ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 619 ความเป็นมนุษย์ ความเป็นเดรัจฉาน ความเป็นเทพ
บทที่ 619 ความเป็นมนุษย์ ความเป็นเดรัจฉาน ความเป็นเทพ
เทือกเขาทนทุกข์ ลมไม่พัด ทรายสงบนิ่ง สรรพสิ่งเงียบสงัด สรรพชีวิตทั้งหลายนิ่งงัน
มีเพียงสีแดงฉานบนท้องฟ้าเหมือนกับเลือด กำลังแผ่ลามทะลักโหมไปไม่หยุด คล้ายว่าบนท้องฟ้ามีบาดแผล เลือดอาบย้อมไปทั่วสารทิศ
บนหลังคา เสียงของรัฐทายาทดังก้องในโลกอันเงียบสงัดใบนี้ บอกเล่ากรรมเวรที่เกี่ยวพันกับเทพเจ้า
“ข้าไม่ใช่เทพเจ้า ในกายก็ไม่มีต้นกำเนิดพลังเทพเช่นกัน
“แต่ข้ามีอำนาจ ทว่าไม่เหมือนกับเทพเจ้า…มันไม่ได้มาจากการจุดไฟเทพเจ้า แต่มาจากการอวยพรของวิถีสวรรค์แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์
“ดังนั้นควบคุมพลังต้นกำเนิดเทพอย่างไร ข้าไม่อาจช่วยเจ้าได้ ข้าทำได้เพียงมอบทิศทางให้กับเจ้า นั่นก็คือหิว”
รัฐทายาทจ้องมองสวี่ชิง
‘หิวหรือ’ สวี่ชิงเงียบนิ่ง หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็มองนายกอง
ในความทรงจำของเขาทุกครั้งที่นายกองเห็นเลือดเนื้อของเทพเจ้าก็เหมือนว่าจะมีท่าทางที่หิวกระหายเป็นอย่างยิ่ง
นายกองกะพริบตาปริบๆ ไม่พูดอะไร
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด
“สวี่ชิง เวลาของพวกเราไม่มากแล้ว” บนหลังคา รัฐทายาทเก็บสายตากลับมา มองไปทางแสงสีแดงฉานที่แผ่ลามมาจากขอบฟ้า เอ่ยเสียงเบา จากนั้นก็เดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง
เสี้ยวขณะต่อมา เงาร่างของเขาก็หายไปจากฟ้าดิน ที่หายพร้อมไปกับเขายังมีสวี่ชิงด้วย
การจากไปของทั้งสองคน นายกองไม่แปลกใจ เขาบิดขี้เกียจ เปิดถุงเก็บของ ค้นหาของในนั้น
หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็หากล่องเหล็กใบหนึ่งออกมา
‘รัฐทายาทใจร้อนเกินไป…’
นายกองพึมพำในใจ กัดลิ้นจนเลือดไหล พ่นเลือดออกมา จากนั้นก็สะบัดมือรับเลือดพวกนี้เอาไว้ ใส่ไปในกล่องเหล็ก
‘ช่วยไม่ได้ ทำได้แค่ใช้เจ้านี่แล้ว แต่ว่าพูดแล้วตาแก่ทำนายเหตุการณ์ได้แม่นยำราวเทพเจ้าขนาดนี้เชียวหรือ ก่อนที่จะไปจากเขตปกครองผนึกสมุทรก็ให้เจ้านี่ไว้กับข้า
‘ตอนนั้นยังบอกว่านี่เป็นสมอของเจ้าสี่…
