ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 610 จุดเริ่มต้นของการสืบย้อนต้นกำเนิด
บทที่ 610 จุดเริ่มต้นของการสืบย้อนต้นกำเนิด
ห้องด้านหลังร้านยา สวี่ชิงนั่งทำสมาธิ จิตใจของเขาตอนนี้ผสานไปในปราณวิหคทองของตัวเองแล้ว
นับจากเสี้ยวขณะนี้ไป เขาก็คือวิหคทอง
จากการพุ่งเข้าไปในไข่มุก มิติแปลกประหลาดมิติหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในสัมผัสรับรู้ของสวี่ชิง
ที่นี่รอบๆ สลัวคลุมเครือ เต็มไปด้วยหมอกที่กำลังพวยพุ่งไม่หยุด ยิ่งมีเสียงฟ้าผ่าเป็นระลอกๆ ดังสะท้อนก้อง ในยามที่ส่งเสียงสะท้านสะเทือนไปทั่วสารทิศ หมอกข้างหน้าก็พลันหายไป ใบหน้ามหึมาดวงหนึ่งเข้าประชิดเขาอย่างรวดเร็ว
เพียงพริบตา ดวงหน้านี้ก็ปรากฏข้างหน้าสวี่ชิง เป็นจอมคนเนตรดำนั่นเอง
ดวงหน้าทั้งสองของเขาแดงก่ำ ดวงตาแฝงความบ้าคลั่ง หลังจากที่เขาถูกผนึกไว้ที่นี่ ทุกวันก็ได้รับความทรมานแสนสาหัส อยู่มิสู้ตาย เดิมคิดว่าชีวิตนี้ก็คงเป็นเช่นนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าระดับเตรียมสู่เทวะผู้นั้นกลับบอกตนว่า ขอเพียงครั้งที่สิบกลืนกินวิหคทองลงไปได้ ก็จะหลุดพ้น
เขาทำได้แค่เลือกที่จะเชื่อ ตอนนี้หลังจากเห็นสวี่ชิง เขาไม่ลังเลใดๆ พลังบำเพ็ญในร่างพลันปะทุ สมบัติลับสมบูรณ์คลังหนึ่งก็ปรากฏออกมาจากทั่วทุกทิศ แล้วซัดลงมาทันที
“รีบๆ ตายไปซะ รีบถึงครั้งที่สิบ!”
จอมคนเนตรดำคำรามเสียงต่ำอ้าปากกว้างไปทางสวี่ชิงจะกลืนกินลงไป
สวี่ชิงถอยหลังอย่างรวดเร็ว ร่างวิหคทองขณะกะพริบวูบวาบก็แผ่เพลิงสวรรค์มหาศาลออกมา แต่อยู่ต่อหน้าผู้บำเพ็ญระดับสมบัติวิญญาณที่มีสมบัติลับสมบูรณ์ เพลิงสวรรค์เหล่านี้ไม่อาจต้านทานได้เลย
เพียงพริบตา จากการพ่นลมหายใจของจอมคนเนตรดำ เปลวเพลิงที่วิหคทองแผ่ออกมาก็ตลบม้วนกลับไป ส่วนใบหน้าที่แปลงมาจากจอมคนเนตรดำขยายใหญ่อย่างไม่มีขีดจำกัด สุดท้ายก็แทนที่มิติแห่งนี้
หน้าผากยันฟ้า คางค้ำดิน ปากมหึมาตรงกลางอ้าออก เหมือนถ้ำมืดกลืนกินมาทางสวี่ชิง
มองไกลๆ วิหคทองที่แปลงมาจากสวี่ชิงในตอนนี้เหมือนนกธรรมดา ไร้ซึ่งพลังขัดขืน จากความมืดมิดข้างหน้าเขา ความเจ็บปวดเป็นระลอกๆ ก็แผ่มาจากวิญญาณ
วิหคทองแตกสลาย สวี่ชิงประสาทสัมผัสรางเลือน ได้ยินเสียงแว่วๆ ดังก้องข้างหู
“ยังเหลืออีกเก้าครั้ง…”
‘เพียงแค่พริบตาเดียว!’
