ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 597-2 ยาห้ามกินมั่วซั่ว (2)
บทที่ 597-2 ยาห้ามกินมั่วซั่ว (2)
สวี่ชิงดวงตาจ้องเพ่ง เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
เมื่อนายกองได้ยินก็ควบคุมดวงอาทิตย์ติดตามไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว สังเกตอย่างใกล้ชิดตลอดทาง ไม่นานนักพวกเขาก็เห็นตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดหยุดอยู่เหนือหุบเขาแห่งหนึ่ง
ดวงตาสีเลือดขนาดยักษ์นั่นแผ่แสงประหลาดออกมา พุ่งเป้าไปที่หุบเขาด้านล่าง จากนั้นแสงสีแดงสายหนึ่งก็ระเบิดออกมาจากดวงตานี้
เส้นสีเลือดนับไม่ถ้วนเปล่งแสงวูบวาบ รอบตัวกันเป็นอักขระทางหนึ่ง ประทับลงไปบนหุบเขา
แผ่นดินใหญ่สั่นสะเทือน หินภูเขาแตกกระจุย หุบเขาพังทลายอย่างรวดเร็ว ขณะที่ฝุ่นมหาศาลฟุ้งกระจายไปรอบๆ พื้นดินที่หุบเขาแต่เดิมอยู่ เวลานี้ก็ยุบจนกลายเป็นหลุมขนาดยักษ์
ด้านในมีถ้ำอยู่แห่งหนึ่ง
ตรงกลาง ขณะที่ภูเขาหินดินโคลนนับไม่ถ้วนถล่มลงมา ก็เห็นมีคนนอนอยู่ด้านบนแท่นบูชาอยู่รางๆ เหมือนอยากจะดิ้นรน แต่กลับไม่มีเรี่ยวแรงจะผุดลุกขึ้น มีหมอกพิษมหาศาลแผ่ออกมาจากร่าง
โดยเฉพาะรอบๆ แท่นบูชามีกองเลือดสีดำหลายกอง มีทั้งแห้งไปแล้วและมีทั้งเลือดใหม่ เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้อยู่ที่นี่มานานแล้ว ไม่รู้ว่ากระอักเลือดออกมากี่ครั้ง
หลังจากสวี่ชิงเห็น ก็ลอบถอนหายใจ
เขาจำพิษของตนเองได้…
นายกองกะพริบตาปริบๆ รู้สึกคุ้นตากับพิษนั้นเหลือเกิน จึงมองไปทางสวี่ชิงอย่างสงสัย แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาถาม เขารีบมองไปทางรัฐทายาทเจ้าเหนือหัว ใบหน้าฉายแววประจบเอาใจ
“ท่านปู่ชรา…”
รัฐทายาทกำลังหยอกล้อกับเจ้านกแก้ว ทำเป็นไม่ได้ยิน
นายกองจนใจ ส่งสายตาให้สวี่ชิง
สวี่ชิงหันหน้า คารวะรัฐทายาท ส่งเสียงแผ่วเบาออกมา
“ผู้อาวุโส…”
เมื่อรัฐทายาทได้ยินก็มองมา เอ่ยเสียงเรียบ
“เรียกข้าว่ากระไรนะ”
สวี่ชิงกะพริบตาปริบๆ ตอบสนองทันที
“ท่านปู่ชรา”
รัฐทายาทยิ้ม กวาดตามองไปยังโลกภายนอก พริบตาต่อมา…จู่ๆ ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดที่ลอยอยู่เหนือหุบเขาก็สั่นสะเทือน
อุกกาบาตมหาศาลรอบๆ ระเบิดในพลันโดยไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ เสียงครืนครันดังสนั่นไปรอบทิศในพริบตา ส่วนผู้บำเพ็ญบนอุกกาบาตเหล่านั้น เวลานี้ก็หมดสติ ทยอยร่วงลงมาประหนึ่งใส่เกี๊ยวลงในหม้อ
จากนั้น ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดบนดวงตาสีเลือดคิดจะดิ้นรน แต่แค่อึดใจต่อมาก็เงียบสงบ แสงสีเลือดหม่นลง
