ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 602 ร้านยาเล็กๆ ที่ธรรมดาๆ อบอุ่น (1)
บทที่ 602 ร้านยาเล็กๆ ที่ธรรมดาๆ อบอุ่น (1)
มู่เต้าจื่อดวงตาเบิกกว้าง ดวงตาฉายแววหวาดกลัว ทั้งคนอึ้งตะลึงอยู่ตรงนั้น มองคนที่กำลังกระอักเลือดอย่างตื่นตระหนก เขารู้สึกว่าไม่ค่อยเหมือนความจริงสักเท่าไร
อีกฝ่ายในใจเขาแข็งแกร่งไร้เทียมทานถึงจะถูก
“นี่…นี่มันเรื่องอะไรกัน…”
มู่เต้าจื่อตัวสั่น หายใจติดขัดขึ้นมาทันที รู้สึกเพียงว่าฟ้าดินกลับตาลปัตร ร่างกายเริ่มอ่อนแรง เขาไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าทุกอย่างไยจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ และไม่อาจเข้าใจว่าผู้ที่เพียงกวาดตามองก็ทำให้จอมคนเนตรดำเป็นเช่นนี้ไปได้จะมีพลังบำเพ็ญมากเพียงใด
ยิ่งไม่เข้าใจว่าคนเช่นนี้ไยจึงมาหาตน ตนก็ไม่ได้ไปล่วงเกินผู้แข็งแกร่งนี่นา
ท่ามกลางความอึ้งตะลึงงงงันไปโดยสมบูรณ์ของเขา หลี่โหยวเฝ่ยก็ถอนหายใจ
แม้อีกฝ่ายจะหักหลังอาจารย์ แต่ถึงอย่างไรก็เคยเป็นลูกศิษย์ของตน เขาจึงก้าวไปคว้ามู่เต้าจื่อ เดินมาข้างหน้าสวี่ชิง ยกร่างเขาขึ้น ตบหน้าอย่างรวดเร็ว
ฝ่ามือแล้วฝ่ามือเล่า กระทั่งตบจนหน้าของมู่เต้าจื่อดูไม่ออกว่าเป็นใครแล้ว หลี่โหยวเฝ่ยก็พูดกับสวี่ชิงด้วยสีหน้าเคารพนอบน้อม
“ท่านปรมาจารย์ ท่านจะฆ่าทิ้งหรือไม่ขอรับ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ มู่เต้าจื่อจึงได้สติจากความอึ้งตะลึงทันที ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วร่าง แต่กลับไม่กล้าร้องครวญคราง กลับเอ่ยเสียงสั่นขึ้นมา
“อา…อาจารย์ นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันหรือไม่ ขะ ข้า…ข้าไม่ได้ไปล่วงเกินใครนะขอรับ”
“ร้านยาเมืองดินเป็นเจ้าที่ทำลายใช่หรือไม่” หลี่โหยวเฝ่ยมองศิษย์อกตัญญูอย่างโมโห กัดฟันพูด
“ร้านยาหรือ” มู่เต้าจื่อสั่นไปทั้งร่าง ในดวงตาฉายแววสับสน แต่เสี้ยวขณะต่อมาก็นึกถึงร้านยาในเมืองดินร้านนั้นขึ้นได้ ดวงตาพลันเบิกกว้าง สมองมีสายฟ้าฟาดผ่าทันที
เขานึกออกแล้ว เมืองดินมีร้านยาอยู่ร้านหนึ่งจริงๆ เฉินฝานจัวได้เตือนตนแล้วว่าอย่าไปแตะ
แต่ตนไม่ฟัง…
“เป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร นั่นเป็นร้านยาอะไร ทำไมถึงเป็นเช่นนี้…”
มู่เต้าจื่อนึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ที่มากไปกว่านั้นคือแฝงไว้ด้วยความหวาดกลัวสิ้นหวัง ตอนนี้ระลอกคลื่นอารมณ์รุนแรงนัก รวมกับหลี่โหยวเฝ่ยตบมาไม่เบาเลยจึงสลบไปทันที
