ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 605 กลับตำหนักขบถจันทร์อีกครั้ง
เช้าตรู่วันถัดมา สวี่ชิงลืมตาขึ้น เมื่อหลิงเอ๋อร์ที่คอยดูแลอยู่ข้างๆ ตลอดเห็นสวี่ชิงตื่นแล้ว นางก็เข้ามาใกล้ทันที ใบหน้าเล็กแฝงแววกังวล
“พี่สวี่ชิง…”
“ข้าไม่เป็นไร” สวี่ชิงยิ้ม ยกมือขึ้นลูบหัวหลิงเอ๋อร์ สัมผัสอาการบาดเจ็บของตนเองเล็กน้อย
อาการบาดเจ็บของเขาฟื้นฟูมาแล้วกว่าครึ่งด้วยพลังผลึกวารีสีม่วง แต่ยังคงเหนื่อยล้าอยู่
หลักๆ เป็นผลที่เกิดจากการสะท้อนกลับเพราะอสูรสมุทรบรรพกาลระเบิดตัวเองจนส่งผลกระทบกับจิตวิญญาณ
แต่ในหัวของอสูรสมุทรบรรพกาลที่เหลืออยู่ แฝงพลังแห่งอายุขัยสวรรค์ที่มากกว่าเดิมเอาไว้ อีกทั้งระดับขั้นก็ไม่เหมือนเดิม ดังนั้นระหว่างที่มันกำลังฟื้นตัว สำหรับสวี่ชิงแล้วนี่ถือเป็นการยกระดับอย่างหนึ่ง
สวี่ชิงสัมผัสได้ว่าหลังจากที่ความเหนื่อยล้าของตนหายไป จิตวิญญาณก็จะยิ่งเข้มแข็งและแข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อน
“ประมาณยี่สิบวัน ข้าน่าจะฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ ถึงตอนนั้น พลังต่อสู้ของข้าจะยกระดับขึ้นมหาศาล หากเจอกับพวกหล่อเลี้ยงมรรคาอีกก็จะสามารถฝ่าฟันไปได้ง่ายขึ้น”
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก ผุดลุกขึ้นนั่ง ส่วนนายกองเวลานี้ก็เข้ามาทางประตู กินผลท้อพลางมองมองสวี่ชิงด้วยรอยยิ้ม
“ออกไปข้างนอกมาครั้งหนึ่ง ไยกลับมาแล้วไม่เหมือนเดิมเลยเล่า สายตาเฉียบคมกว่าแต่ก่อนนะ”
พูดพลาง นายกองโยนผิงกั่วให้สวี่ชิงผลหนึ่ง
สวี่ชิงรับไว้แล้วกัดไปหนึ่งคำ เดินออกจากห้องด้านหลัง มาถึงในร้านยา
หนิงเหยียนกำลังถูพื้นพลางถอนหายใจ เมื่อเห็นสวี่ชิง เขาก็ฝืนยิ้มออกมา
โยวจิงกำลังต้มน้ำอย่างหงุดหงิด ทั้งๆ ที่ใช้พลังบำเพ็ญสนับสนุนได้ แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้รับอนุญาตให้ทำเช่นนั้น นางจึงทำได้แค่นั่งยองๆ ตรงนั้น จ้องเตาไฟกับกาโลหะตรงหน้า
ส่วนหลี่โหยวเฝ่ย ยามนี้กำลังแนะนำยากับผู้บำเพ็ญรวมปราณที่ตัวสั่นงันงกผู้หนึ่งอย่างเป็นกันเอง
ส่วนอู๋เจี้ยนอูยังคงอยู่ที่หน้าประตู เขาที่ชินกับหน้าที่นี้ไปแล้ว ตอนนี้สวมชุดผ้าปอหยาบๆ กำลังร่ายกลอน
แล้วก็ท่านปู่ชรา นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะรับแขกของร้านยา คลึงไข่มุกเล่นในมือ ยิ้มมองภาพทั้งหมด บนบ่าเขายังมีนกแก้วไม่มีขนที่กำลังโศกเศร้าระคนโกรธเคืองตัวหนึ่ง
“ท่านปู่ ข้าสงสัยว่าเฉินเอ้อร์หนิวเป็นคนทำ…” เจ้านกแก้วเอียงศีรษะ หลังจากกวาดสายตาผ่านสวี่ชิงรวมถึงนายกอง ก็มองนายกองอย่างโกรธเคืองทันที คร่ำครวญกับรัฐทายาท
