ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 626 ตุ๊กตาตัวที่สี่หายไปไม่กลับมา
บทที่ 626 ตุ๊กตาตัวที่สี่หายไปไม่กลับมา
สวี่ชิงลังเล มองผลไม้ลูกนั้น แล้วมองไปทางผู้หญิงงดงามเลิศล้ำข้างหน้าผู้นี้
จากเงาร่างที่อยู่ข้างๆ รัฐทายาทและเป้าหมายที่มาที่นี่ เขาย่อมเดาได้ว่าคนผู้นี้เป็นใคร แต่ก็ยังไม่อาจซ้อนทับกับรูปร่างหน้าที่ปรากฏที่ที่ราบน้ำแข็งทางเหนือตอนนั้นในความทรงจำได้
แตกต่างกันเหลือเกิน
และเมื่อครู่ แต่เดิมเขายังเตรียมจะสู้ศึกใหญ่กับผู้แข็งแกร่งระดับสมบัติวิญญาณผู้นั้นสักหน่อย
แต่ตอนนี้…
สวี่ชิงมองต้นไม้ต้นนั้น ละซึ่งความสนใจทุกอย่าง รับผลไม้ลูกนั้นมาอย่างเคารพนอบน้อม
“ขอบพระคุณผู้อาวุโสมากขอรับ”
เขารู้สึกว่าแบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน
องค์หญิงหมิงเหมยพยักหน้าเล็กน้อย สำหรับผู้เยาว์ข้างหน้าคนนี้ ความจริงนางชื่นชมเอ็นดูมาก ด้านหนึ่งคือการยอมรับของน้องชายตัวเอง อีกด้านหนึ่งคือนางรู้ดีว่าตัวเองหลุดพ้นพันธนาการได้มีความเชื่อมโยงกับผู้เยาว์คนนี้อย่างแน่นอน
ดังนั้น นางที่บุญคุณความแค้นแยกแยะชัดเจน จึงทนเห็นการฝึกฝนขัดเกลาที่ว่าของน้องชายตัวเองและการกระมิดกระเมี้ยนมอบของกำนัลให้ไม่ได้
รัฐทายาทจนปัญญา เขาอยากฝึกฝนขัดเกลาสวี่ชิงสักหน่อยจริงๆ แต่ว่าตอนนี้ในเมื่อพี่หญิงสามเป็นฝ่ายให้ เขาก็ทำได้แค่ยิ้ม
“เช่นนั้นพวกเราไปกันดีหรือไม่”
เขามองไปทางพี่หญิงสาม
องค์หญิงหมิงเหมยกวาดตามองรูปร่างแก่หง่อมงุ่มง่ามของรัฐทายาท ในใจทอดถอน แม้จะรู้ว่านี่เป็นแค่รูปลักษณ์ที่แสดงออกมาของรัฐทายาทเท่านั้น แต่จากในสีหน้าของอีกฝ่าย นางสัมผัสได้ว่าน้องชายของตนยอมรับสภาพในตอนนี้จากใจจริง
“รัฐทายาทเจ้าเหนือหัวที่งดงามสง่าชื่อเสียงเลื่องลือในตอนนั้น…วันนี้พวกเราล้วนแก่กันหมดแล้ว
“ช่วงอายุที่งดงามยอดเยี่ยมที่สุดถูกผนึกเอาไว้ในดินแดนที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน”
องค์หญิงหมิงเหมยส่ายหน้า เปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ไปเช่นกัน แปลงเป็นหญิงชราหน้าตามีเมตตา เอ่ยราบเรียบ
“ร้านยาของเจ้าอยู่นั่นเหมือนว่าจะสบายมากไม่น้อยเลยทีเดียว”
รัฐทายาทได้ยินก็ยิ้ม เอ่ยเสียงเบา
“นั่นเป็นร้านยาเล็กๆ อบอุ่นมาก”
องค์หญิงหมิงเหมยคล้ายครุ่นคิด
สวี่ชิงกะพริบตาปริบๆ มองชายชราและหญิงชราข้างหน้า เขาสัมผัสได้รางๆ ว่า ในร้านยาของตนหลังจากนี้อีกไม่นานจะมีท่านผู้จัดการชราเพิ่มอีกหนึ่งคนแล้ว
นึกถึงว่าในร้านยาธรรมดาๆ จะมีระดับเตรียมสู่เทวะสองตน…สวี่ชิงก็ค่อนข้างจะทำตัวไม่ถูก
“ไปเถอะ ไปที่ที่เจ้าบอกว่าผนึกน้องหญิงห้าและน้องแปดเอาไว้ จากวิธีที่พวกเราทำที่ตำหนักเทพเมื่อครั้งที่แล้ว พันธนาการวิญญาณของพวกเขาถูกทำลายอย่างลับๆ วันนี้ก็น่าจะเรียกให้ฟื้นตื่นได้แล้ว”
องค์หญิงหมิงเหมยเอ่ยอย่างสงบนิ่ง มองไปข้างหน้า
รัฐทายาทกวักมือเรียกสวี่ชิง ก้าวเท้าตามไป