หลี่โหยวเฝ่ยมองหน้ามู่เต้าจื่อ นึกถึงช่วงเวลาที่ตนสอนสั่งอีกฝ่าย ในใจทอดถอน จึงมองไปทางสวี่ชิงด้วยสายตาที่แฝงไว้ด้วยความอ้อนวอน เขารู้ว่าลูกศิษย์ในอดีตของตนผู้นี้ ความเป็นตายอยู่เพียงแค่เสี้ยวความคิดของอีกฝ่ายเท่านั้น
สวี่ชิงเห็นถึงคำร้องขอของหลี่โหยวเฝ่ย สายตากวาดไปยังมู่เต้าจื่อที่สลบไป เอ่ยเสียงสงบนิ่ง
“หนึ่งชั่วยาม ฟื้นสภาพให้เหมือนเดิม”
หลี่โหยวเฝ่ยผ่อนลมหายใจยาว โค้งคารวะสวี่ชิงอย่างซาบซึ้ง ตบมู่เต้าจื่อที่รอดตายจากเหตุการณ์อันตรายมาได้จนตื่น คว้าตัวอีกฝ่ายเหาะจากไปอย่างรวดเร็ว
หนึ่งชั่วยามหลังจากนั้น มู่เต้าจื่อที่ได้รู้ความจริงบางส่วนตกอยู่ในความหวาดกลัว ภายใต้เสียงคำรามอย่างบ้าคลั่งของเขาสั่งการและความขยันขันแข็งของทุกคนในขั้วอำนาจ ร้านยาของสวี่ชิงก็ซ่อมแซมกลับมาเหมือนเดิม
ไม่ใช่แค่ร้านยาเท่านั้น สิ่งก่อสร้างทุกอย่างทั้งเมืองดินล้วนฟื้นฟูกลับมามีหน้าตาเหมือนเดิม
ความเร็วระดับนี้เห็นได้ชัดว่าทุกคนล้วนทุ่มเทสุดกำลัง ไม่กล้าเกียจคร้านแม้แต่น้อย
โดยเฉพาะเพื่อทำให้ภายในร้านยาเป็นเหมือนเดิม หลี่โหยวเฝ่ยยังไปหาเฉินฝานจัว ในเมื่ออีกฝ่ายเคยเข้าไปในร้าน รู้ว่าหน้าตาข้างในเป็นอย่างไร ดังนั้นภายใต้คำชี้แนะของเฉินฝานจัว ร้านยาโดยพื้นฐานแล้วก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
กระทั่งป้ายร้านก็ได้รับการซ่อมแซม ทั้งยังมีแผ่นไม้แจ้งหยุดที่แขวนบนประตูก่อนสวี่ชิงจากไปในวันนั้นด้วยเช่นกัน
ส่วนประชาชน…ภายใต้คำสั่งของหลี่โหยวเฝ่ย คนพวกนั้นที่อยู่ใต้บัญชาการของมู่เต้าจื่อ แต่ละคนล้วนแสดงเป็นประชาชนด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา
มู่เต้าจื่ออยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน
ต้องกล่าวเลยว่า ในมุมหนึ่งก็นับว่าเปลี่ยนที่นี่เป็นสำนักแล้ว
ดังนั้นภายใต้การทุ่มเทกายใจของทุกคน โถงวิญญาณทมิฬก็ปรากฏขึ้นในเมืองดินอีกครั้ง
ตอนนี้นอกร้านยา สวี่ชิงมองสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคยข้างหน้า จิตใจผ่อนคลายลง โค้งคารวะรัฐทายาทที่อยู่ข้างๆ
“ขอบคุณขอรับท่านปู่ชรา เชิญท่านก่อนเลยขอรับ”
หลิงเอ๋อร์อยู่ข้างๆ ก็พออกพอใจเช่นกัน เอ่ยออดอ้อนกับรัฐทายาท
“ขอบคุณท่านปู่ชราที่ช่วยข้ากับพี่สวี่ชิงสร้างร้านยาขึ้นใหม่อีกครั้งนะเจ้าคะ”
รัฐทายาทยิ้ม สายตามองไปที่ร้านยา มือไพล่หลังเดินเข้าไป
สวี่ชิงตามอยู่ข้างหลัง