สวี่ชิงสีหน้าย่ำแย่ วิหคทองของเขายังอยู่ ไม่ได้ถูกกลืนกินไปจริงๆ แต่อาการบาดเจ็บของจิตวิญญาณที่เพิ่งจะฟื้นฟู ตอนนี้รู้สึกเหมือนถูกฉีกทึ้งรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง
สวี่ชิงยกมือเอาลูกกลอนรักษาอาการบาดเจ็บออกมา กลืนมันลงไป หลับตานั่งสมาธิ หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม อาการบาดเจ็บของเขาก็ฟื้นฟู ก้มหน้ามองไข่มุกในมือ ยิ่งรู้สึกเข้าใจในผู้แข็งแกร่งระดับสมบัติวิญญาณมากขึ้น
‘ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้!
‘เช่นนั้นวิหคทองของข้าควรจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรถึงจะหลบหลีกการกลืนกินของปากยักษ์นั่นได้’
สวี่ชิงเงียบนิ่ง สมองขบคิดอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาหลับตา จิตใจดำดิ่งไปในปราณวิหคทอง สัมผัสวิหคทองของตัวเองต่อไป
‘วิหคทองหลอมหมื่นสรรพสิ่งได้ แต่แปลงเป็นดวงอาทิตย์…
‘อย่างหน้าตอนนี้พลังยังไม่พอ อย่างหลัง…’ สวี่ชิงในสมองมีดวงอาทิตย์ที่ตนเห็นผุดขึ้นมา
‘ข้าเห็นดวงอาทิตย์ในระยะใกล้เป็นครั้งแรกที่มณฑลประกายอรุณเขตปกครองผนึกสมุทร แม้จะเป็นซาก…
‘หลังจากนั้น ข้าก็ได้เห็นดวงอาทิตย์จำลองสี่ดวงในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา เจ้าอ้วนน้อยเป็นดวงแรก พลังนิรันดร์กาลเป็นดวงที่สอง วงแหวนเป็นดวงที่สาม ลูกเหล็กบรรพกาลเป็นดวงที่สี่’
สวี่ชิงสีหน้าคร่ำเคร่ง หลังจากนั้นครู่หนึ่งดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย
‘แล้วก็ยังมีอีกหนึ่งดวง ก็คือเด็กหนุ่มที่เห็นในภาพสัญลักษณ์ราชรถยามที่สัมผัสรับรู้วิหคทองตอนนั้น
‘หากข้าเปลี่ยนรูปร่างของวิหคทอง ทำให้มันแปลงเป็นดวงอาทิตย์ เข้าใกล้พลังต้นกำเนิดของมัน…’
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด ภายใต้ความกดดันมหาศาลนี้ เขาจำเป็นต้องขบคิดวิธีการใช้วิหคทองให้ละเอียด
หนึ่งคืนผ่านไป
เช้าวันที่สอง แม้ฟ้าข้างนอกจะสลัว แต่เทียบกับเมื่อวานตอนกลางคืนก็นับว่าดีขึ้นเล็กน้อย จากการเปิดร้านของร้านรวงต่างๆ สวี่ชิงก็เริ่มการทดลองครั้งที่สอง
ร่างวิหคทองของเขาพุ่งเข้าไปในไข่มุก
เสี้ยวขณะต่อมา ก็ยังคงเป็นมิติแปลกประหลาดนั่น ทันทีที่สวี่ชิงปรากฏตัวขึ้น ก็ถอยไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว
ข้างหน้าเขาหมอกพลันพวยพุ่ง ใบหน้าที่แปลงมาจากจอมคนเนตรดำพุ่งออกมาทันที
ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนเมื่อครั้งที่แล้ว จนกระทั่งยึดครองทั้งมิติ พลังอำนาจท่วมฟ้า มาพร้อมพลังทำลายล้าง อ้าปากกว้างจะกลืนกินมาทางสวี่ชิง
แต่ครั้งนี้ในพริบตาที่เขากลืนกินไปทางสวี่ชิง วิหคทองที่แปลงมาจากสวี่ชิงส่งเสียงร้องคำรามก้อง ระเบิดร่างก่อน หลังจากแหลกเละก็กลายมาเป็นสี่ส่วน
