ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 620 ความลับของเทพเจ้า! [ภาคที่ 6 น้ำค้างหนาว]
บทที่ 620 ความลับของเทพเจ้า! [ภาคที่ 6 น้ำค้างหนาว]
ทะเลทรายคราม นอกจากคืนนั้นที่พระจันทร์สีชาดปรากฏขึ้นครั้งแรกจะไม่มีลม ในวันถัดมาสายลมก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ตอนแรกอ่อนแรงอยู่บ้าง จนถึงตอนนี้สามวันผ่านไป ลมหมุนสีครามพัดกรวดทรายสีครามหวีดหวิวเต็มท้องฟ้า ผลักภูเขาทรายให้เคลื่อนไหวต่อเนื่อง ทำให้ทะเลทรายกลายเป็นดั่งมหาสมุทรที่บ้าคลั่ง
เสียงอื้ออึง ราวกับเป็นเสียงคร่ำครวญของสรรพชีวิตรวมกัน ดังก้องไม่หยุดไปทั้งฟ้าดิน
ร่างกายกว่าครึ่งของสวี่ชิงจมอยู่ในทะเลทรายนี้ โผล่ออกมาเพียงเสี้ยวหนึ่ง ไม่ขยับเขยื้อนราวกับซากศพ
เขาครุ่นคิดอยู่ตลอดว่าความเป็นมนุษย์คืออะไร ความเป็นเทพคืออะไร
ปัญหานี้ลึกซึ้ง สวี่ชิงยากจะขบคิดพิจารณาให้กระจ่างแจ้ง โดยเฉพาะข้อหลัง…
เขาไม่ใช่เทพเจ้า และไม่มีทางใช้ตัวตนมนุษย์ไปทำความเข้าใจความเป็นเทพของเทพเจ้าได้
แต่สวี่ชิงก็มีข้อได้เปรียบ ประสบการณ์ยี่สิบปีสั้นๆ ของเขา เคยเห็นความโหดร้าย ความยากลำบากมามากมาย และเคยเห็นความอัปลักษณ์ของใจมนุษย์ซึ่งไร้ที่สิ้นสุดมาแล้ว
ดังนั้น เขาจึงเข้าใจความเป็นมนุษย์อยู่บ้าง
และในสามวันนี้ เขาก็เอาแต่ย้อนระลึกถึงอดีตของตัวเอง ย้อนระลึกถึงความทรงจำนับตั้งแต่จำความได้ทีละฉาก
มีความละโมบ ความคุ้มคลั่ง กินมนุษย์ด้วยกัน ความโหดเหี้ยม
ในบรรดานี้ก็มีความดีงาม แต่สุดท้ายก็มอดดับไปเหมือนสะเก็ดไฟ
แต่จะอย่างไร เขาก็จดจำพริบตาที่สะเก็ดไฟปรากฏขึ้นมานั้น ความรู้สึกของตนเอง
เช่นความสงบสุขในเมืองเป็นเอกตอนเด็กๆ ภาพความทรงจำของท่านพ่อท่านแม่ ความอบอุ่นที่หัวหน้าเหลยมอบให้เขา ความรู้สึกในใจของตวนมู่ฉาง
และยังมี…ร่างเงาของข่งเลี่ยงซิวเจ้าวังครองกระบี่
มากมายเต็มไปหมด
‘“ความเป็นมนุษย์ มีทั้งดีและชั่ว”
“ความเป็นมนุษย์ยังเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกต่อเรื่องราว ทำให้เกิดความผูกพัน”
สวี่ชิงคิดถึงท่านอาจารย์ คิดถึงนายกอง คิดถึงจื่อเสวียน คิดถึงหลิงเอ๋อร์ คิดถึงร่างเงาแต่ละร่างเงาที่ตนได้รู้จักระหว่างที่เดินทาง
บ้างเป็นคนที่เขาเคียดแค้น บ้างเป็นคนที่เขาซาบซึ้งใจ บางเป็นคนที่เขารังเกียจ บางเป็นคนที่เขาชอบ
‘นับจากตอนแรกที่ข้าอยู่เพียงลำพังมาจนถึงตอนนี้…มีห่วงในใจมากมายอย่างไม่รู้ตัว ความผูกพันก็เช่นกัน ทั้งหมดนี้ประหนึ่งเส้นใยหลายสาย ถักทอเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ผืนหนึ่ง
