ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 621 มองไม่เห็นข้า ไม่นึกถึงข้า ลืมข้าไป
บทที่ 621 มองไม่เห็นข้า ไม่นึกถึงข้า ลืมข้าไป
เวลาเคลื่อนคล้อย
ห้าวันผ่านไป
หลังจากที่แสงพระจันทร์สีชาดปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้า จนถึงตอนนี้ก็เป็นวันที่แปดแล้ว
ในวันที่แปดนี้ สุดท้ายสีแดงชาดบนท้องฟ้าก็เปลี่ยนรูปร่างเป็นเหมือนจันทร์เสี้ยว ยิ่งมีเส้นแสงมากขึ้น ความเข้มข้นราวกับเลือดแผ่ซ่านอย่างต่อเนื่อง
หากมองทั้งท้องฟ้าให้เป็นม่านขนาดยักษ์ผืนหนึ่ง เช่นนั้นแค่ไม่กี่วันนี้ สีแดงก็กินพื้นที่ไปแล้วสองถึงสามส่วน
คาดการณ์จากความเร็วนี้ เกรงว่าประมาณหนึ่งปี ทั่วทั้งท้องฟ้าก็จะกลายเป็นสีแดงสดทั้งหมด
นั่นก็คือวันที่พระจันทร์สีชาดมาเยือน และเป็นเวลาระฆังมรณะของสรรพชีวิตทั้งแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราลั่นกังวาน
การนับถอยหลัง เริ่มขึ้นแล้ว
สรรพชีวิตก็ไม่จำเป็นต้องสะกดความบ้าคลั่งในช่วงสุดท้ายชีวิตก่อนตายอีก จึงปลดปล่อยออกมาจนหมด
การสังหาร เปิดฉากอย่างต่อเนื่อง
ระหว่างผู้บำเพ็ญก็เป็นเช่น คนธรรมดาก็เช่นกัน
ผู้แข็งแกร่งรังแกผู้อ่อนแอ ผู้อ่อนแอรังแกผู้ที่อ่อนแอยิ่งกว่า ส่วนผู้ที่อ่อนแอยิ่งกว่าก็ต่อต้านสุดชีวิต เสียงคำรามแผดก้องไม่สนอะไรทั้งสิ้นดังออกมาท่ามกลางความโหดเหี้ยมอำมหิต
การโห่ร้องก่อนตาย ทำให้โลกนี้กลายเป็นนรก ภูตผีปีศาจออกอาละวาด
ทะเลทรายครามก็เช่นกัน
ขั้วอำนาจทั้งหมดในช่วงแปดวันนี้บ้าคลั่งในระดับที่แตกต่างกัน สังหารคน ถูกสังหาร กลายเป็นกฎเกณฑ์ใหม่
แต่ละชนเผ่าพากันพังทลายแตกพ่าย เมืองคนธรรมดาแต่ละแห่งกลายเป็นสถานที่ระบายความสิ้นหวังในใจ
เมืองดินที่ร้านยาสวี่ชิงตั้งอยู่ ก็กลายเป็นเป้าหมายเช่นกัน
ในแปดวันนี้ มีพวกคุ้มคลั่งกว่าร้อย มาพร้อมกับความป่าเถื่อน พวกเขาจะนำความเจ็บปวดของตนมามอบให้คนอื่นอย่างเท่าเทียม
เพียงแต่พวกเขาไม่รู้ว่าทั้งทะเลทรายคราม สถานที่แห่งหนึ่งซึ่งอันตรายยิ่งกว่าตำหนักพระจันทร์สีชาดในที่แห่งนี้ ดังนั้นเหล่าภูตผีปีศาจทั้งหมดที่เข้ามาในเมืองดินนี้ เสี้ยวขณะที่พวกเขาก้าวเข้ามา ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในที่แตกต่างกัน