‘ใช้เลือดของข้าเปิดได้เท่านั้น ให้ตอนที่เจ้าสี่ไม่ได้สติ ส่งมันไปข้างหน้าเขา’
นายกองมองกล่องเหล็กผาดหนึ่ง มีใจคิดอยากจะเปิดดู แต่รู้ถึงความสำคัญของวัตถุชิ้นนี้จึงสะกดความอยากรู้อยากเห็นลงไป
ในขณะเดียวกัน ในส่วนลึกของทะเลทรายคราม ในทะเลทรายกว้างสุดลูกหูลูกตา เงาร่างของรัฐทายาทและสวี่ชิงปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า
เพิ่งลงมาเยือน สวี่ชิงก็สัมผัสรอบๆ ทันที
ภูเขาทรายที่ไกลนิ่งไม่ขยับเขยื้อน การหายไปของลมทำให้ทะเททรายเปลี่ยนมาเงียบสงัด เม็ดทรายสีครามใต้เท้าก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้กลายเป็นสีเทา
ให้ความรู้สึกถึงความตาย
ที่นี่สวี่ชิงเคยมา รู้ว่าพื้นที่รกร้างแห่งนี้ห่างจากเทือกเขาทนทุกข์เป็นระยะทางหลายเดือน
“เป็นที่นี่ก็แล้วกัน”
รัฐทายาทเอ่ยสงบนิ่ง มองไปทางสวี่ชิง
“ถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าแน่ใจหรือไม่”
สวี่ชิงเงยหน้ามองไปทางสีแดงชาดที่ปลายขอบฟ้า สัมผัสถึงความกระวนกระวายของพลังพระจันทร์สีม่วงในกายเล็กน้อย นั่นเป็นความรู้สึกวู่วามอยากไปจากร่างของตน กลับไปยังผืนฟ้า
สวี่ชิงไม่อยากทิ้งพระจันทร์ม่วง ดังนั้นเขารู้ว่าความจริงแล้วตัวเองไม่จำเป็นต้องเลือก จึงมองรัฐทายาทแล้วพยักหน้า
“ดี!”
สายตาของรัฐทายาทล้ำลึก มือขวายกขึ้นคว้าไปหาสวี่ชิง
จากการคว้านี้ ไม่มีกลิ่นอายใดๆ แผ่ออกมาทั้งสิ้น ไร้ระลอกคลื่นพลัง ไม่มีการปะทุของพลังใดๆ แต่การคว้าธรรมดาๆ นี้ สวี่ชิงร่างสั่นสะท้านส่งเสียงเลื่อนลั่น
เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าไฟชีวิตของเขาหมองหม่นลงไปในทันที พลังชีวิตในร่างก็เหมือนมีเจตจำนงของตัวเอง กลายเป็นอีกตัวตนหนึ่ง แปรเปลี่ยนเป็นไอหมอก แผ่ซ่านไปยังผิวกายอย่างรวดเร็ว
หมอกสีขาวทะลักออกมาไม่หยุด แผ่ซ่านออกมาอย่างต่อเนื่องจากขนทั่วร่างสวี่ชิง จากเจ็ดทวารของเขา จากทุกตำแหน่งของร่างกาย พุ่งตรงไปยังมือขวาของรัฐทายาท
ในขั้นตอนนี้ ร่างของสวี่ชิงเริ่มเหี่ยวแห้ง ผมเริ่มแห้งกรอบ ความอ่อนแรงเป็นระลอกๆ เกิดขึ้นทั่วร่างของเขา รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งหลังจากนั้นครู่หนึ่ง กลุ่มหมอกสีขาวกลุ่มหนึ่ง รวมอยู่ที่มือขวาของรัฐทายาท เขาวางมือลงไป