‘และความเป็นมนุษย์ ก็คือต้นกำเนิดของตาข่ายนี้ส่งผลกับความรู้สึกของข้า’
สวี่ชิงลืมตาขึ้น มองท้องฟ้า สัมผัสเสียงโศกเศร้าอาดูรในสายลมที่ราวกับเป็นเสียงร่ำไห้ของสรรพชีวิต
“อันที่จริงความเป็นมนุษย์ ยังรวมไปถึงความปรารถนาที่จะถือกำเนิดรวมถึงการหวาดกลัวที่จะดับดิ้น
“เช่น ความปรารถนาของข้าตั้งแต่เด็กคือมีชีวิตต่อไป
“กระทั่งคลื่นอารมณ์ทั้งหมดรวมถึงลักษณะในการทำสิ่งใด อันที่จริงก็ล้วนเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นมนุษย์อย่างหนึ่ง
“เช่นตอนที่ข้าอยู่ที่เมืองเป็นเอก ในใจไม่มีเจตนาสังหาร ข้าไม่ได้คิดว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ไม่สนใจว่าเติบโตขึ้นแล้วจะเป็นอย่างไร แต่หลังจากผ่านเรื่องต่างๆ มา ข้าก็เปลี่ยนไปแล้ว”
สวี่ชิงพึมพำ ความทรงจำเช่นนี้ทำให้เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ เขาวิเคราะห์ตัวเองอยู่ตลอด และอดีตที่ผุดขึ้นมา ยังทำให้เขาเข้าใจความเป็นมนุษย์มากขึ้น ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
‘หนึ่งในความแตกต่างของความเป็นมนุษย์กับความเป็นเดรัจฉาน คือการยับยั้งชั่งใจ’
สวี่ชิงก้มหน้ามองแขนซ้ายที่เปลือยเปล่าของตน นึกถึงภาพที่ตนคุ้มคลั่งก่อนหน้านี้ เขารู้สึกว่าต้นกำเนิดการยับยั้งชั่งใจ คือการควบคุมตนเอง และต้นกำเนิดของการควบคุมนั้นมาจากอะไร
สวี่ชิงครุ่นคิด
‘มาจากข้อจำกัดทางศีลธรรมในความรู้ความเข้าใจของข้า ส่วนนี้ คือคุณลักษณะที่มนุษย์ทุกคนควรมี
‘ดังนั้น ความเป็นมนุษย์มีระเบียบชัดเจน แต่ความเป็นเดรัจฉานนั้นตรงกันข้าม มันคือความวุ่นวายไร้ระเบียบ พึ่งแต่สัญชาตญาณกระทำการต่างๆ นี่คืออสูรร้ายที่ถูกกลิ่นอายเทพเจ้ารุกรานในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์’
สวี่ชิงตระหนักขึ้นมา
‘แล้วความเป็นเทพล่ะ’
สวี่ชิงเงียบนิ่ง เขายังไม่เข้าใจ แต่เขารู้ว่าร่างกายนี้ของตนเป็นร่างกายของเทพเจ้า เขายังรู้ว่าพิษต้องห้ามของตนมาจากแผ่นดินเทวะ พระจันทร์ม่วงของตนก็มีต้นกำเนิดจากเทพเจ้าเช่นกัน
‘เช่นนั้นการแผ่พลังพระจันทร์สีม่วงให้ปกคลุมทั้งร่างข้า อันที่จริงก็อาจจะมีความเป็นเทพอยู่ในระดับหนึ่ง เพียงแต่…ข้าตระหนักถึงไม่ได้ หรือบางที มันอาจจะไม่แสดงออกมาชัดเจน เพราะว่าข้าคือมนุษย์ ไม่ใช่เทพเจ้า
‘สิ่งที่รัฐทายาทต้องการจากข้า คือสัมผัสถึงความรู้สึกหิวโหย เช่นความหิวของชื่อหมู่แบบนั้น
‘เช่นนั้นความหิว คือกุญแจที่จะเปิดสู่ความเป็นเทพหรือ
‘และความหิวของเทพเจ้า เกิดขึ้นได้อย่างไรกัน’