บ้างก็หายไป
บ้างก็สลายความบ้าคลั่งทั้งหมดออกไป แย้มรอยยิ้มออกมาอีกครั้ง กลายเป็นประชากรในเมืองดินนี้อย่างมีความสุข
ส่วนลานด้านหลังร้านยา รัฐทายาทมีงานอดิเรกเพิ่มมาอีกอย่างหนึ่ง หนิงเหยียนก็มีงานเพิ่มมาอีกอย่างหนึ่งเช่นกัน
นั่นคือการเลี้ยงลูกเจี๊ยบตัวน้อย
ในช่วงแปดวันนี้ ลานด้านหลังมีลูกเจี๊ยบน้อยยี่สิบกว่าตัว พวกมันกินอาหารอย่างตัวสั่นงันงกอยู่ตรงนั้น ไม่กล้าหนี กระทั่งหลายครั้งที่ไปหลบอยู่ตามมุม ดวงตาหวาดกลัวอย่างรุนแรงอย่างยิ่ง
“เฮ้อ พวกเจ้าตาบอดหรือไร หนีมาที่นี่ทำไม อยากกลายเป็นลูกเจี๊ยบขนาดนี้เชียวหรือ” หนิงเหยียนถอนหายใจ โปรยอาหารพลางถอนหายใจ
เขารู้สึกว่าถูพื้นทุกวันนั้นลำบากมาก ตอนนี้ยังมีงานนี้เพิ่มมาอีก จึงไม่ชอบเจ้าลูกเจี๊ยบตัวน้อยพวกนี้อย่างมาก ยามนี้เตะลูกเจี๊ยบตัวหนึ่งจนกระเด็น ซ้ำยังถ่มน้ำลายใส่
เจ้าลูกเจี๊ยบที่ถูกเตะจนปลิว ดวงตาฉายแววโกรธแค้น ส่งเสียงจิ๊บๆ แต่กลับทำอะไรไม่ได้ ต่อให้เป็นปราณก่อกำเนิดขั้นบริบูรณ์ อีกทั้งอาจารย์ยังเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของเทือกเขาทนทุกข์ แต่ตอนนี้เขาเป็นเพียงลูกเจี๊ยบ
เมื่อคิดถึงเรื่องที่ตนประสบพบเจอ ลูกเจี๊ยบตัวน้อยนี้ก็รู้สึกโศกเศร้าระคนโกรธเคือง เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อระบาย แต่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ให้มาตรวจสอบร้านยาลึกลับนี้ ขณะเดียวกันก็สืบหาด้วยว่าหลี่โหยวเฝ่ยอยู่ที่นี่จริงหรือไม่
แต่เขาไม่คิดเลยว่าเพิ่งเข้ามาในเมืองดินแห่งนี้ ก็หมดสติไป รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นลูกเจี๊ยบไปเสียแล้ว
สิ่งนี้ทำให้เขาตื่นกลัวอย่างยิ่ง แต่ในใจเขาตัวตนของอาจารย์เปรียบเสมือนสวรรค์ชั้นฟ้า เขาจึงยังรู้สึกว่า ขอแค่อาจารย์ปรากฏตัว จะต้องมีวิธีช่วยตนออกไปแน่
“หากอาจารย์สังเกตเห็นว่าข้ากลับไปรายงานไม่ตรงตามเวลา จะต้องรู้ว่าเกิดเรื่องไม่คาดฝันกับข้าแน่ แม้ร้านยานี้จะลึกลับ แต่ขอแค่อาจารย์มาเยือน พวกเขาจะต้องตายกันหมด อย่างไรเบื้องหลังของอาจารย์ ก็เป็นถึงตำหนักพระจันทร์สีชาด!
“โดยเฉพาะเจ้าเด็กนี่ ข้าจะฆ่ามันให้ตายคามือ!”
