกมันไม่รู้จริงๆ
“ความทรงจำถูกเปลี่ยน…” เงาร่างมหึมากวาดสายตา จากนั้นก็ทอดสายตามองไปที่ไกล หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เงาร่างของเขาก็รางเลือน หายไปในฟ้าดิน
มีเพียงเสียงที่ดังอยู่ที่นี่นานไม่สลายไป
“รัฐทายาทเจ้าเหนือหัว เจ้ามาซ่อนตัวอยู่ที่นี่เอง…เช่นนั้นตอนนี้เจ้าเลือกที่จะออกไปข้างนอก เป้าหมายคืออะไรกัน”