สวี่ชิงสับสน เขาในตอนนี้ สัมผัสถึงความหิวโหยไม่ได้เลย ร่างกายเคยชินจนปรับตัวเข้ากับความอ่อนแอไปแล้ว ความตายกำลังใกล้เข้ามา
ผ่านไปครู่หนึ่ง สวี่ชิงถอนหายใจแผ่วเบา
เขายังหาคำตอบไม่ได้ แต่เขาไม่อยากนอนอยู่ที่นี่ต่อไป จึงกระเสือกกระสนผุดลุกขึ้นนั่งบนทราย
เพราะมีอสูรร้ายในทะเลทรายบางตัวปรากฏขึ้นแล้วในที่ไกลๆ และไกลออกไปอีก เขายังเห็นเห็ดยักษ์ที่แผ่เจตนาชั่วร้ายออกมา กำลังเคลื่อนมาหาเขา
กลิ่นอายน่าครั่นคร้าม คลื่นพลังที่น่ากลัวแผ่ออกมาจากเห็ดนั่น ทำให้สวี่ชิงรู้สึกว่า นั่นไม่ใช่ปราณก่อกำเนิด แต่อยู่ในระดับหล่อเลี้ยงมรรคา
ในทะเลทรายคราม เห็ดชนิดนี้เป็นตัวตนที่แปลกประหลาด จำนวนของพวกมันมีไม่มาก รากสามารถสร้างเงาร่างยักษ์ขึ้นมาได้ ไม่ค่อยมีใครไปหาเรื่องมันนัก
จุดนี้ สวี่ชิงสัมผัสได้ตั้งแต่มาถึงทะเลทรายผืนนี้แล้ว
แต่ตอนนี้ เขาก็แค่ลุกขึ้นมาเท่านั้น ใช้พลังกายที่มีอยู่ไม่มากแต่เดิม และจากการลุกขึ้นนั่ง ทรายด้านหลังเขาก็ยุบลงไป ทรายที่อยู่รอบๆ ก็ไหลมาถมช้าๆ จนเต็ม
สวี่ชิงชะงักไป หันหน้ามองหลุมที่ถูกถมเติมจนเต็ม สมองเขาตอนนี้เกิดเสียงอื้ออึง ราวกับมีสายฟ้าฟาดผ่าเป็นทางๆ ทำให้เขาลืมอันตรายรอบด้าน มองข้ามทุกสรรพสิ่ง ในสายตามีเพียงหลุมทรายที่ถูกถมจนเต็ม
‘ถูกถมจนเต็มแล้ว…
‘ตอนที่ข้านอนอยู่ตรงนั้น ร่างกายเป็นส่วนหนึ่งของหลุมทราย หลังจากที่ข้าลุกขึ้นที่นั่นก็ขาดหายไปส่วนหนึ่ง ดังนั้น…ทรายจึงไหลมา เติมเต็มตรงนั้นให้เหมือนเดิม
‘เช่นนั้น หากเปรียบหลุมทรายนี้เป็นตัวข้า ทรายแต่เดิมคือความเป็นมนุษย์…ทรายที่โถมเข้าไปตอนหลังเปรียบคือความเป็นเทพ… ‘
สวี่ชิงสะกิดใจ หายใจหอบถี่เล็กน้อย เขาเหมือนจะจับจุดสำคัญได้รางๆ ขณะที่กำลังครุ่นคิด พริบตาต่อมาหางแมงป่องขนาดยักษ์หางหนึ่งก็ทะลวงออกมาจากทรายข้างๆ เขาอย่างรวดเร็ว แทงมาที่ร่างสวี่ชิง
เมื่อสะบัด ร่างของสวี่ชิงก็ล่องลอยเหมือนว่าวสายป่านขาด กระเด็นไปไกลๆ ร่วงเสียงดังตูม
พริบตานั้น แมงป่องทรายสามตัวก็พุ่งไปยังจุดที่เขาร่วงลงมา ประชิดอย่างรวดเร็ว เริ่มฉีกทึ้ง
สวี่ชิงไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ แม้เขาจะร่างกายอ่อนแอ แต่ก็ยังมีความทนทาน ไม่ใช่สิ่งที่แมงป่องพวกนี้จะฉีกทึ้งได้ในพริบตา แม้ความเจ็บปวดจะยังถาโถมมา แต่ความคิดของสวี่ชิงตอนนี้ต่างหากที่เป็นเรื่องสำคัญที่สุด
เขายอมให้แมงป่องพวกนั้นฉีกทึ้ง หลับตาลงแล้วขบคิดเรื่องก่อนหน้านี้ของตนต่อ
‘ลบความเป็นมนุษย์ของตนออกไป ไม่ใช้ความเป็นมนุษย์ควบคุมความเป็นเดรัจฉาน จากนั้นเติมความเป็นเทพเข้าไป ใช้ความเป็นเทพส่งผลกับความเป็นเดรัจฉาน!’