ตอนที่ลูกเจี๊ยบตัวน้อยนี้กัดฟันในใจ หนิงเหยียนก็เตะอีกตัวหนึ่งจนตัวลอย ถอนหายใจออกมา
“ไม่รู้ว่าลูกพี่สวี่ชิงเป็นอย่างไรบ้าง
“วันๆ หลิงเอ๋อร์เอาแต่ร้องไห้ เฉินเอ้อร์หนิวก็ไม่รู้หายไปไหน มีแต่ท่านปู่ชราที่ยังนั่งอยู่ตรงนั้นดื่มชาทุกวัน…”
หนิงเหยียนส่ายหน้า ถูๆ มือ หลังจากโปรยอาหารในมือจนหมดก็หันหลังจากไป
ขณะเดียวกัน ในทะเลทรายคราม ร่างของสวี่ชิงก็กำลังพุ่งทะยานราวสัตว์ป่า
ดวงตาเขาแดงก่ำ กายเปล่งแสงสีม่วงพร่างพราย ความรู้สึกหิวทำลายความรู้ความเข้าใจทั้งหมด กลายเป็นระลอกคลื่นที่น่าครั่นคร้าม ปะทุบนร่างเขาไม่หยุด
ค่อยๆ กลายเป็นพายุคลั่ง ครืนครันฟ้าดิน
และความเป็นมนุษย์ที่หลบเร้น ความเป็นเทพที่หลั่งไหลเข้ามา คลื่นวนที่เกิดขึ้นจากการสอดประสานไม่สมบูรณ์ ราวกับเป็นห้วงหุบเหวลึกที่กลืนกินทุกสรรพสิ่งได้ โถมทับสวี่ชิงไว้ด้านใน
เขาสูญเสียสติสัมปชัญญะ สูญเสียความเข้าใจของสรรพสิ่ง หรือพูดให้ถูกคือ สูญเสียการตัดสินใจในฐานะมนุษย์ไป
ราวกับพันธนาการที่เกิดจากแนวคิดความเป็นมนุษย์นี้ ถูกเปิดช่องโหว่ช่องหนึ่ง
ขณะที่ปลดปล่อยออกมาอย่างไม่จบไม่สิ้น สวี่ชิงก็ถลำลึก
ตัวตนใดๆ ในฟ้าดินนี้สำหรับเขา ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของอาหารได้ กินไม่เลือกคำนี้ สามารถนำมาอรรถาธิบายท่าทางของสวี่ชิงในตอนนี้ได้สมบูรณ์แบบที่สุด
ไม่ว่าจะอสูรร้ายในทะเลทราย เห็ดเดินได้พวกนั้น หรือกระทั่งกลิ่นอายในสายลม เขากลืนกินได้หมด
อีกทั้งไอพลังประหลาดของโลกหล้า ก็หลายเป็นหยาดน้ำค้างที่หวานหอม
เหมือนพวกมันจะมีจิตใต้สำนึกของตนเอง หลั่งไหลมาจากทั่วสารทิศ ทะลักเข้าไปในร่างสวี่ชิงอย่างยินดี หล่อเลี้ยงพิษต้องห้ามและพระจันทร์สีม่วงของเขา
ดังนั้น ร่างสวี่ชิงจึงไม่ได้เปล่งแค่แสงสีม่วง ยิ่งมีแสงสลัวผืนหนึ่งปกคลุมอยู่ นั่นคือพิษต้องห้าม
ร่างกายเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแสงสีม่วงสายหนึ่งจากการก้าวไปด้านหน้า ทุกจุดที่แล่นผ่าน ทรายทั้งหมดบนพื้นกลายเป็นละอองฝุ่นฟุ้ง ราวกับเทพเจ้าบนโลก
และอสูรร้ายทะเลทรายกลุ่มหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป ยามนี้ก็ราวกับสูญเสียความรู้ความเข้าใจที่จะหลบหนี พวกมันตัวสั่นงันงกอยู่ตรงนั้น ถูกความหวาดกลัวจากจิตวิญญาณและสัญชาตญาณควบคุมการกระทำไปเสียแล้ว
ยอมให้สวี่ชิงเดินมา เน่าเปื่อยต่อหน้าต่อตาเขา กลายเป็นของบำรุงหลั่งไหลเข้าไปในร่างกายสวี่ชิง
บางครั้งที่ได้พบกับตัวตนแข็งแกร่งดังพวกเห็ดอย่างนั้น ก็ยากจะหลีกเลี่ยงชะตากรรมที่ถูกกำหนดไว้ ขณะที่สวี่ชิงเข้าใกล้ ไอพลังประหลาดของฟ้าดินนี้แปรเปลี่ยนเป็นแรงสยบ บดขยี้ทุกสรรพสิ่ง