ร่างสวี่ชิงโซเซ ถอยหลังไปหลายก้าว หอบหายใจฮัก เขาในเสี้ยวขณะนี้ดูจากภายนอกไม่เหมือนอายุยี่สิบอีกต่อไป เหมือนกับคนแก่ใกล้ลงโลงมากกว่า
ผมของเขาร่วงไปกว่าครึ่ง ที่เหลือเหล่านั้นล้วนเป็นสีเทาขาว ร่างของเขาผอมแห้งราวฟืน แม้แต่พลังบำเพ็ญก็อ่อนแอลงเช่นกัน กระทั่งว่าฟันก็โยกหมดแล้ว
ดวงตาทั้งสองของเขาหมองหม่นเป็นที่สุด นั่นเกิดจากพลังชีวิตถูกดึงออกไปถึงเก้าส่วน
ความว่างเปล่ากลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นในประสาทสัมผัสรับรู้ของสวี่ชิง แปรเปลี่ยนเป็นความเย็นเยียบ จากนั้นก็เกิดความรู้สึกหิวโหยขึ้นมา
แต่ความรู้สึกนี้สวี่ชิงรู้สึกว่ายังไม่พอ
ดังนั้นเขามองรัฐทายาทพลางเอ่ยเสียงแหบแห้ง
“ผู้อาวุโส ข้ารู้ว่าท่านมีจุดประสงค์ของตัวเอง และรู้ดีว่าท่านหวังให้พลังพระจันทร์สีม่วงของข้าแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ข้ากระทั่งเดาได้ว่านี่เกี่ยวพันกับการช่วยเหลือพี่น้องเหล่านั้นของท่าน”
รัฐทายาทได้ยินก็ไม่ปกปิด เอ่ยเสียงต่ำทุ่มออกไป
“สวี่ชิง ข้ามีจุดประสงค์ของตัวเองจริงๆ ข้าหวังให้พลังพระจันทร์สีม่วงของเจ้าเติบโตขึ้นอีกนิด แข็งแกร่งขึ้นอีกนิด ให้เจ้าควบคุมได้อย่างแท้จริง…”
“เช่นนั้น โปรดลงมือต่อเถิดขอรับ เพราะข้าก็อย่างควบคุมพลังสีม่วงเช่นกัน ข้ายิ่งอยากเห็นหน้าตาที่แท้จริงของโลกใบนี้” สวี่ชิงเสียงอ่อนแรง ยิ้มพลางเอ่ย
รัฐทายาทเงียบนิ่ง ครู่หนึ่งมือซ้ายก็ประสานปางมือชี้ไป ทันใดนั้นตราผนึกระดับเตรียมสู่เทวะตราหนึ่งก็ประทับลงบนร่างสวี่ชิงทันที
“ช่วงชิงพลังชีวิตของเจ้า ให้ชีวิตของเจ้าเป็นโพรงว่างเปล่า
“ช่วงชิงพลังบำเพ็ญของเจ้า ให้พลังวิญญาณของเจ้าแห้งเหือด
“ช่วงชิงการฟื้นฟูของเจ้า ให้เจ้าไม่อาจพลิกฟื้นตัวเองได้
“สุดท้าย ช่วงชิงความเป็นไปได้ที่เจ้าจะมีชีวิต ให้เจ้าไม่อาจเคลื่อนไหว ไม่อาจต่อต้าน ทำได้เพียงรอคอยการมาเยือนของความตาย”
ในสมองสวี่ชิงมีสายฟ้าฟาดผ่า เสี้ยวขณะนี้ขาวโพลนไปหมด เขาไม่รู้ว่าเมื่อไรที่ร่างกายยืนโงนเงน ล้มลงนอนอยู่กลางทะเลทรายอย่างแรง
รัฐทายาทถอนหายใจ มองสวี่ชิงอย่างลึกซึ้ง หันหลังเดินไปยังท้องฟ้า ทีละก้าวๆ ค่อยๆ จากไปไกล
เหลือเพียงทะเลทรายที่เงียบสงัดแห่งนี้ เหลือเพียงเงาร่างโดดเดี่ยวที่นอนอยู่ตรงนั้น