จิตใจสวี่ชิงครืนครัน
เขาเข้าใจแล้ว
‘ข้าไม่ต้องเข้าใจว่าอะไรคือความเป็นเทพ ที่ข้าต้องทำคือหลังจากที่ผสานความเป็นเทพเข้าไปต้องสัมผัสรับรู้ ใช้ครรลองสายตาเทพเจ้าทำความเข้าใจ
‘ตอนนั้น ข้าอาจไม่ต้องไปควบคุมความเป็นเดรัจฉานของตัวเอง เพราะมันไม่จำเป็นต้องควบคุม เดิมมันก็ฟังคำสั่งข้าอยู่แล้ว
‘ดังนั้น ที่รัฐทายาทบอกข้า หากคิดจะทำให้ถึงจุดนี้ได้ ต้องใช้ความเป็นมนุษย์ซ้อนทับกับความเป็นเทพ นี่เป็นการผสานและการสิงร่างรูปแบบหนึ่ง!
‘แต่ ทำไมความหิวถึงปรากฏออกมาเล่า’
สวี่ชิงเข้าใจคำตอบบางส่วน แต่ยังมีบางปัญหาที่ไม่เข้าใจ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ตอนนี้เขาต้องเผชิญหน้ากับการเลือก
ว่าจะลองดูหรือไม่
ครู่ต่อมา สวี่ชิงนึกถึงการชี้แนะของรัฐทายาทในตอนแรก ที่เอ่ยถึงน้ำชา
จากนั้นเขาก็นึกถึงการทดลองร่างวิหคทอง รวมถึงความเข้าใจใบไม้ที่รัฐทายาทหยิบมาจากเจ้าต้นอ่อนน้อย
‘ชากับน้ำสามารถผสานกันได้ แต่ก็สามารถแยกกันได้เช่นกัน ส่วนใบไม้พอหลุดออกจากเจ้าต้นอ่อนน้อย ก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าต้นอ่อนน้อยอยู่เช่นกัน ต้นกำเนิดเดียวกัน
‘ดังนั้น ต่อให้ทดลอง ก็ไม่ใช่ว่าจะย้อนกลับไม่ได้’
สวี่ชิงเงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาฉายแววแน่วแน่ เพราะเขารู้ว่าตนนอกจากจะยอมทิ้งพลังพระจันทร์สีม่วง ไม่เช่นนั้น เส้นทางของเขาก็จะมีเพียงเส้นทางนี้
‘ส่วนเรื่องจะลบความเป็นมนุษย์อย่างไร…’
สวี่ชิงหลับตาทั้งสองลง วิธีลบความเป็นมนุษย์ ก็คือการไม่ควบคุมสัญชาตญาณของตัวเองอีกต่อไป
เขาจึงเริ่มค่อยๆ ปรับสภาพ
ครู่ต่อมา ลมหายใจของสวี่ชิงค่อยๆ หอบถี่ ร่างกายของเขาค่อยๆ สั่นสะท้าน ผ่านไปพักหนึ่ง ดวงตาของเขาก็พลันเบิกกว้างขึ้น เผยความคุ้มคลั่งราวกับสัตว์ป่าจากด้านในออกมา
เขาไม่ควบคุมสัญชาตญาณ ไม่ควบคุมพฤติกรรมของตนเองอีกต่อไป ไม่ขบคิดเรื่องศีลธรรม ดีชั่ว หรือศักดิ์ศรีของตัวเองอีก
ยิ่งไม่คิดถึงความทรงจำ ไม่สนใจความรู้สึก
ปลดปล่อย ปลดปล่อย ปลดปล่อยสัญชาตญาณออกมาไม่หยุด
ตูม!