สวี่ชิงตามอยู่ข้างหลัง สีหน้าแปลกประหลาด เขารู้สึกว่าการคำนวณของเขาก่อนหน้านี้ผิดไป ในอนาคตร้านยาของตัวเองอาจจะไม่ใช่ระดับเตรียมสู่เทวะสองคน แต่เป็นสี่
‘บางทีจากการปลดผนึกน้องสาวน้อยชายของรัฐทายาทอาจจะมากกว่านี้’
สวี่ชิงคิดถึงตรงนี้ ต่อให้ด้วยจิตที่สงบนิ่งมั่นคงของเขาก็ใจสั่นสะท้านไปเช่นกัน มองไปทางร้านยาของตัวเองอย่างอดไม่ได้
เขาในตอนนั้นเปิดร้านยาไว้ที่นี่ คิดไม่ถึงว่าวันหนึ่ง…จะมีสภาพเช่นนี้
ทั้งสามคนจากไปไกลก็เช่นนี้เอง
ท่านปู่ผู้ชราและท่านย่าผู้ชราอยู่บนท้องฟ้า สวี่ชิงอยู่บนพื้นดิน
พวกเขาก้าวย่างอยู่บนท้องฟ้า สวี่ชิงส่งเสียงดังเลื่อนลั่นทะเลทราย
ความอ่อนนุ่มของทะเลทรายทำให้หลังจากที่สวี่ชิงดึงพลังพระจันทร์สีม่วงกลับมา ความพยายามของทุกย่างก้าวที่เหยียบลงไปถึงระดับสูงสุด ไม่ระวังแค่เพียงเล็กน้อย เขาก็จะจมลงไปใต้พื้นทราย
โดยเฉพาะทรายบางแห่งหากร่วงลงไป ในนั้นจะมีแรงดูดมหาศาลเกิดขึ้น ทำให้การก้าวเดินของสวี่ชิงยากลำบากเกินขั้น
เมื่อรัฐทายาทอยู่ต่อหน้าพี่สาวของตัวเองเหมือนว่าความแก่จะลดลงเล็กน้อย เหมือนเฒ่าทารกคนหนึ่ง คอยมองอย่างสนุกสนานไม่มีวันเบื่อ ส่วนองค์หญิงหมิงเหมยหลังจากที่มองอยู่สามสี่วัน ก็สะบัดมือหิ้วสวี่ชิงขึ้นมาจากหลุมทรายแห่งหนึ่ง
สวี่ชิงกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เขาอยู่ตรงนั้นปีนอยู่สองชั่วโมง
“เด็กดีคนหนึ่งถูกเจ้าทรมานจนเป็นแบบไหนไปแล้ว!”
องค์หญิงหมิงเหมยกวาดตามองรัฐทายาทอย่างไม่พอใจ รัฐทายาทกำลังจะเอ่ยปาก
“คิดถึงการลงโทษที่เสด็จพ่อลงโทษเจ้าในตอนเด็กขึ้นมาได้ใช่หรือไม่ ลูกเหล็กลูกนี้ค่อนข้างคุ้น เป็นลูกเหล็กที่เสด็จพ่อล่ามไว้บนร่างเจ้าตอนนั้นกระมัง”
สวี่ชิงเงยหน้ามองไปทางรัฐทายาท เขาก็ค้นพบเช่นกันว่า หลายวันนี้ทุกครั้งที่ตนดิ้นรนกระเสือกกระสนก้าวเดิน สายตาที่รัฐทายาทมองมาที่ตนมีทั้งแววระลึกความหลัง มีทั้งมีความสุข
รัฐทายาทหัวเราะฮ่าๆ เปลี่ยนหัวข้อ
“พี่หญิงสาม สถานที่น้องหญิงห้าถูกผนึกไว้ค่อนข้างพิเศษ ไม่เหมือนกับพวกเรา ก่อนหน้านี้ข้าไปสัมผัสมาแล้วครั้งหนึ่ง”
องค์หญิงหมิงเหมยหิ้วสวี่ชิงเอาไว้ พยักหน้าเล็กน้อย
“พิเศษอย่างไร”
“น้องหญิงห้าไม่ได้ถูกผนึกเอาไว้ในความเป็นจริง” สีหน้ารัฐทายาทฉายความเคร่งเครียดออกมา ดวงตาทั้งสองฉายประกายแสงแปลกประหลาด เสียงก็แหบแห้ง
“นางถูกผนึกเอาไว้ในกลอนเด็กบทหนึ่ง”
องค์หญิงหมิงเหมยคล้ายครุ่นคิด สวี่ชิงฟังถึงตรงนี้ ก็รู้สึกอัศจรรย์ ต่อให้เคยประสบพบเจอเรื่องราวมากมาย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินว่ากลอนเด็กก็เป็นผนึกได้เช่นกัน
“ใต้เขาตะขาบดำทางทิศใต้มีหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง
“หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ในห้วงเวลามาเนิ่นนานนัก ต่อให้พบเจอกับภัยพิบัติกลายเป็นหมู่บ้านร้าง หลายเดือนให้หลังก็ปรากฏขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
“ในหมู่บ้านมีกลอนเด็กบทหนึ่งท่องสืบกันมาตลอด…”