นายกองยิ้ม ไม่สนใจ และเดินไปที่หน้าประตู หยิบกระบี่เล่มหนึ่งออกมา สองแขนกอดอก เชิดหน้าขึ้น ปกป้องร้านยา
สวี่ชิงรู้สึกอบอุ่นหัวใจ ทุกสิ่งยังเหมือนตอนที่เขาออกไป ความรู้สึกอบอุ่นเช่นนั้นในร้านยาเล็กๆ นี้ ทำให้ใจเขายิ่งสงบ
ตอนนี้ในที่สุดโยวจิงก็ต้มน้ำเสร็จ รีบหิ้วมาตรงหน้าท่านปู่ ชงชาให้กับเขา
รัฐทายาทยกจอกชาขึ้นดื่มไปหนึ่งอึก พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่สวี่ชิง
“อีกยี่สิบวันจะฝึกฝนเจ้าต่อ”
สวี่ชิงขานรับอย่างนอบน้อม ในใจคาดหวัง เขาคาดการณ์ได้เลยว่าการฝึกฝนเช่นนี้จะต้องอันตรายมากทุกครั้งแน่นอน แต่ขอแค่ตนเองอดทนและตระหนักรู้ได้ เช่นนั้นก็จะยกระดับตนเองได้มหาศาล
เวลาก็ไหลผ่านไปหลายวันเช่นนี้
อาการบาดเจ็บของสวี่ชิงกำลังฟื้นตัวอย่างช้าๆ แต่เขาสัมผัสได้ว่าพลังจิตวิญญาณของตนไม่เหมือนเดิม ความเร็วในการคิดวิเคราะห์เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
แต่ก่อนเรื่องที่เขาต้องพิจารณา ตอนนี้แค่ขบคิดเล็กน้อยก็กระจ่างได้ สิ่งนี้ทำให้สวี่ชิงนำคำสาปขึ้นมาศึกษาต่ออีกครั้งในช่วงที่รักษาตัว
ด้วยเหตุนี้หลี่โหยวเฝ่ยจึงยุ่งขึ้นเช่นกัน
ในที่สุด หลังผ่านไปสิบวัน สวี่ชิงก็อาศัยการยกระดับของจิตวิญญาณรวมถึงผลลัพธ์จากการค้นคว้า ใช้เลือดของหลี่โหยวเฝ่ยเป็นตัวเหนี่ยวนำ ใช้เลือดเนื้อที่งอกผิดปกติซึ่งหลงเหลือจากตอนนั้นเป็นพื้นฐาน ผสานพลังพระจันทร์สีม่วงของตนเข้าไป ปรับปรุงลูกกลอนบรรเทาทุกข์อีกครั้ง
การปรับปรุงครั้งนี้แตกต่างจากก่อนหน้านี้ ด้วยการสั่งสมพอกพูนความรู้ของสวี่ชิง ในที่สุดเขาก็ทำให้ยาลูกกลอนลดปริมาณคำสาปได้มากขึ้นเล็กน้อย
ลูกกลอนบรรเทาทุกข์ก่อนหน้านี้ก็ทำได้ แต่ลดปริมาณคำสาปลงได้แค่หนึ่งในหมื่นเท่านั้น ไม่ต้องนึกถึงก็ได้
ทว่าตอนนี้ หากปริมาณคำสาปในร่างกายคนผู้หนึ่งเท่ากับหนึ่งร้อย เช่นนั้นหลังจากกินยาลูกกลอนบรรเทาทุกข์นี้ไปจะกลายเป็นเก้าสิบเก้า
ด้วยเหตุนี้ยาลูกกลอนที่แฝงไว้ด้วยประโยชน์ในการบรรเทาทุกข์ จึงมีผลลัพธ์ที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่า
ขณะเดียวกัน สวี่ชิงคาดการณ์ได้ว่า หลังจากที่ขายลูกกลอนบรรเทาทุกข์ไปครั้งนี้ จะต้องมีคนสังเกตเห็นประโยชน์ในมันที่แท้จริง
‘น่าเสียดายที่ยังลดปริมาณคำสาปได้น้อยเกินไป แต่ข้าไปถูกทางแล้ว เป็นเช่นนี้ต่อไป สรรพคุณทางยาก็น่าจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น จนสกัดยาลูกกลอนแก้คำสาปออกมาได้จริงๆ’
หลังจากครุ่นคิด สวี่ชิงก็ไปที่ตำหนักขบถจันทร์
ห่างจากการเข้าไปในตำหนักขบถจันทร์ครั้งที่แล้วหลายเดือน
ครั้งนี้ ที่เข้าไปไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น