พริบตาต่อมา สวี่ชิงส่งเสียงคำรามต่ำเหมือนสัตว์ป่า ดวงตาของเขาแดงก่ำ ก้มศีรษะมองแมงป่องที่กำลังฉีกทึ้งตนเอง
น้ำลายของเขาไหลออกมาจากมุมปากอย่างควบคุมไม่อยู่ ความหิวกระหายที่มาจากร่างกายตนตอนนี้ระเบิดออกมาอย่างไม่รู้จบ
เขาไม่รู้ว่าเอาพละกำลังมาจากไหน คว้าแมงป่องมากัดกระชากอย่างคุ้มคลั่ง
ทรายลอยฟุ้ง เสียงครืนครันสะท้อนก้อง
เสียงคำรามกับเสียงกรีดร้องดังผสานกันต่อเนื่อง ผ่านไปหนึ่งก้านธูป ร่างเงาหนึ่งก็เดินหวีดหวิวออกมาจากด้านใน
สวี่ชิงนั่นเอง
เพียงแต่เขาในเสี้ยวขณะนี้ ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง หายใจหอบถี่ เลือดสดอาบย้อมไปตามตัวและหน้า แขนซ้ายที่เขากัดก่อนหน้านี้ ขาดหายไปจนหมดแล้ว
เขาไม่ไปขบคิดแต่อย่างใด เพียงมีสัญชาตญาณอยู่ เขาอยากจะกิน ก็จะกินทั้งหมด
ความหิวของสัญชาตญาณทำให้เขาอยู่ในสภาวะคุ้มคลั่ง เขาอยากจะกลืนกิน ไม่ได้ปรารถนาเพียงเลือดเนื้อ ทั้งยังอยู่ในระดับที่รุนแรงยิ่ง
เขาไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร ความรู้สึกของเขาคือร่างกายมีช่องว่างอยู่นับไม่ถ้วน สสารอย่างหนึ่งที่สำคัญอย่างมากกับตนกำลังหลบเร้น
และจากการหลบเร้น ความรู้สึกหิวก็ยิ่งรุนแรง มาจากร่างกาย มาจากดวงวิญญาณ
ขณะเดียวกัน ร่างกายเขาก็มีแสงสีม่วงกะพริบวูบออกมา!
นี่คือพลังของพระจันทร์สีม่วง!