สวี่ชิงชอบความเงียบสงบ เพราะความเงียบมีผลดีต่อการคิด เขาชอบการขบคิด
เพียงแต่เขาในเสี้ยวขณะนี้ อยู่ในฟ้าดินที่เงียบสงัดแห่งนี้แม้แต่ความสามารถในการคิดก็ไม่ค่อยมีแล้ว เขาสัมผัสได้ถึงความอ่อนแอจนถึงขีดสูงสุด นิ้วก็ไม่อาจขยับได้
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังสัมผัสได้ถึงความหนาวเหน็บที่เขาเกลียดเป็นที่สุดอีกด้วย
“นานเหลือเกิน…นานมากแล้ว…” สวี่ชิงพึมพำอย่างอ่อนแรง เขาไม่ได้สัมผัสกับความเย็นเยือกในตอนเด็กแบบนั้นมานานมากแล้ว
ความหนาวเหน็บของร่างกายโจมตีวิญญาณ ความเย็นเยียบจากภายในสู่ภายนอก ทำให้ร่างของเขาควบคุมอาการสั่นสะท้านไม่ได้
สติค่อนข้างรางเลือน
ท่ามกลางความรางเลือน สวี่ชิงเหมือนเห็นภาพมากมาย ในภาพมีเด็กหนุ่มสกปรกมอมแมมคนหนึ่งคลานออกมาจากในกองศพมากมายนับไม่ถ้วน เคลื่อนไปข้างหน้าดิ้นรนอย่างยากลำบาก เพื่อที่จะมีชีวิตต่อไปเท่านั้น
“ความจริงความรู้สึกแบบนี้ ตอนที่ข้าเป็นเด็ก…ก็เคยสัมผัสแล้ว อีกทั้งยังไม่ใช่แค่ครั้งเดียวด้วย”
สวี่ชิงพึมพำ
ความตายแค่เอื้อมจากความหิวโหยนับครั้งไม่ถ้วน ความสิ้นหวังในใจอันเย็นเยียบไม่รู้ต่อกี่หน
เขาเพื่อที่จะมีชีวิตต่อไป แต่ก่อนอะไรก็กินมาแล้วทั้งนั้น เปลือกไม้เป็นของที่หรูหรามากแล้ว หิวจนสุดขีด ดินก็สามารถใช้ประทังหิวได้
“ดังนั้น ความจริงรัฐทายาทผิดแล้ว เขาควรให้ข้ามีแรงสักหน่อย เช่นนั้นถึงจะทำให้สัมผัสความหิวในระดับลึกลงไปได้”
สวี่ชิงยิ้มอย่างฝืนๆ ยกแขนแห้งเหี่ยวของตัวเองอย่างสั่นเทา พยายามเอามันไปไว้ข้างหน้าตัวเอง แตะไว้ที่ริมฝีปาก
ในดวงตาของเขาฉายความบ้าคลั่งออกมาช้าๆ ลูกตาค่อยๆ มีเส้นเลือดปรากฏขึ้น หน้าผากเส้นเลือดปูดโปน รวบรวมพลังทั้งหมดในตอนนี้แล้วพลันอ้าปากกว้าง ให้แรงทั้งหมดกัดไปที่แขนของตัวเอง
เลือดไหลมาตามริมฝีปากและฟันของสวี่ชิง ไหลมาเป็นสายๆ แต่ยังไม่ทันจะหยด ในขณะที่เขาสูดลมหายใจก็กลืนกินมันลงไปไม่เหลือสักหยด
สิ่งที่เขากลืนลงไปพร้อมกันยังมีเลือดเนื้อก้อนหนึ่งบนแขนที่เขากัดมันออกมา
ไม่ต้องเคี้ยวเท่าไร ลูกกระเดือกสวี่ชิงขยับ กลืนมันลงไปอย่างโหดเหี้ยม
จากเลือดเนื้อที่ไหลอยู่ในหลอดอาหาร ลงไปสู่กระเพาะ แรงกดอัดมหาศาลและน้ำย่อย ประดุจผืนแผ่นดินที่แห้งผากมีน้ำค้างประพร่างพรม โหมทะลักมา