ประตูใหญ่เปิดออก ทูตเทวะกลางคนในชุดคลุมสีแดงปักดิ้นทองผู้หนึ่งก็เดินออกมาจากด้านใน
ทูตเทวะผู้นี้หน้าตาเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว แม้จะเรียบนิ่งแต่ก็สง่างาม คลื่นพลังกลิ่นอายทั่วร่างดูไม่ธรรมดา เห็นได้ชัดว่าปกติอยู่ในตำแหน่งสูง แต่ตอนนี้ดวงตาทั้งสองของเขาว่างเปล่า สีหน้าไร้อารมณ์ ทั้งตัวแผ่ความเฉยชา ก้าวออกมาทีละก้าวราวกับหุ่นไม้
ด้านหลังเขามีผู้รับใช้เทวะในชุดคลุมเทพสีแดงอีกสามคน หญิงสองชายหนึ่ง สีหน้าแบบเดียวกัน การเคลื่อนไหวก็เป็นหนึ่งเดียว ก้าวเท้าออกมาพร้อมๆ กัน
ด้านหลังถัดไปอีกยังมีทาสเทวะอีกหลายสิบคน ก้าวเท้าเดินออกมาเท้าเดียวกัน ราวกับว่าเหนือร่างพวกเขาแต่ละคนมีเส้นบางอย่างที่มองไม่เห็น ถูกคนเชิดอยู่
ขณะที่เลือนราง ก็มีความรู้สึกเหมือนเริงระบำบวงสรวงเช่นนั้น
คนกลุ่มนี้หลังจากเดินไปกลางอากาศ ก็ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับเขยื้อน
ความแปลกประหลาดของภาพนี้ ทำให้อู๋เจี้ยนอูและหลี่โหยวเฝ่ยที่เห็นก็ใจสั่นสะท้านรุนแรง แม้พวกเขาจะรู้ความน่ากลัวของเตรียมสู่เทวะ แต่จะแข็งแกร่งเพียงใด ทั้งสองคนไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก
ตอนนี้ได้เห็นกับตา สมองพวกเขาก็อดเกิดความรู้ความเข้าใจอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้
‘อย่างกับเทพเจ้า…’
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังสั่นเทา หนิงเหยียนก็ถอนหายใจ ยิ่งตั้งใจถูพื้นขึ้นอีก
นายกองลิงโลด หลังจากส่งสายตาเป็นรางวัลให้สวี่ชิง ร่างก็ทะยานออกไป พุ่งไปยังหลุมลึกหุบเขาบนพื้น ส่งเสียงตะโกน
“สามเจ็ดเก้าห้าหนึ่ง ใช่เจ้าหรือไม่!”
เสียงของนายกองสะท้อนก้อง ร่างเงาในหมอกพิษบนแท่นบูชา นิ้วมือขยับเล็กน้อย ลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง คิดจะกระเสือกกระสนแต่ก็ทำไม่ได้ ทั่วร่างมีแค่ปากที่ยังฝืนให้เป็นปกติ ส่งเสียงอ่อนแรงออกมา
“พระจันทร์สีชาดมิใช่สิ่งนิรันดร์กาล…”
“นี่มันยามใดแล้ว ยังจะส่งรหัสลับอีก เจ้าใช่สามเจ็ดเก้าห้าหนึ่งหรือไม่!” นายกองเข้าใกล้ มองร่างในหมอกพิษ
“ใช่…” ร่างในหมอกพิษตอบกลับอย่างอ่อนแรง
ขณะที่พวกเขาสนทนากัน สวี่ชิงก็เดินออกมาจากดวงอาทิตย์ มองความระเกะระกะบนพื้นผาดหนึ่ง จากนั้นก็เดินเข้าในหลุมใหญ่มายังถ้ำด้านใน เขาเห็นเลือดสีดำรอบๆ รวมถึงร่างที่อยู่ในปราณหมอกนั่น
‘บอกเขาไปตั้งนานแล้วว่าอย่ากินเข้าไปในคำเดียว…’
สวี่ชิงแอบพูดในใจ
และยามนี้ หลังจากยืนยันหมายเลขของอีกฝ่าย นายกองก็นั่งยองๆ ลงด้านหน้าหมอกพิษ เอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ
“ทำไมเจ้าถึงอยู่ในสภาพนี้ได้เล่า ไม่ใช่ว่าเจ้าฝึกบำเพ็ญร้อยพิษมิกล้ำกรายหรอกหรือ ใช้ไม่ได้เลย”
เมื่อร่างเงาในหมอกได้ยินก็โอดครวญในใจ คิดจะเอ่ยปาก แต่อาการบาดเจ็บสะสมจะปะทุขึ้นมาตามสภาพจิตใจ จึงกระอักเลือดสีดำออกมา แล้วสลบไป
“คงยังไม่ตายหรอกระมัง”
นายกองตกใจ สวี่ชิงเข้าประชิดอย่างรวดเร็ว ยกมือขวาขึ้นโบก ทันใดนั้นหมอกพิษก็สลายไป เผยให้เห็นใบหน้าแท้จริงของเจ้าคนดวงซวย
เป็นชายชราผู้หนึ่ง สวมชุดคลุมสีครามยับยู่ยี่ ผมเป็นสีดอกเลาทั้งหัว กระดูกโหนกแก้มสูง โครงร่างใหญ่ ดูให้ความรู้สึกมั่นใจในตัวเองมาก คิดว่าในเวลาปกติคงจะเป็นคนเด็ดขาดคำไหนคำนั้นแน่นอน
รอยเหี่ยวย่นที่เต็มใบหน้า ไม่ได้ขับเน้นให้ดูแก่ชรา แต่กลับทำให้น่าเกรงขามมากขึ้น แค่กูก็รู้ว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่
เพียงแต่ยามนี้ บนทั้งหมดทั้งมวล กลับมีความขมขื่นที่เข้มข้นเพิ่มมา คิ้วที่ขมวดแน่นแฝงความจนใจกับชีวิตเอาไว้ ทั้งเนื้อตัวแผ่ความรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก
โดยเฉพาะเลือดสีดำที่มุมปาก ทำให้รู้สึกขนลุกขนพอง
ทั้งกำปั้นที่กำไว้แน่น ราวกับคิดจะบีบความไม่ยินยอมในใจทั้งหมดให้แตกละเอียด แต่เห็นได้ชัดว่า…เขาทำไม่ได้
สวี่ชิงมองทั้งหมดนี้ แล้วแอบถอนหายใจอีกครั้ง ยกมือขวาขึ้นโบก ฉับพลันก็มียาลูกกลอนเม็ดหนึ่งลอยออกมา หลังจากไปอยู่เบื้องหน้าชายชราคนนี้ ยาลูกกลอนก็ระเบิดทันที่ กลายเป็นควันสีขาวแทรกซึมเข้าไปในทวารทั้งเจ็ดของชายชรา เริ่มขจัดพิษ
ไม่นานนัก พิษในร่างกายชายชราก็ถูกสวี่ชิงขจัดออกไปกว่าครึ่ง นายกองที่มองภาพเหล่านี้ข้างๆ สีหน้าก็ยิ่งสงสัย มองชายชราแล้วก็มองสวี่ชิง
เขารู้สึกว่าพิษนี้แก้ง่ายเกินไป ราวกับว่า…นี่เป็นพิษของสวี่ชิงเอง
แต่เขาก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ อาชิงน้อยเข้าไปตำหนักขบถจันทร์ไม่ได้ แล้วก่อนหน้านี้สองคนนี้ก็ไม่รู้จักกัน ความเป็นไปได้ที่จะวางยาพิษมีไม่มาก
นี่ทำให้นายกองรู้สึกสงสัย ส่วนชายชราเวลานี้ก็ค่อยๆ ตื่นขึ้นมาจากการที่พิษถูกแก้ไป มองรอบๆ อย่างมึนงง แต่พริบตาต่อมาในดวงตาก็เฉียบคม ลุกขึ้นนั่งทันที
เมื่อสังเกตเห็นว่าพิษสลายไปมากแล้ว เขาก็มีสะกิดใจ มองไปทางนายกองกับสวี่ชิง
“พวกเจ้าแก้พิษให้ข้าได้อย่างไร”
สวี่ชิงไม่พูดอะไร ถอยออกไปหลายก้าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย ส่วนนายกองก็หัวเราะเหอะๆ พิจารณาชายชรา
“สามเจ็ดเก้าห้าหนึ่ง เจ้าบอกข้ามาก่อน ว่าเจ้ามีสภาพนี้ได้อย่างไร”
ชายชราได้ยินก็เงียบนิ่ง เขาที่มีสถานะสูงส่ง น้อยนักที่จะเห็นผู้บำเพ็ญปราณก่อกำเนิดพูดด้วยน้ำเสียงปกติกับตน