หนิงเหยียนและอู๋เจี้ยนอูกวาดตามองหลี่โหยวเฝ่ยที่ตอนนี้ยังเหงื่อไหลโชกอยู่ข้างๆ ผาดหนึ่ง ตบไหล่ของเขา ก่อนจะสาวเท้าเดินเข้าไป
เพิ่งเดินเข้ามา หลิงเอ๋อร์ก็แนะนำร้านยาของตัวเองกับรัฐทายาทอย่างกระตือรือร้น
“ท่านปู่ชรา นี่คือห้องด้านหลัง แต่ก่อนพี่สวี่ชิงหลอมยาอยู่ในนั้นตลอด ส่วนข้าก็ทำบัญชีอยู่ที่โต๊ะรับแขกตรงนี้ตลอดเช่นกัน
“กิจการดีมากๆ เลยล่ะเจ้าค่ะ”
หลิงเอ๋อร์พูดพลางเอาต้นอ่อนออกมา วางไว้ที่เดิม
“แล้วก็ยังมีมันด้วยเจ้าค่ะ มันชื่อเจ้าต้นอ่อนน้อย น่ารักมากๆ ปกติเวลาดีใจมีความสุขมันจะเต้นระบำ”
นกแก้วจ้องไปทันที
เจ้าต้นอ่อนน้อยสั่นระริก พริ้วไหวโบกสะบัดสุดกำลัง
ในตอนที่หลิงเอ๋อร์แนะนำอยู่ทางนี้ นายกองประเมินซ้ายขวา มองทางนี้ทีทางนั้นที เอ่ยกับสวี่ชิงเสียงต่ำทุ้ม
“อาชิงน้อย ร้านค่อนข้างจะเล็กนะ คนมากขนาดนี้จะอยู่ได้หรือ”
หลี่โหยวเฝ่ยอยู่ข้างหลังได้ยินคำนี้ก็รีบเอาแผ่นหยกออกมาเรียกกำลังคน ไม่นานนัก ‘ประชาชน’ ที่อยู่รอบๆ ก็มาถึง ทำการเชื่อมห้องทั้งสองฝั่งของร้านยา ทำให้ขนาดของร้านยาขยายขึ้นอีกหลายเท่าทันที
หลังจากยุ่งวุ่นวายเสร็จก็เป็นยามโพล้เพล้แล้ว จากเมืองดินข้างนอกที่เงียบลง แสงไฟในร้านยาเล็กๆ ร้านนี้ก็สว่างขึ้น ฉายความอบอุ่นในร้านยาออกมา
ใต้แสงเทียน คนทั้งหลายนั่งอยู่รอบโต๊ะของร้าน เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า
รัฐทายาททางนั้นเล่นกับนกแก้ว หนิงเหยียนและอู๋เจี้ยนอูพยายามทำให้ตัวเองชินว่าข้างกายมีตัวตนของท่านปู่ชราระดับเตรียมสู่เทวะอยู่ แต่ความวิตกกังวลในใจไม่ใช่สิ่งที่จางหายไปได้ในเวลาสั้นๆ ตอนนี้นั่งกันแบบนี้ก็เกร็งเหมือนกับลูกสะใภ้ตัวน้อยอย่างนั้น
สวี่ชิงกับหลิงเอ๋อร์ยังดี ฝ่ายหน้าชินตั้งนานแล้ว ฝ่ายหลังเป็นที่ชื่นชอบเอ็นดูของนายท่านผู้ชรา
ส่วนนายกอง เขากะพริบตาปริบๆ ตลอดทางเขานับว่ามองออกแล้ว รัฐทายาทเจ้าเหนือหัวคนนี้มาเทือกเขาทนทุกข์น่าจะมีเป้าหมายสองข้อ ข้อแรกไม่รู้ แต่ข้อที่สองจะต้องเกี่ยวพันกับสวี่ชิงอย่างแน่นอน
‘เขาเห็นความสำคัญในพลังพระจันทร์สีม่วงของสวี่ชิง จะฝึกฝนสวี่ชิง ทำให้อาชิงน้อยเติบโตได้อย่างรวดเร็ว น่าจะอยากยืมพลังของอาชิงน้อยไปทำลายผนึกให้พี่น้องของเขาเหล่านั้นกระมัง
‘เรื่องนี้ไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้นแน่ ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดจะต้องป้องกันอย่างแน่นหนาแน่นอน’