ส่วนหนึ่งบิดเบี้ยวก่อตัวเป็นเหมือนกรอบประตู ในนั้นมีขดลวดเหล็กปรากฏขึ้นกระเด้งกระดอนส่งเสียงเลื่อนลั่น ก่อเป็นเปลวเพลิงลุกไหม้ แปรเปลี่ยนเป็นดวงอาทิตย์
ส่วนที่สองวนล้อมเป็นวงกลม ฟันเฟืองที่รวมอยู่ในนั้นหมุนอย่างรวดเร็ว
ส่วนที่สามเลือดเนื้อหลอมรวมเข้าด้วยกัน แปรเปลี่ยนเป็นก้อนเนื้อ ลุกไหม้เช่นกัน
รูปร่างของดวงอาทิตย์ ก็คือดวงอาทิตย์ทั้งสามที่สวี่ชิงเห็นที่ริมแม่น้ำเซ่นทมิฬ
ตอนนี้เมื่อปรากฏขึ้น พวกมันก็พุ่งไปยังปากมหึมาของจอมคนเนตรดำ แผ่ความร้อน และปะทุเสียงดังเลื่อนลั่นของตัวเองออกมา ขณะที่ทั้งมิติสั่นสะเทือน ดวงอาทิตย์ทั้งสามดวงก็ทำการระเบิดตัวเอง
เสียงระเบิดเลื่อนลั่นดังก้องไปทั่วทุกทิศ ใบหน้าของจอมคนเนตรดำก็ชะงักไปครู่หนึ่งในที่สุด เห็นได้ว่าใบหน้าของเขามีบางแห่งที่เกิดรอยไหม้ แต่เสี้ยวขณะต่อมาก็ฟื้นฟูเป็นปกติ
ไม่ว่าอย่างไร สวี่ชิงในตอนนี้ เขานับว่าหลีกหนีสถานการณ์ที่ถูกกลืนกินในพริบตาได้แล้ว ส่วนเลือดเนื้อส่วนสุดท้าย ท่ามกลางการพุ่งไปข้างหลังอย่างรวดเร็วก็ขยุกขยิกก่อร่างเป็นเงาร่างเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
เด็กหนุ่มหน้าตางดงามสง่า สวมชุดจักรพรรดิ สวมกวานจักรพรรดิม่านมุก ร่างแผ่เพลิงสวรรค์ออกมาข้างนอก ก่อเป็นราชรถใต้ร่างของตัวเอง
รัศมีอำนาจไม่ธรรมดา กำลังจะลงมือ แต่เพียงเสี้ยวพริบตามิติแห่งนี้ก็ถล่ม ข้างบนข้างล่างบดอัดอย่างรวดเร็ว เหมือนท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นเพดานปาก ผืนดินเปลี่ยนเป็นขากรรไกร ตอนนี้หุบปาก เสียงครืนดังขึ้น มืดมิดไปหมด
ในร้านยา สวี่ชิงพลันลืมตา กระอักเลือดออกมา ข้างหูยังมีเสียงแว่วดังก้อง
“ยังเหลืออีกแปดครั้ง!”
สวี่ชิงสีหน้าเคร่งขรึม กลืนลูกกลอนพลางนึกย้อนความล้มเหลวก่อนหน้านี้ของตัวเอง
‘ปราณสามทัณฑ์ปราณหนึ่ง เดิมก็ไม่สามารถเอาชนะระดับสมบัติวิญญาณได้ ต่อให้อีกฝ่ายถูกผนึกในไข่มุกมีพันธนาการ แต่ความแตกต่างของสองฝ่ายมหาศาลนัก ไม่อาจข้ามไปได้
‘แต่ที่รัฐทายาทกล่าวไว้ไม่ผิด ข้าไม่ได้ศึกษาปราณของข้าให้ลึกซึ้งจริงๆ เช่นวิหคทอง…หลังจากเปลี่ยนมันเป็นดวงอาทิตย์ พลังของมันเพิ่มขึ้นมาไม่น้อยอย่างชัดเจน’
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก เขาสัมผัสได้ว่าตัวเองน่าจะมาถูกทาง
‘เช่นนั้นข้าจะขุดค้นลงไปลึกกว่านี้ได้อย่างไร
‘วิหคทองประกอบขึ้นจากอะไรกันแน่
‘และยังมีเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิ แก่นแท้ของมันคืออะไร’
สวี่ชิงครุ่นคิด ในใจจมดิ่งไปในวิหคทอง กำลังจะสังเกตต่อ หลิงเอ๋อร์ก็วิ่งเข้ามาจากข้างนอกอย่างเริงร่า เอ่ยกระซิบกระซาบ
“พี่สวี่ชิง วันเปิดตัวลูกกลอนคือวันนี้แล้วนะ”