มันโหมระลอกคลื่นขึ้นมาพร้อมกับสวี่ชิงที่มีแสงกะพริบวูบวาบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในเสี้ยวขณะนี้ แน่นแฟ้นกันอย่างยิ่ง ผสานกันไม่รู้จบ
รอบด้านบิดเบี้ยว ฟ้าดินเลือนราง พลังแห่งเทพเจ้าครืนครัน ระเบิดออกมาจากร่างสวี่ชิง
ทรายสั่นสะเทือน ลมสีครามก็หยุดชะงัก พัดม้วนออกไปเหมือนไม่กล้าเข้าใกล้
เสียงโหยหวนดังออกมาจากปากของสวี่ชิง เขาวิ่งทะยานอย่างบ้าคลั่งตรงไปที่เห็ดไกลๆ เข้าประชิดในพริบตา
เดิมยามที่ตัวเขาร่างกายซึ่งพร้อมที่สุดยังต้องใช้พลังเวทมหาศาลถึงจะสร้างบาดแผลให้ผิวเห็ดได้ เวลานี้เพียงโบกมือ ผิวของเห็ดนั่นก็ฉีกขาด
ขณะที่เสียงกรีดร้องดังก้อง สวี่ชิงมุดเข้าไป อ้าปากแล้วกัดกินทันที
แขนขวาที่เหลืออยู่ก็โบกมือไม่หยุด คว้าเลือดเนื้อยัดเข้าปากอย่างเอาเป็นเอาตายทีละชิ้น
“หิว…หิว…”
ส่วนเห็ดก็ต้านทานรุนแรงมากเช่นกัน รยางค์จำนวนมากลอยไหวออกมาจากทราย สอดประสานกันเป็นโครงร่างของยักษ์ บดขยี้มาทางสวี่ชิง
ด้วยกลิ่นอายของมัน ระดับปราณก่อกำเนิดล้วนแหลกสลาย ต่อให้เป็นสวี่ชิงก่อนหน้านี้ก็ต้องทุ่มกำลังทั้งหมดเข้าต้านทาน
ทว่าตอนนี้…รยางค์ซึ่งแฝงพลังบดขยี้ไว้เหล่านี้เพิ่งเข้าใกล้สวี่ชิง กลับแตกสลายไปเอง
ทำอะไรสวี่ชิงไม่ได้แม้แต่น้อย
คลื่นอารมณ์ที่น่าครั่นคร้ามแผ่ออกมาจากเห็ด เสียงโหยหวนทรมานกลายเป็นการคร่ำครวญของชีวิต แต่สวี่ชิงก็ยังคงกลืนกินคำแล้วคำเล่า
ท้องของเขาป่องขึ้น แต่ความรู้สึกหิวกลับไม่ได้ลดน้อยลง ซ้ำยังยิ่งน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม
ถึงตอนสุดท้าย ราวกับช่องว่างทั้งหมดในร่างกายผสานรวมกัน กลายเป็นหลุมดำขนาดยักษ์ไร้ที่สิ้นสุดหลุมหนึ่ง กลืนกินเขาอยู่ภายใน
ความเป็นเทพที่มาจากพระจันทร์สีม่วง ก็ยิ่งกะพริบวูบแรงกว่าเดิมในพริบตานี้
เจตจำนงสีม่วงแผ่ไปรอบด้าน ปกคลุมฟ้าดิน
ต้นกำเนิดเทพ ปะทุขึ้นมา
และการเคลื่อนไหวของสวี่ชิงในตอนนี้ก็ค่อยๆ หยุดลง เขาที่อยู่ในสภาวะคุ้มคลั่ง ดวงตาสองข้างที่แดงก่ำฉายแววสุขุมเยือกเย็น เขาราวกับสัมผัสได้ถึงความเป็นเทพรางๆ
ยากจะพรรณนา ไม่อาจบรรยาย
สวี่ชิงไม่ได้เข้าใจทั้งหมด แต่เสี้ยวขณะนี้ จู่ๆ ก็มีความรู้สึกบางอย่างขึ้นมา
เช่นชื่อหมู่จะมาหรือไม่ ในความคิดของเขาไม่ได้สำคัญแล้ว
ตนเป็นใคร ก็ไม่สำคัญแล้วเช่นกัน
ความรู้สึก อดีต ดีชั่ว บาปบุญ ทุกคน ทุกเรื่องราว เขาล้วนจดจำได้ แต่ในตอนนี้ ทุกสิ่งไม่สำคัญอีกแล้ว
มุมมองต่อเรื่องราวของเขา ความเข้าใจในสรรพสิ่งของเขาแตกต่างไปจากเมื่อก่อน
‘ดังนั้น ที่รัฐทายาทกล่าว พริบตาที่สำเร็จเขาก็ไม่รู้ว่าข้าจะยังเป็นข้าอยู่หรือไม่…