แต่พิจารณาจากที่อีกฝ่ายช่วยชีวิตตนเองเอาไว้ ทั้งยังแก้พิษให้ได้อีกด้วย ประกอบกับปรากฏตัวขณะที่พระจันทร์สีชาดล้อมไว้เช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้ในใจเขาเกิดความคิดมากมาย และมีความสงสัย
โดยเฉพาะไม่รู้สถานการณ์ด้านนอกในตอนนี้…
คิดถึงตรงนี้ ชายชราก็สะกดความคิดในใจลง เขาแค่อยากจะออกไปให้ไวที่สุดจึงลุกขึ้นมาจัดระเบียบเสื้อผ้า และความน่าเกรงขามก็โหมขึ้นตามมาด้วย เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
“ขอบคุณสหายตัวน้อยทั้งสอง แต่ช่างเรื่องส่วนตัวไปเถิด นี่เป็นชะตากรรมของข้า ไม่อยากจะบอกกับผู้อื่น”
ขณะที่พูด เขาก็ล้วงถุงเก็บของออกมา โยนให้นายกอง
“ในนี้คือค่าตอบแทนที่รับปากไว้ก่อนหน้านี้ อยู่ที่นี่นานไม่ดี หากได้พบกันหลังจากนี้ ข้าจะมีค่าตอบแทนอื่นให้อีก”
พูดจบชายชราก็ร่างไหววูบ ลอยตัวขึ้น ไม่สนใจสวี่ชิงกับนายกองอีก กระตุ้นพลังบำเพ็ญ พุ่งไปยังโลกภายนอก เตรียมตัวต่อสู้
แต่พริบตาที่พุ่งออกจากถ้ำ เขาก็เห็นสถานการณ์ด้านนอก ฝีเท้าหยุดชะงัก ทั้งหมดตรงหน้า ทำให้ในใจเขาโหมระลอกคลื่นลูกมหึมา สีหน้าเปลี่ยนเป็นแปลกใจระคนสงสัยในพริบตา
สิ่งที่เห็นรอบๆ มีผู้บำเพ็ญตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดนอนอยู่เกลื่อนกลาด แต่ละคนไม่บาดเจ็บแม้แต่น้อย ทว่านอนหมดสติ และที่ทำเขาพรั่นพรึงที่สุดคือเขาเห็นทูตเทวะพระจันทร์สีชาดยืนอยู่กลางอากาศ
“เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย!!”
ภาพนี้ทำให้ในใจชายชราโหมกระหน่ำ เขาสังเกตเห็นว่าทูตเทวะบนท้องฟ้า เหมือนจะถูกสะกดให้นิ่งอยู่ตรงนั้น
สิ่งนี้ทำให้เขาสั่นสะท้าน อดหันกลับมามองด้านหลังไม่ได้ ก็แอบคิดในใจว่าสองเดือนที่มัวแต่ถูกพิษเล่นงานนี้ ด้านนอกเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วสองคนนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร…
เขาค่อนข้างสงสัย นึกถึงท่าทีก่อนหน้าของตน จึงหันหลังกลับมาที่ถ้ำ เก็บความน่าเกรงขามทั้งหมด เปลี่ยนเป็นความเกรงใจ
“ก่อนหน้านี้ข้าร้อนใจ บางคำพูดจึงค่อนข้างอวดดี ขอบคุณสหายเต๋าทั้งสองมากที่ช่วยชีวิต ด้านนอกนี่…”
ชายชรามองสวี่ชิงกับนายกอง ถามหยั่งเชิงขึ้นมา
เขาสัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาดจากร่างผู้คนของตำหนักเทพด้านนอกเหล่านั้น แต่เขานึกไม่ออกอลยว่ามีพื้นเพอย่างไรรวมถึงความสามารถอะไรกันแน่ จึงทำให้พวกผู้บำเพ็ญรวมถึงทูตเทวะของตำหนักพระจันทร์สีชาดด้านนอกหมดสติไป
สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ ส่วนนายกองก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ต้องไปกังวลเรื่องด้านนอกหรอก สามเจ็ดเก้าห้าหนึ่ง พิษบนตัวเจ้าหนักหนามาก ถูกศัตรูเล่นงานเอาหรือ”
เขารู้สึกสงสัยอาการบาดเจ็บจากพิษของชายชราคนนี้มาก
ชายชรามองสองคนตรงหน้า จากนั้นก็กวาดตามองไปยังสถานการณ์น่าครั่นคร้ามด้านนอก ในใจก็ครุ่นคิด จากนั้นจึงถอนหายใจ เลือกที่จะบอกออกมา
“ก็ไม่มีอะไรมาก”
“อย่างไรหรือ” นายกองสงสัย
“สองเดือนก่อนข้าซื้อยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งมาจากคนผู้หนึ่งในตำหนักขบถจันทร์” ชายชราเอ่ยช้าเนิบ
“แล้วยาลูกกลอนนั้นมีปัญหาหรือ” นายกองรีบถามต่อ
ชายชราเงียบนิ่ง จากนั้นก็เอ่ยต่อ ตอนแรกเขาเพียงจะเอ่ยประโยคง่ายๆ สองสามประโยค แต่ผ่านไปสี่ห้าประโยค ขณะที่นายกองก็ตอบสนองอย่างให้ความร่วมมือ ความอัดอั้นที่สะสมมาช่วงนี้ จึงหลายเป็นความปรารถนาที่อยากจะบอกเล่า
“เดิมข้าคิดว่ามันเป็นลูกกลอนพิษธรรมดา แต่ก็คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าเด็กเวรนั่นจะตลบหลังข้า!
“ตอนข้าเพิ่งกลืนลูกกลอนนั่นเข้าไปก็ยังดีอยู่ เหมือนจะไม่มีอะไร แต่ใครจะรู้ว่าผลภายหลังจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนมาระเบิดเอาตอนสุดท้าย ข้าที่ไม่ทันตั้งตัว ก็ถูกพิษเล่นงานจนหงายไปแล้ว!”
“เกินไปจริงๆ!” นายกองตกอกตกใจ กวาดตามองสวี่ชิง
สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ ชายชราเปี่ยมล้มไปด้วยโทสะ
“ใช่ เกินไปจริงๆ! ช่วงนี้ข้าจะขยับตัวก็ขยับไม่ได้ ทุ่มสุดกำลังต้านท้านพิษ ผ่านภยันตรายเกือบเอาชีวิตไม่รอดจนพวกเจ้ามาถึง นี่ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ทำกันแล้ว!
“ข้าสงสัยว่าเจ้าเด็กนั่นน่าจะเป็นศัตรูของข้าส่งมา ข้าประมาทเกินไป สารเลวจริงๆ!!
“ที่หนักกว่านั้นคือยาลูกกลอนนั่นยังเป็นพิษผสม พิษผสมเชียวนะ ราคามันต้องแพงมากๆ แต่เขาดันขายให้ข้าถูกแสนถูก แค่แลกเปลี่ยน ข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น สารเลวจริงๆ!”
นายกองก็อุทานตกใจผสมโรง ความอยากเล่าของชายชราก็รุนแรงขึ้นด้วยเหตุนี้ แต่คิ้วของสวี่ชิงก็เลิกขึ้นตามคำกล่าวว่าเจ้าเด็กเวรนั่นๆ
“ทั้งเจ้าเด็กเวรนั่นก่อนจะจากไปยังทำให้ข้าตายใจ แสร้งเตือนข้าไม่ให้กลืนมันลงไป ต้องปาดเป็นผงก่อน คิดดูตอนนี้ นี่เป็นการยั่วยุข้าชัดๆ!”
ชายชรายิ่งพูดก็ยิ่งโกรธ สุดท้ายก็ถอนหายใจยาว
“แต่ก็ต้องโทษนิสัยไม่ยอมแพ้ของข้านั่นล่ะ ข้ากลืนมันลงไปในคำเดียว…
“เจ้าว่าถ้านี่จะไม่ใช่ศัตรูของข้าแล้วจะใคร เข้าใจข้าถึงเพียงนี้ พุ่งเป้ามาที่นิสัยข้า ข้าจะต้องหาศัตรูของข้าคนนี้ให้พบ!”