สวี่ชิงได้ยินก็ลืมตา เขาลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ตัวตนของรัฐทายาททำให้ความสบายๆ ผ่อนคลายของเขาเปลี่ยนไปทันที จังหวะเร็วขึ้นมาก
แต่ว่าเมื่อหลายวันก่อนเขาก็หลอมลูกกลอนเสร็จแล้ว อีกทั้งสรรพคุณยังดีกว่าที่เขาคิดเอาไว้ ลดคำสาปได้มากขึ้น
สวี่ชิงจึงพยักหน้าให้หลิงเอ๋อร์ เอากระจกออกมา พาหลิงเอ๋อร์เข้าไปในตำหนักขบถจันทร์ด้วยกัน
ตำหนักขบถจันทร์ตอนนี้ผู้คนส่งเสียงเอะอะโหวกเหวก
จากการสะสมมาตลอดสิบวัน เรื่องที่ปรมาจารย์ลูกกลอนเก้าจะเปิดตัวลูกกลอนคลายคำสาปก็แพร่ไปทั่วตำหนักขบถจันทร์แล้ว โดยเฉพะปรมาจารย์เซิ่งลั่วก็จะเปิดตัวลูกกลอนในวันเดียวกัน นี่ทำให้อารมณ์ของคนทั้งหลายในตำหนักขบถจันทร์พุ่งพล่าน
ตอนนี้เทวรูปหลายหมื่นลอยตระหง่านอยู่กลางท้องฟ้า กำลังรอการมาเยือนของสวี่ชิงและปรมาจารย์เซิ่งลั่ว
พวกเขารูปร่างหน้าตาต่างกัน แต่ประกายแสงบนร่างเข้มข้น มองไกลๆ เหมือนเทพมาร รัศมีอำนาจท่วมท้น
เสียงซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์ยิ่งเป็นระลอกคลื่น ดังก้องไปทั่ว
“คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะคึกคักปานนี้ ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วทั้งสองฝ่ายจะเป็นเช่นไร”
“ทุกคนต่างคาดหวังในลูกกลอนบรรเทาทุกข์และลูกกลอนคลายคำสาปอะไรนั่นสูงมาก แม้จะไม่สมเหตุผลแต่ก็นับว่าเข้าใจได้ ทว่าโดยรวมแล้วข้านั้นไม่เชื่อลูกกลอนเก้านั่น”
“ปรมาจารย์เซิ่งลั่วชื่อเสียงบารมีสูงส่ง คนที่ได้รับความกรุณาจากเขามีมากมาย วิถียาลูกกลอนไม่มีใครสู้ได้ ไม่ใช่ปรมาจารย์ที่จู่ๆ ก็โผล่ออกมาอย่างลูกกลอนเก้าจะมาสั่นคลอนได้!”
“ชื่อเสียงบารมีสูงส่งรึ รีบๆ หยุดพูดเพ้อเจ้อได้แล้ว ลูกกลอนของเซิ่งลั่วแพงหูฉี่ทุกเม็ด ในตอนนั้นข้าใช้ทรัพยากรทั้งสำนักเพื่อลูกกลอนเม็ดหนึ่งก็หมดสิ้นแล้ว!”
“บังอาจ! หากเจ้าไม่มีลูกกลอนเม็ดนั้น ตอนนี้เจ้าได้กลายเป็นซากไปแล้ว ยังจะมาพูดจาเพ้อเจ้อที่นี่ได้อย่างไร”
“ใช่ ปรมาจารย์เซิ่งลั่วเป็นผู้มีพระคุณของข้า ใครกล้าพูดไม่ดีกับเขาแม้แต่คำเดียวก็คือศัตรูของข้า!”
เสียงเอะอะโหวกเหวก ถกเถียงไม่จบสิ้น แต่โดยรวมแล้วแทบจะแปดส่วนเอนเอียงไปทางปรมาจารย์เซิ่งลั่ว คำพูดที่ปกป้องลูกกลอนเก้าถูกท่วมจมไปในคลื่นเสียง
แต่ว่าในนั้นมีผู้ติดตามปรมาจารย์ลูกกลอนเก้าสองคน เสียงดังเป็นอย่างยิ่ง เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง
หนึ่งในนั้นคือชายกำยำเพื่อนบ้านของสวี่ชิง เขามองคนทั้งหลายอย่างโมโห เสียงก้องกังวาน
“แม้ปรมาจารย์เซิ่งลั่วจะช่วยชีวิตคนได้ แต่กลับทำให้คนแทบจะต้องสิ้นเนื้อประดาตัว พวกเราล้วนเป็นคนที่ชะตาชีวิตน่าเศร้ากันทั้งนั้น ดิ้นรนเอาชีวิตรอดเดิมก็ไม่ง่ายอยู่แล้ว ยังต้องถูกคนกันเองขูดรีดกันเช่นนี้!