หลายวันนี้หลิงเอ๋อร์เป็นห่วงอาการบาดเจ็บของสวี่ชิง จึงไม่ทำบัญชีแล้ว แต่คอยอยู่ข้างๆ สวี่ชิงทั้งวัน นางสงสัยใครรู้เรื่องตำหนักขบถจันทร์มาก ประจวบเหมาะกับที่สวี่ชิงจะไปในครั้งนี้ จึงพาหลิงเอ๋อร์ไปด้วย
ในตำหนักขบถจันทร์ ที่ศาลเจ้าของสวี่ชิง เวลานี้มีรูปปั้นนั่งสมาธิอยู่ด้านนอกเจ็ดแปดรูป
เหล่านี้เป็นเพื่อนบ้าน ไม่ก็เป็นพวกคลั่งไคล้ อีกทั้งทุกคนเคยซื้อลูกกลอนบรรเทาทุกข์ของสวี่ชิงไปทั้งสิ้น
ดังนั้นต่อให้ปรมาจารย์ไม่มาหลายเดือน ความศรัทธาในใจก็ยังทำให้พวกเขาแวะเวียนมาทุกวัน ราวกับว่าการนั่งทำสมาธิที่นี่ สำหรับพวกเขาช่วยสะกดคำสาปได้อย่างไร้ร่องรอย
โดยเฉพาะชายกำยำที่เปลือยท่อนบนผู้นั้น ในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญที่ได้สดับฟังทำนองเต๋าทั้งหมด ก็สร้างฐานะใหม่ของตนได้สำเร็จ ตามปกติจะเรียกแทนตนว่าผู้ติดตามปรมาจารย์
นอกจากนี้สำหรับทุกคำวิพากษ์วิจารณ์ที่โจมตีปรมาจารย์ด้านนอก ล้วนแฝงไปด้วยความเกลียดชัง เวลานี้เขาจึงสีหน้าเคร่งขรึม กำลังกล่าวกับผู้ติดตามคนอื่นข้างๆ ว่า
“แม้ว่าช่วงนี้ปรมาจารย์จะไม่ได้กลับมา แต่ข้าในฐานะที่เป็นผู้ติดตามรวมถึงคนที่เคยได้รับผลประโยชน์ จะเชื่อมั่น จะไม่หลับหูหลับตาฟังคำวิพากษ์วิจารณ์นอกศาลเจ้าเหล่านั้น
“และข้าก็เชื่อมาโดยตลอดว่าวันที่ปรมาจารย์กลับมา จะต้องมาพร้อมกับพายุบรรเทาทุกข์ลูกใหญ่กว่าเดิมกลับมาที่ตำหนักขบถจันทร์แน่นอน!”
เสียงชายกำยำดังก้อง ผู้ติดตามคนอื่นรอบๆ ก็พากันพยักหน้า แต่รูปปั้นหญิงหนึ่งในนี้ลังเลเล็กน้อย เอ่ยเสียงต่ำว่า
“แม้จะมีผู้บำเพ็ญที่เชี่ยวชาญด้านยาลูกกลอนไม่น้อยวิพากษ์วิจารณ์ปรมาจารย์ แต่อันที่จริงก็ไม่มีค่าอะไร ทว่าช่วงนี้ปรมาจารย์เซิ่งลั่วเองก็เกิดข้อสงสัยอยู่ไม่น้อย…”
เมื่อหญิงสาวผู้นี้เอ่ยขึ้น คนอื่นๆ ก็เงียบนิ่งไป
ในสายตาของผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์ ชื่อเซิ่งลั่วนี้ถือว่ามีน้ำหนักไม่น้อย
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะปรมาจารย์ท่านนี้เป็นผู้ที่ขายลูกกลอนบรรเทาทุกข์มากที่สุดในตำหนักขบถจันทร์ กระทั่งมีคนวิเคราะห์ว่าลูกกลอนบรรเทาทุกข์ในตำหนักขบถจันทร์อย่างน้อยสามส่วน ล้วนเป็นฝีมือของปรมาจารย์ท่านนี้
ดังนั้นข้อสงสัยของเขา จึงมีความหมายแตกต่างออกไป
เห็นว่าทุกคนเงียบนิ่ง ชายกำยำเพื่อนบ้านของสวี่ชิงคนนั้น ก็แค่นเสียงเย็นชาขึ้น กำลังจะเอ่ยปาก
ทว่าตอนนี้เอง แท่นบูชาก็สั่นสะเทือน
การสั่นสะเทือนนี้ ทำให้เหล่ารูปปั้นที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในศาลเจ้าทั้งหมดอึ้งตะลึง ระลอกคลื่นใจโหมซัด พลันหันไปมองแท่นบูชา
บนแท่นบูชา เทวรูปชายชราสะพายน้ำเต้า สองตาที่ไม่ลืมมานานมากแล้ว จู่ๆ ก็ลืมขึ้น
“ปรมาจารย์!”