‘เพราะ พริบตาที่ความเป็นเทพแทนที่ความเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์ เรื่องราวและคนที่สำคัญอย่างมากสำหรับข้า ในวินาทีนี้จะไม่คู่ควรให้เอ่ยถึงอีกต่อไป’
สวี่ชิงคิดอย่างไม่ใส่ใจนัก และปัญหานี้เขาก็ขบคิดเพียงเล็กน้อย ก็รู้สึกว่าไม่มีความหมาย
สำหรับเขาแล้ว การขบคิดเรื่องนี้ก็ไม่ได้สลักสำคัญเช่นกัน
ส่วนความเน่าเปื่อยที่เห็นปกคลุมอยู่เบื้องหน้า สายลมที่พัดให้คนแก่เฒ่า ภาพมายาที่โหดเหี้ยมเป็นกลุ่มๆ ระหว่างฟ้าดิน โลกที่บนพื้นปกคลุมด้วยโครงกระดูกและแมลงกินเนื้อ ก็ไม่สำคัญเช่นกัน
ต่อให้เสี้ยวหน้าเลือนรางบนท้องฟ้าเปลี่ยนท่าทางไปแล้ว องค์ท่านลืมตาขึ้น มองลงมาที่พื้นดิน ราวกับไม่เคยหลับตามาก่อน
นั่นก็ไม่สำคัญเช่นกัน
ที่สำคัญคือ สวี่ชิงหิวมาก หิวอย่างยิ่ง
กว้างไกลไร้ขอบเขต ไร้จุดเริ่มต้นไร้จุดสิ้นสุด
ต้นกำเนิดความหิวโหยนี้ สวี่ชิงเข้าใจแล้ว
นั่นเป็นสัญชาตญาณอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งไล่ตามวิวัฒนาการของชีวิต
นั่นก็เหมือนกับการบอกลาและอาลัยอาวรณ์ต่ออดีต
หลังจากที่ความเป็นมนุษย์หายไปรวมถึงการผสานเข้ากับความเป็นเทพ เนื่องจากความเป็นมนุษย์ยังหายไป ดังนั้นจึงกลายเป็นหลุมดำที่แปรมาจากความไม่สมบูรณ์
‘หากอยากจะคลายความหิวนี้ มีเพียงทำให้ตัวเองเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์แบบเท่านั้น ขณะเดียวกันก็ต้องลบความเป็นมนุษย์ออกไปให้หมด
‘ข้ายังทำไม่ได้อย่างสมบูรณ์ และชื่อหมู่ก็ยังทำไม่ได้ จักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลก็ไม่เคยทำสำเร็จ นายกองก็เป็นเช่นกัน…ดังนั้น เหล่าองค์ท่านจึงหิว’
สวี่ชิงคิดอย่างไม่ใส่ใจกับเรื่องไม่สำคัญที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องขบคิด ดังนั้นไม่นานนัก เขาก็หยุดคิดไป
แต่หลังจากหยุด เขาก็รู้สึกขึ้นมารางๆ ว่ามันสำคัญมาก
ความคิดสองอย่างที่ปะทะกัน ทำให้ในดวงตาเขาฉายแววดิ้นรน ประเดี๋ยวไม่สนใจ ประเดี๋ยวสีสันความเป็นมนุษย์ก็ฟื้นคืน
ขณะที่สับเปลี่ยนไปมาอย่างต่อเนื่อง หน้าผากสวี่ชิงมีเส้นเลือดปูดขึ้นมา ส่งเสียงโอดครวญอย่างเจ็บปวด ความมีชีวิตชีวาในดวงตาหายไปอย่างรวดเร็ว ความคุ้มคลั่งเอ่อล้นออกมาอีกครั้ง สัญชาตญาณที่ไล่ตามความสมบูรณ์แบบ ความเร็วในการลบล้างความเป็นมนุษย์ ปะทุขึ้นมาอีกครั้งอย่างควบคุมไม่อยู่
สวี่ชิง คุ้มคลั่งขึ้นอีกครั้ง แสงสีม่วงท่วมร่าง พุ่งทะยานไปยังที่ไกลๆ ราวกับเทพเจ้าจุติ
ที่นั่น มีอาหาร
และที่ที่เขาจากไป ก็ไม่เหลือเจ้าเห็ดนั่นอยู่อีกแล้ว โดนกินไปจนเกลี้ยง