เปลือกอันแข็งแกร่ง ไม่อาจปกป้องได้เลยแม้แต่น้อย ขณะที่ถูกทำลายนี้ไม่สามารถขวางการก้าวเดินของสวี่ชิงได้เลย
เขาเดินเข้าไปในร่างกายของอาหาร ยกสองมือขึ้นคว้า ยัดเข้าปากชิ้นแล้วชิ้นเล่าอย่างบ้าคลั่ง
กระทั่งรู้สึกว่าการเดินไปกินเช่นนี้ค่อนข้างช้า ดังนั้นทั่วร่างของเขาจึงมีปากงอกออกมา กลืนกินอย่างต่อเนื่อง
ส่วนมือซ้ายที่หายไปก็งอกกลับมาใหม่นานแล้ว ขอแค่สวี่ชิงต้องการ เพียงนึกถึงเท่านั้น ง่ายดายอย่างยิ่ง
พระจันทร์สีม่วงกำลังลิงโลด พิษต้องห้ามกำลังโหมซัด ส่วนเจ้าเงาตอนนี้หวาดกลัวถึงขีดสุด กระทั่งบรรพจารย์สำนักวัชระเวลานี้ก็ไม่กล้าปล่อยระลอกคลื่นอะไรเลยแม้แต่น้อย
‘ลืมข้าไป ลืมข้าไป…’
บรรพจารย์สำนักวัชระอธิษฐานในใจ เจ้าเงาก็เช่นกัน
พวกมันหวาดกลัว ปล่อยความตื่นกลัวมาจากต้นกำเนิดของชีวิต
ก่อนหน้านี้ พวกมันเคยเห็นสวี่ชิงคุ้มคลั่งมาแล้ว แต่กลับไม่เคยทำให้พวกมันสิ้นหวังเช่นครั้งนี้มาก่อน
เพราะพวกมันสัมผัสได้ว่า สวี่ชิงในตอนนี้ จะกลืนกินพวกมันลงไปจริงๆ
ขอแค่เขาอยากเท่านั้น
และที่หวาดกลัวเช่นกัน ยังมีนิ้วเทพเจ้าติงหนึ่งสามสองด้วย
องค์ท่านถูกกระตุ้นให้ตื่นขึ้นมา และเสี้ยวขณะที่ตื่นขึ้น องค์ท่านกำลังจะส่งคลื่นความไม่พอใจออกไป แต่เมื่อสัมผัสโลกภายนอกในพริบตาต่อมา จิตใจก็โหมระลอกคลื่นสูงท่วมฟ้าครืนครัน
องค์ท่านรีบเก็บกลิ่นอายทั้งหมดโดยไม่ลังเลทันที ขณะที่สั่นเทาก็แกล้งทำเป็นหลับต่อ แต่ความหวาดผวาในใจ ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดออกมาได้
‘นี่ๆๆ…นี่มันเกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย!!
‘ข้าแค่หลับไปตื่นเดียว ไยถึงกลายเป็นเช่นนี้!’
นิ้วเทพเจ้าบ่นกระปอดกระแปด ความตื่นกลัวในใจปะทุขึ้นมาบนร่างกายราวกับกระแสน้ำขึ้นลอกแล้วระลอกเล่า ในการสัมผัสขององค์ท่านตอนนี้ ราวกับตอนเผชิญหน้ากับชื่อหมู่ในตอนนั้น เผชิญหน้ากับจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาล
ความหิวของสวี่ชิง ทำให้องค์ท่านรู้สึกเหมือนว่าอีกฝ่ายจะกินตัวเองได้ตลอดเวลา
สัมผัสรับรู้นี้ ทำให้ขณะที่องค์ท่านสิ้นหวังก็เกิดรู้สึกโศกเศร้าระคนโกรธเคืองอย่างยิ่ง
องค์ท่านรู้สึกว่าเทพเจ้าก็มีโชคชะตาเช่นกัน ส่วนตนคงถูกโชคชะตาหักหลังเป็นแน่ ถูกพลังเคราะห์ร้ายของตนเล่นงาน จนซวยถึงขีดสุด
‘ข้าหลบร่างเดิมมานานปีก็เพราะกลัวถูกกลืนกิน แต่กลับมาพบกับเจ้าสวี่ชิงนี่ ต่อมาเพื่อจะรอดพ้นจากจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาล ก็ทำได้แค่ร่วมมือกับเขา แต่…ใครก็ได้บอกข้าหน่อยว่านี่เกิดอะไรขึ้น ข้าหลบมาจนตอนสุดท้าย หลบอยู่ในท้องของเขา แต่ทำไมเขาก็จะกลืนกินเช่นนี้!