สวี่ชิงเลือดเต็มปาก สัมผัสได้ถึงการบีบของกระเพาะตัวเอง ความรู้สึกที่คุ้นเคยนี้ทำให้เขาหัวเราะขึ้นมา
“นี่สิถึงจะถูก อยากจะหิว อย่างน้อยก็ต้องมีแรงสักหน่อยถึงจะได้”
เพียงแต่เสียงหัวเราะนี้ค่อนข้างน่ากลัว อีกทั้งหัวเราะๆ ไป ดวงตาของสวี่ชิงก็ยิ่งแดงก่ำ ลมหายใจของเขาหอบถี่ จากแรงที่ฟื้นฟูกลับมาเล็กน้อย ความรู้สึกหนาวเหน็บและความว่างเปล่าเกิดจากความหิว ก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
ร่างของสวี่ชิงสั่นสะท้าน สีเลือดในดวงตายิ่งเข้มข้นขึ้น เขารู้สึกว่าตัวเองในตอนนี้เหมือนในร่างมีโพรงขนาดใหญ่ไร้จุดสิ้นสุดโพรงหนึ่ง แรงดูดที่แผ่มาจากในนั้นทำให้โลกข้างหน้าเขาบิดม้วน
แต่ว่า สำหรับเรื่องนี้สวี่ชิงมีประสบการณ์โชกโชน
เขามองท้องฟ้า พลันสบถด่าขึ้นมา
“ไอ้เสี้ยวหน้าลูกสุนัขเลี้ยง!”
ตอนที่เขาเด็กๆ ทุกครั้งที่หิวจนถึงระดับนี้ล้วนด่าออกไปแบบนี้ ตอนนี้เองก็เช่นกัน
ด่าไปๆ ความคิดของสวี่ชิงก็กลับมาช้าๆ เล็กน้อย ความบ้าคลั่งในใจถูกเขาควบคุมลงไป
‘ความหิวที่ควบคุมได้แบบนี้เห็นได้ชัดว่าไม่พอ
‘นี่คือความหิวของร่างกาย ไม่ใช่ความหิวของเทพเจ้าที่รัฐทายาทพูด
‘และความรู้สึกหิว ข้ายังเคยสัมผัสในแบบอื่นด้วย’
สวี่ชิงนึกถึงเรื่องผู้บำเพ็ญตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดที่ตนกลืนกินในตอนนั้น เขาในตอนนั้นในใจเกิดความวู่วามอย่างรุนแรง เหมือนเสพติด คิดอยากจะกลืนกินให้มากกว่านี้ ความรู้สึกแบบนั้น เขายังจำมันได้จนวันนี้
“ข้าในตอนนั้นแม้จะควบคุมได้เหมือนกัน แต่หากกลืนกินต่อไป บางทีก็อาจจะควบคุมไม่ได้…
“แล้วก็มีตอนนั้นในแดนต้องห้ามเซียน ความหิวของจางซืออวิ้น ร่างแยกของชื่อหมู่!
“ความหิวของเขาไม่เหมือนกับของข้า”
สวี่ชิงพึมพำ
“เช่นนั้น หากข้าไม่ควบคุมเล่า”
สวี่ชิงเงียบนิ่ง หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ล้มเลิกการควบคุม เงยหน้าไปตามสัญชาตญาณ ลมหายใจหอบถี่ ความรู้สึกหิวสะกดความเป็นเหตุเป็นผล แทนที่ทุกสิ่ง
เขาพลันอ้าปาก กัดลงไปบนแขนอีกครั้ง เหมือนว่านั่นไม่ใช่เลือดเนื้อของตัวเอง
คำแล้วคำเล่า ใช้แรงฉีกทึ้ง ความเป็นเหตุเป็นผลค่อยๆ สูญเสียไป สัญชาตญาณของชีวิตค่อยๆ ขับเคลื่อนทุกอย่าง
เขาในตอนนี้ราวกับสัตว์ป่า!