“ปรมาจารย์ลูกกลอนเก้า!”
เทวรูปเจ็ดแปดรูปนี้ใจสะท้านสะเทือนรุนแรง ลุกขึ้นยืนในพริบตา พากันคารวะสวี่ชิง โดยเฉพาะเพื่อนบ้านผู้นั้นที่ตื่นเต้นกว่าใคร
“ปรมาจารย์ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว!”
สวี่ชิงมึนงง ไม่บุ่มบ่ามวู่วาม เขายืนขึ้นบนแท่นบูชา สายตาหยุดอยู่กับผู้ที่คารวะตน ค่อยๆ เอ่ยปากขึ้น
“พวกเจ้าคือ?”
“ปรมาจารย์ พวกเราล้วนเป็นคนที่เคยได้รับความเมตตาจากท่าน หลายเดือนมานี้อาสามาปกป้องที่แห่งนี้อย่างต่อเนื่อง หวังว่าจะสามารถเดินตามรอยเท้าของปรมาจารย์แล้วกลายเป็นผู้ติดตามของท่านได้!”
ชายกำยำเพื่อนบ้าน เอ่ยอย่างนอบน้อม
สวี่ชิงได้ยินก็ไม่ได้พูดอะไร เขาเงยหน้ามองไปด้านนอก
กระถางธูปสัมฤทธิ์ด้านนอก มีควันดำลอยคละคลุ้งขึ้นช้าๆ ท่าทางเหมือนมีคนมาสักการะบูชามากมาย
ไกลออกไป ยังเห็นรูปปั้นอีกนับสิบ นั่งขัดสมาธิอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
แม้จะเคยได้ยินนายกองพูดถึงเรื่องเหล่านี้ แต่เมื่อสวี่ชิงมาเห็นด้วยตาตัวเอง ก็คล้ายครุ่นคิด
เห็นสวี่ชิงไม่พูดอะไร รูปปั้นเจ็ดแปดรูปในศาลเจ้าก็รู้สึกประหม่า ในความรู้ความเข้าใจของพวกเขา ปรมาจารย์ลูกกลอนเก้าเป็นสัตว์ประหลาดที่มีพลังบำเพ็ญสูงล้ำแน่นอน
ปกติแล้ว สัตว์ประหลาดเช่นนี้จะมีนิสัยแตกต่างกับคนปกติ พวกเขาจึงไม่รู้ว่าการที่พวกตนมานั่งสมาธิอยู่ที่นี่ จะทำให้ปรมาจารย์ไม่พอใจหรือไม่
แต่ลองทดสอบดูก็เห็นจะได้ หากสอดคล้องกับสิ่งที่ปรมาจารย์ต้องการ สำหรับพวกเขา ฐานะของผู้ติดตามก็จะมีความหมายอย่างยิ่ง
พร้อมกับความคิดนี้ พวกเขาจึงลอบสังเกตสวี่ชิงอย่างระมัดระวัง
สิบอึดใจต่อมา สวี่ชิงก็ไม่แสดงสีหน้าใด ในใจไร้ระลอกคลื่น ยืนอยู่บนแท่นบูชาก้มลงมองเบื้องล่าง เมื่อกลาดสายตาผ่านรูปปั้นเหล่านั้น เขาก็เอ่ยเสียงเรียบว่า
“พวกเจ้าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ให้ข้าฟังหน่อย”
เห็นว่าปรมาจารย์ไม่ได้ปฏิเสธพวกตนที่จะกลายเป็นผู้ติดตาม รูปปั้นเหล่านี้จึงค่อยๆ ผ่อนลมหายใจโล่งอกออกมา โดยเฉพาะเพื่อนบ้านชายกำยำผู้นั้น ยิ่งรีบเอ่ยปาก เล่าเรื่องคำวิพากษ์วิจารณ์ การยอมรับและข้อสงสัยในตัวสวี่ชิงช่วงสองสามเดือนนี้ออกมา
สวี่ชิงพยักหน้า นี่เหมือนกับสิ่งที่ได้รู้มาจากนายกอง เพียงแต่จากปากคนเหล่านี้ละเอียดมากกว่า