“มาดูปรมาจารย์ลูกกลอนเก้า เมตตาสงสารผู้คน ในใจมีความเมตตากรุณา ลูกกลอนบรรเทาทุกข์ของเขาต้องการเพียงแค่เลือดทาสเทวะร้อยหยดเท่านั้น เขาไม่รู้ราคาของลูกกลอนบรรเทาทุกข์อย่างนั้นหรือ
“เขารู้!
“แต่เขาทนเห็นพวกเราเป็นเช่นนี้ไม่ได้ ดังนั้นถึงได้ใช้ราคาที่แทบจะเรียกว่าให้เปล่ามาคลายความเจ็บปวดของพวกเรา!”
เสียงของชายกำยำเพื่อนบ้านคนนี้แฝงด้วยความสำนึกบุญคุณอย่างเข้มข้น ในขณะที่ดังก้องไปทั่ว ไม่ไกลจากตรงนี้ยังมีรูปสลักอีกรูปหนึ่ง ส่งเสียงแหลมเล็กออกมา
“พวกเจ้ามันไอ้พวกคนโง่ ถูกไอ้หนูเซิ่งลั่วหลอกจนสิ้นเนื้อประดาตัว ยังมาโอบอุ้มเท้าเหม็นๆ ของมันที่นี่อีก ไอ้หนูเซิ่งลั่วรวยจนล้นฟ้า พวกเจ้านี่ล้วนเป็นลูกกตัญญูกันทั้งนั้น!”
เทวรูปที่พูดเป็นรูปสลักผอมแห้งมีหกตา มือถือขวดวิเศษ หน้าดำเมื่อม ดวงตาทั้งหกของเขาตอนนี้ล้วนฉายแววเสียดสี
โดยเฉพาะลูกกตัญญูประโยคนั้นยิ่งทำให้คนที่ได้ยินรอบๆ ต่างมองไปอย่างโมโห ประโยคของเขาประโยคนี้มันช่างเจ็บแสบ เสียดสีได้สุดขั้วหัวใจนัก
เห็นทุกคนมองมาอย่างโมโห คำรามเสียงต่ำ เทวรูปหกตาก็เหมือนยิ่งได้ใจ เอ่ยต่อไป
“เหล่าลูกกตัญญูทั้งหลาย พวกเจ้ากำลังพูดอะไร เสียงดังหน่อย ท่านปู่ผู้นี้ไม่ได้ยิน พวกเจ้ามันเป็นพวกโยวโยวน้อยทั้งนั้นมีปากไม่มีสมอง”
คำพูดของเขาทำให้คนรอบๆ ยิ่งมองอย่างโมโหขึ้นอีก แม้จะไม่รู้ว่าโยวโยวน้อยหมายถึงอะไร แต่แค่ได้ยินก็รู้ว่าไม่ใช่คำที่ดี
จึงทำให้เกิดคำตำหนิติเตียนอย่างโมโหรุนแรงขึ้น
ผู้ติดตามและผู้ศรัทธาปรมาจารย์ลูกกลอนเก้าบางคนตอนนี้เหมือนหากำลังหลักเจอ ต่างรุมล้อมไปหาเทวรูปหกตา เกิดเป็นกองกำลังเล็กๆ
แม้แต่ชายกำยำเพื่อนบ้านก็มองมาทางเขา ดวงตาฉายแววนับถือ
เขารู้จักอีกฝ่าย รู้ว่าคนผู้นี้ช่วงนี้เข้าออกในศาลเจ้าของปรมาจารย์อยู่บ่อยๆ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายปกติไม่พูดไม่จา วันนี้เมื่อเปิดปากพูดก็เจ็บแสบเฉียบคมเช่นนี้
ดังนั้นชายกำยำในใจขบคิดว่าคนคนนี้ในเมื่อมีอุดมการณ์เดียวกันเช่นนี้ วันหน้าจะต้องคบค้าผูกสัมพันธ์เอาไว้ให้ดี
และในตอนนี้เอง จู่ๆ ทั้งตำหนักขบถจันทร์ก็สั่นไหว ภูเขาสั่นสะเทือน ศาลเจ้าทุกแห่งส่งเสียงเลื่อนลั่น พลังกดดันน่าครั่นคร้ามกดอัดลงมาจากฟ้า
กลุ่มคนทั้งหลายที่ตำหนิติเตียนถกเถียงกันต่างหยุดลง เงยหน้ามองไป