กระทั่งว่าขณะที่เลือดสดๆ สาดกระจาย มีจำนวนหนึ่งที่หยดลงบนทราย สวี่ชิงร่างลงไปคลานไปตามสัญชาตญาณ กลืนกินเม็ดทรายที่อาบย้อมไปด้วยเลือดอย่างละโมบ
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น ความรู้สึกหิวแบบนั้นก็ยังไม่อาจลดไปได้เลยแม้แต่น้อย
“หิว…หิว…”
สวี่ชิงสั่นสะท้าน ใช้แรงคลานไปข้างหน้า เขาอยากกินให้มากกว่านี้
เพียงแต่รอบๆ ร้างกันดาร สัตว์ร้ายไม่มีแม้เพียงครึ่งตัว หลังจากคลานไปหลายจั้งสวี่ชิงก็นอนอยู่ตรงนั้น ถูกความมืดมิดกัดกิน ถูกความบ้าคลั่งโถมทับ
ในยามที่ความอ่อนแรงและความตายยิ่งแผ่ลามไปทั่วร่างกายอย่างรุนแรง สมองสวี่ชิงก็ได้สติมาในทันใด
“รัฐทายาทบอกว่านั่นเป็นการทับซ้อนของความเป็นมนุษย์และความเป็นเทพ…
“ส่วนข้าในตอนนี้คือความเป็นเดรัจฉาน
“ยังมีสติได้ นั่นบ่งบอกว่านี่เป็นการผสานกันระหว่างความเป็นคนและความเป็นเดรัจฉาน ซึ่งก็หมายความว่าวิธีของข้าไม่ถูกต้อง
“เช่นนั้นอะไรคือความเป็นคน และอะไรคือความเป็นเทพ”
สวี่ชิงพึมพำอย่างอ่อนแรง
เวลาไหลผ่าน สามวันผ่านไป
ในยามที่สวี่ชิงสัมผัสกับความหิวโหยประเภทนี้ในทะเลทรายคราม เนื่องจากแสงของพระจันทร์สีชาดปรากฏที่ปลายขอบฟ้า เผ่าพันธุ์และสรรพชีวิตทั้งหลายทั้งแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ล้วนตกอยู่ในความสิ้นหวัง
และความปั่นป่วนวุ่นวายก็คือสิ่งที่มาพร้อมกับความสิ้นหวัง
ทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา เริ่มปั่นป่วนวุ่นวาย ความบ้าคลั่งกลายเป็นท่วงทำนองหลัก
ในเมื่อชะตาชีวิตสุดท้ายแล้วคือความตายอย่างแน่นอน เช่นนั้นในช่วงสุดท้ายของชีวิตนี้ เรื่องอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
เผ่าฆ่าหยามหมิ่น ข่มขืนช่วงชิง ทุกที่ในแผ่นดินใหญ่แห่งนี้ล้วนเห็นได้ทั้งนั้น
เป็นไปหมดทุกหนแห่ง
ความชั่วร้ายในกมลสันดานของชีวิต ในเสี้ยวขณะนี้แสดงออกมาได้อย่างสุดซึ้ง ถูกระบายออกมาอย่างเหิมเกริม ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างจงใจ
ไม่มีการควบคุมทุกอย่างอีกต่อไป การยับยั้งชั่งใจทุกอย่างกลายเป็นเถ้าถ่าน
เสียงโหยหวนและความเจ็บปวดกลายเป็นพายุ พัดกวาดทุกสิ่ง ทุกที่ที่พาดผ่าน…
ความเป็นมนุษย์กำลังพังทลาย
ความดีกำลังสลายไป
ความเป็นเดรัจฉานกำลังแผ่ลาม
ความบ้าคลั่งกำลังปะทุ
ผู้บำเพ็ญในทะเลทรายครามก็เป็นเช่นนี้เช่นกัน