นายกองครุ่นคิด นึกย้อนการกระทำของอีกฝ่ายตลอดทางมานี้ มองออกว่ารัฐทายาทเจ้าเหนือหัวผู้นี้ชื่นชอบชีวิตมนุษย์สามัญมาก ไม่ได้มีท่าทีต่อต้านอะไรกับการต้องมาอาศัยในร้านยาเล็กๆ นี้
‘ก็ถูก อย่างไรเสียก็เป็นคนแก่ที่อยู่ตัวคนเดียว น่าจะยิ่งชอบภาพอบอุ่นลูกหลานอยู่พร้อมหน้า…’
คิดถึงตรงนี้นายกองก็มองไปทางพวกหนิงเหยียนทันที
“พวกเจ้าสามสี่คนใครจะเป็นคนทำอาหาร ยังไม่รีบไปทำกับข้าวให้ท่านปู่อีก”
หนิงเหยียนทำตัวไม่ถูก อู๋เจี้ยนอูเกาศีรษะ หลี่โหยวเฝ่ยลังเล หลิงเอ๋อร์ทางนั้นดวงตาเป็นประกาย คันไม้คันมืออยากลอง
ตอนนั้นที่อยู่ในเมืองหิ่งห้อยของตวนมู่ฉาง พี่สาวและคุณป้าเหล่านั้นสอนวิชาการทำอาหารให้นางไว้มากมาย พี่สวี่ชิงทุกครั้งล้วนชอบกิน ดังนั้นตอนนี้กำลังจะเอ่ยขึ้น
สวี่ชิงอยู่ข้างๆ มองเห็น ก็ชิงตัดหน้าหลิงเอ๋อร์ พูดขึ้น
“ข้าเองแล้วกัน”
พูดจบก็ลุกขึ้น แต่คิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยเนิบนาบ
“แต่ว่าไม่มีวัตถุดิบ”
นายกองได้ยินว่าสวี่ชิงจะทำกับข้าวก็อยากรู้ยิ่งนัก จึงรีบถามคนอื่น สุดท้ายภายใต้สายตาของอู๋เจี้ยนอู นกแก้วก็สลัดๆ ตัวอย่างไม่เต็มใจ ปลาตัวโตๆ ร่วงลงมาเต็มพื้น
มันชอบกินปลา ก่อนหน้านี้ตอนที่ไปหาสวี่ชิงระหว่างทางก็จับไว้ไม่น้อย ปกติทุกครั้งที่แอบออกไปข้างนอกมันล้วนออกไปจับปลากิน
เรื่องนี้บิดาของมันย่อมรู้ดีที่สุดอยู่แล้ว
ตอนนี้นำส่วนที่กักเอาไว้ของตัวเองออกมา นกแก้วมองทางสวี่ชิงทางนั้นตาละห้อย มีใจคิดอยากจะถามสักสองสามประโยค แต่กลับไม่กล้า จึงทำได้เพียงแค่ถอนหายใจ มองพวกนายกองอย่างโมโห
นายกองยิ้ม หนิงเหยียนสายตาล้ำลึก อู๋เจี้ยนอูแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น เขารู้ว่าน่าจะใกล้ได้เวลาลงมือตามแผนของเอ้อร์หนิวแล้ว
คนทั้งหลายก็เริ่มทำงานเช่นนี้เอง มีคนทำความสะอาดพื้น มีคนเช็ดโต๊ะนั่ง โต๊ะรับแขก มีคนจัดยาลูกกลอน กระทั่งว่าภายใต้คำสั่งของนกแก้ว พวกเขาเปลี่ยนเป็นชุดผ้าป่าน ดูแล้วไม่เหมือนผู้บำเพ็ญเลย
ส่วนนายกองทางนั้นเห็นว่างานที่ต้องทำมีมากมายเหลือเกิน ทางรัฐทายาททางนั้นก็เหมือนจะขาดสาวใช้ จึงนึกถึงโยวจิง จึงปล่อยนางออกมาจากเศษเสี้ยวโลก
ทันทีที่ปรากฏตัวในร้านยา กลิ่นอายของโยวจิงปะทุทันที ยิ่งสีเสียงกัดฟันกรอดๆ ดังก้อง
“เฉินเอ้อร์หนิว เจ้าคนสมควรตาย…”
การปรากฏตัวของโยวจิง หนิงเหยียนและอู๋เจี้ยนอูล้วนไม่สนใจ กระทั่งว่าไม่แม้แต่จะมอง ยังคงทำงานเช่นเดิม และคำพูดนางเพียงดังขึ้น นายกองก็ถลึงตา เอ่ยตัดบทอย่างหยิ่งทะนง
“โยวโยวน้อย เจ้ากำเริบนัก ไม่รู้จักดูว่าใครอยู่ที่นี่!”