‘ไม่ได้นะ จะเกิดขึ้นเร็วเช่นนี้ไม่ได้ เขาอยากจะมาถึงขั้นนี้ น่าจะอีกหลายปีให้หลังสิ
‘อีกทั้ง เขาเป็นเหมือนพวกที่จะกลายเป็นเทพเจ้าจากการลบความเป็นมนุษย์แล้วผสานความเป็นเทพเข้าไปพวกนั้นไม่ผิดเพี้ยน เอาแต่พึ่งการลบความเป็นมนุษย์ไปเพื่อผ่านพ้นไป แตกต่างกับข้าที่เป็นวิญญาณเทพเจ้าซึ่งกำเนิดเกิดมาอย่างสูงส่ง ไยถึงทำให้ข้ารู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่งเช่นนี้ได้เล่า!
‘ซ้ำ…ความเป็นมนุษย์ของเขากำลังต่อต้านความเป็นเทพ นี่มีปัญหาไม่ใช่หรือ ทำไมต้องต่อต้านด้วย นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาตกอยู่ในสภาวะคุ้มคลั่งนะ’
นิ้วเทพเจ้ากำลังโศกเศร้าระคนโกรธเคือง แต่ตอนนี้เอง ร่างของสวี่ชิงก็ชะงักเหมือนกำลังตั้งใจฟัง
ด้วยการชะงักนี้ เจ้าเงาแกล้งตาย บรรพจารย์สำนักวัชระหดศีรษะ นิ้วเทพเจ้าติงหนึ่งสามสองหลับตาลงทันที ไม่กล้าขยับเขยื้อน
พวกมันล้วนกำลังภาวนาอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจ
‘มองไม่เห็นข้า ไม่นึกถึงข้า ลืมข้าไป…’
ความประหม่ากังวล ความรู้สึกอยู่ไม่สุขที่มาพร้อมกับความว้าวุ่นใจ ผุดขึ้นมาในจิตใต้สำนึกของพวกมันพร้อมกัน
พริบตาต่อมา สวี่ชิงขยับตัว พุ่งทะยานออกไปไกล ที่นั่น…มีอาหารที่เลิศรสยิ่งกว่า
เจ้าเงาผ่อนลมหายใจ บรรพจารย์สำนักวัชระเงยหน้าขึ้นอย่างสั่นเทา นิ้วเทพเจ้าติงหนึ่งสามสองเศร้าใจ
‘ต่อต้านเช่นนี้ต่อไปก็ไม่มีความหมาย หากเจ้านี่เป็นเช่นนี้นานเข้า คงได้กลายเป็นเทพพิบัติ หรือไม่ก็เทพพิบัติในข้างหน้าเป็นแน่
‘อีกทั้ง เขาไม่ปกติ ปกติในขั้นตอนสัมผัสเทพเพื่อผ่านพ้นไปไม่มีทางทำให้ข้ารู้สึกหวาดกลัวได้ถึงเพียงนี้!
‘เขาทำให้ข้ารู้สึกไม่เหมือนกำลังจะผ่านพ้นไปเลย!
‘ให้ตายเถอะ ทำอย่างไรดีๆ หากเขากลายเป็นเทพพิบัติขึ้นมา ข้าก็จบแล้ว เทพพิบัติเป็นตัวตนหิวขนาดกินมั่วซั่วกระทั่งตัวเองก็กินได้จนเกลี้ยงเลยนะ!’
ขณะที่ในใจติงหนึ่งสามสองร้อนรน ดวงตาสวี่ชิงก็ยิ่งฉายแววคุ้มคลั่ง ใกล้อาหารที่เขาสัมผัสได้ขึ้นเรื่อยๆ
อาหารที่เขาสัมผัสได้ข้างหน้านี้ หอมหวานอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้เขารู้สึกปรารถนาอย่างแรงกล้า และความรู้สึกหิวก็มากขึ้นถึงขีดสุดในเสี้ยวขณะนี้
“หิว…หิว…”
เบื้องหน้าเขา บนทะเลทราย มีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น
นายกองนั่นเอง!
เขามองไปไกลๆ เห็นพายุสีม่วงเข้าใกล้อย่างรวดเร็ว สีหน้าไม่ได้สบายอกสบายใจเช่นที่ผ่านมา ดวงตาฉายแววเคร่งจริงจังอย่างหาได้ยากออกมา
“ศิษย์น้องเล็ก…”