เขาครุ่นคิด ตอนกำลังจะหยิบยาลูกกลอนที่สกัดใหม่ออกมา ทว่าจู่ๆ เสียงโมโหของหลิงเอ๋อร์ก็สะท้อนก้องขึ้นมาในสมองสวี่ชิง
“พี่สวี่ชิง ข้าฟังพวกเขาพูดออกมาตั้งมากตั้งมาย รับรู้สถานการณ์ส่วนใหญ่แล้ว คนพวกนี้เลวเกินไปแล้ว มาสงสัยในตัวพี่สวี่ชิงได้อย่าง ดังนั้นข้ามีความคิดหนึ่ง…
“หากพี่สวี่ชิงมีลูกกลอนที่ปรับปรุงใหม่ สู้พวกเราอาศัยคำบอกเล่าของพวกเขา ไปแพร่ข่าวลือก่อนเล็กน้อย กำหนดวันเวลา แจ้งวันที่จะวางขายยาลูกกลอน
“เช่นนี้ ในระหว่างนี้ จะต้องดึงดูดผู้ที่มีข้อสงสัยบางคน ถึงตอนนั้นพี่สวี่ชิงก็ค่อยหยิบยาลูกกลอนออกมา ให้เจ้าพวกที่สงสัยเหล่านั้นหน้าหงายไปเลย!
“เมื่อก่อนทุกครั้งที่ร้านพ่อข้าถูกตรวจสอบและสั่งปิด ในเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิตจะมีข่าวลือว่าเขาเปิดไม่ไหวแล้วทุกครั้ง ซึ่งเป็นเขาที่แพร่ข่าวลือและประกาศเช่นนี้ออกไป”
หลิงเอ๋อร์กระซิบ
สวี่ชิงได้ยินก็ยิ้ม สำหรับเขาแล้ว ไม่สนใจเรื่องเสียงเล่าลือเหล่านี้ แต่เห็นท่าทางโมโหของหลิงเอ๋อร์ จึงพยักหน้าให้ มองกลุ่มรูปปั้นด้านล่าง
“อีกสิบวัน ข้าจะวางลูกกลอนบรรเทาทุกข์ที่ปรับปรุงใหม่หนึ่งเม็ด ลูกกลอนนี้จะแตกต่างกับลูกกลอนบรรเทาทุกข์ก่อนหน้านี้อย่างมาก มีชื่อว่าลูกกลอนคลายคำสาป
สวี่ชิงเอ่ยราบเรียบ กล่าวจบก็หลับตาลง ออกจากตำหนักขบถจันทร์
หลังจากที่เขาไป เทวรูปในศาลเจ้าเหล่านี้ก็สูดลมหายใจ มองหน้ากัน ต่างสังเกตเห็นความพรั่นพรึงในสายตาของแต่ละรูป
“สรรพคุณทางยาจะแตกต่างกับก่อนหน้านี้มหาศาลอย่างนั้นหรือ”
“ไม่เรียกว่าลูกกลอนบรรเทาทุกข์แล้ว แต่เรียกว่าลูกกลอนคลายคำสาปหรือ”
“ชื่อนี้มัน…”
เทวรูปทั้งเจ็ดแปดรูปนี้รู้สึกสะกิดใจกันหมด แสดงความคิดเห็นกับเนื้อความที่ไม่อยากจะเชื่อจากชื่อนี้
“ลูกกลอนที่คลายคำสาปได้หรือ” เพื่อนบ้านชายกำยำ ต่อให้จะคลั่งไคล้สวี่ชิงเพียงใด แต่ยามนี้ลมหายใจยังขาดห้วง รู้สึกไม่อยากเชื่อขึ้นมาในใจ
“ถ้าหาก มันเป็นของจริงล่ะ” ครู่ต่อมา จู่ๆ รูปปั้นหนึ่งในนี้ก็เอ่ยขึ้น
เมื่อเขาพูดออกมา รูปปั้นอื่นๆ ก็หอบหายใจถี่ขึ้น
“หากเป็นของจริง…เช่นนั้นหลังจากนี้ ในตำหนักขบถจันทร์ ปรมาจารย์ลูกกลอนเก้าที่พวกเราติดตามผู้นี้ ก็จะกลายเป็นเทพเจ้าอย่างแท้จริงน่ะสิ!”
ในใจชายกำยำเพื่อนบ้านโหมซัดอย่างรุนแรง พึมพำเสียงต่ำออกมา