นายกองรู้สึกได้ใจนัก ยกมือชี้ไปที่ข้างหลังโยวจิง
โยวจิงอึ้งตะลึง นางสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล หันไปมองตามสัญชาตญาณ
เพียงแค่ผาดเดียวเท่านั้น…
นับจากนั้นในร้านยาแห่งนี้มีสาวใช้เพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง
ก็เป็นเช่นนี้เอง เวลาหมุนผ่านไป ข้างนอกท้องฟ้ามืดสลัว ลมกำลังพัดหวีดหวิว
ความเย็นเยียบยามค่ำคืนเริ่มโจมตีไปรอบๆ แสงไฟในเมืองดินมีไม่มาก บ้านเรือนทุกหลังล้วนสั่นไหว มีเพียงร้านยาร้านเล็กๆ จากการทำอาหารของสวี่ชิง กลิ่นหอมก็ค่อยๆ ลอยฟุ้งออกมาเป็นระลอกๆ
กลิ่นอายของควันไฟเปลี่ยนเป็นความอบอุ่นของเหล่ามนุษย์ ตลบอวลไปทั้งร้านยา
หนึ่งชั่วยามหลังจากนั้น สวี่ชิงยกกับข้าวสามสี่อย่างมาบนโต๊ะ
กลิ่นหอมฟุ้ง อาหารจานปลาทั้งโต๊ะ
ในนั้นมีน้ำแกงข้นปลา หนังปลาย่าง ท้องปลาทอด ปลาน้ำแดง…
เห็นอาหารเยอะแยะมากมายเช่นนี้ นายกองก็คาดไม่ถึงเช่นกัน
“พวกเจ้าก็อย่าเกร็งนัก มาชิมด้วยกัน”
นายกองสงสัยอยากรู้ คีบขึ้นมาอย่างระวังชิ้นหนึ่ง หลังจากกินลงไปแล้วก็เอ่ยชม แต่ในใจกลับคิดว่าเจ้านี่ไม่อร่อยเท่าเนื้อเทพเจ้า
หนิงเหยียนก็กินลงไปคำหนึ่งเช่นกัน แสดงสีหน้าตื่นเต้นเช่นกัน แต่ในใจแอบพูดว่างั้นๆ
อู๋เจี้ยนอูซดน้ำแกงไปคำหนึ่ง ถอนหายใจออกมา เขาที่ไม่ได้กินอาหารคนธรรมดามานานมาก มีใจอยากจะร่ายกลอนระบายความรู้สึก แต่มองสวี่ชิงไปผาดหนึ่งก็สะกดกลั้นเอาไว้
ส่วนโยวจิงในฐานะที่เป็นสาวใช้ก็มีสิทธิ์กินเล็กน้อยเช่นกัน แต่เพียงแค่คำเดียวนางก็ไม่อยากกินแล้ว ตอนนี้ในความทรงจำของนางเนื้อคนหอมที่สุด หากได้กินเฉินเอ้อร์หนิว เช่นนั้นก็ยิ่งยอดเยี่ยม
มีเพียงหลิงเอ๋อร์และหลี่โหยวเฝ่ยที่กินเยอะที่สุด ฝ่ายหลังประจบประแจงไม่หยุด ฝ่ายหน้าดวงตาเป็นประกาย
“ที่แท้พี่สวี่ชิงก็ทำกับข้าวเก่งถึงเพียงนี้” หลิงเอ๋อร์กะพริบตาปริบๆ รู้สึกว่าควรเป็นตัวเองทำจะดีกว่า จึงคิดว่าอีกสามสี่วันตัวเองก็จะแสดงฝีมือบ้าง
กำลังคิดเช่นนี้ รัฐทายาททางนั้นก็ซดน้ำแกงข้นปลา
“สวี่ชิง วิธีการปรุงของเจ้าน่าจะเป็นวิธีการปรุงจากทางใต้ น้ำแกงข้นนี้รสชาติเป็นเอกลักษณ์มาก เดิมทีต้องเป็นน้ำแกงข้นงูใช่หรือไม่ เปลี่ยนมาใช้ปลาเป็นวัตถุดิบ รสชาติด้อยไปเล็กน้อย”
หลิงเอ๋อร์ร่างชะงักแข็งทื่อ