เสียงของรัฐทายาทแฝงด้วยความเก่าแก่ผ่านห้วงเวลาเนิ่นนาน เดินไปข้างหน้าพลางดังสะท้อน
“น้องหญิงห้าถูกผนึกไว้ในกลอนเด็กนี้ ในยามที่บนโลกนี้ไม่มีใครจำกลอนเด็กบทนี้ได้ นางก็จะตายโดยสมบูรณ์
“แต่บุตรเทวะน้องชายของพวกเรา เพื่อที่จะทรมานน้องหญิงห้าจะปล่อยให้นางตายได้อย่างไร ดังนั้นนอกจากตัวเขาจำได้ ก็คอยจัดให้คนจำได้อยู่ตลอด
“ขณะเดียวกัน เขาอาศัยพลังชื่อหมู่ทำให้ทุกครั้งที่มีคนท่องออกมา จะเป็นการทำร้ายน้องหญิงห้าอย่างแสนสาหัส ดุจความเจ็บปวดจากการกลืนกินเลือดเนื้อ เหตุที่เลือกหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนั้นก็เพราะที่นั่น…เป็นสถานที่ที่สายเลือดของน้องหญิงห้าหลงเหลืออยู่ ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นั่นล้วนเป็นสายเลือดคนรุ่นหลังของนาง”
สวี่ชิงใจสั่นสะท้าน
องค์หญิงหมิงเหมยเงียบนิ่ง ดวงตาฉายความโกรธแค้นและความเศร้าโศก เพราะนางฟังความหมายของรัฐทายาทออก
ที่นั่นใช้วิชากลอนเด็ก ท่ามกลางความไม่รู้ตัวของผู้กัดกินเลือดเนื้อของน้องหญิงห้า ทั้งยังถูกบุตรเทวะส่งไปให้พวกเขา กลายเป็นอาหารที่พวกเขาเคยกินในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมานั้น
รัฐทายาทเงียบนิ่ง
ความโศกเศร้าท่ามกลางความเงียบสงัดก็ยิ่งหยั่งลึก การเดินทางหลังจากนั้น องค์หญิงหมิงเหมยไม่พูดอะไรอีก รัฐทายาทก็ไม่พูดเช่นกัน พวกเขาทั้งสามไปจากทะเลทรายผมคราม ไปจากเขตปกครอง ก้าวข้ามภาคตะวันตก ไปยังภาคใต้ของแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา มาถึงที่หมาย
สำหรับผู้บำเพ็ญทั่วไปที่นี่อาจเป็นดินแดนซึ่งชั่วชีวิตนี้ไม่อาจอาศัยการส่งข้ามเดินทางมาถึงได้ แต่ด้วยฝีก้าวของรัฐทายาทและองค์หญิงหมิงเหมยเพียงแค่วันเดียวก็สามารถก้าวข้ามไปได้
นี่ยังเป็นเพราะต้องดูแลความสามารถในการแบกรับของสวี่ชิง ไม่เช่นนั้นก็อาจจะใช้เวลาเพียงแค่พริบตาเท่านั้น
ส่วนสถานที่เป้าหมายเป็นป่าที่ทอดตัวเป็นทิวแถว เต็มไปด้วยกลิ่นเน่าเปื่อย ทำให้คนรู้สึกถึงความเหี่ยวแห้งและความตาย
ในส่วนลึกของผืนป่า สวี่ชิงเห็นยอดเขาที่โดดเด่นแห่งหนึ่ง
ภูเขาลูกนี้สูงประมาณแปดร้อยกว่าจั้ง เหมือนตะขาบยักษ์ตัวหนึ่งที่เงยหน้าแยกเขี้ยวใส่ท้องฟ้า
สามารถมองเห็นหนวดของตะขาบได้อย่างชัดเจน สมจริงมีชีวิตชีวา
ความรู้สึกเหี้ยมเกรียมกลุ่มหนึ่ง ในช่วงที่สายตาประสานกันก็ทะลักเข้ามาในใจสวี่ชิง
เขาสัมผัสได้ถึงความอำมหิตและความแค้นเข้มข้นที่เหมือนสะสมมานานหลายปี
ที่นี่ก็คือเขาตะขาบดำที่รัฐทายาทกล่าว
มีเพียงสายฟ้าแต่ละทางที่ฟาดผ่าอยู่ในนั้นไม่หยุด เสียงฟ้าผ่าดังคำรามกึกก้องไปทั่ว
เหมือนเสียงคำรามของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ระบายความไม่ยอมจำนน
และที่ข้างล่างภูเขามีหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ล้อมเอาไว้ด้วยรั้วไผ่แห้งๆ
หมู่บ้านไม่ใหญ่ สร้างติดภูเขา บ้านเรือนทุกหลังในนั้นล้วนเป็นสีเทาดำ ฉายความอัปมงคลออกมา บนพื้นเต็มไปด้วยคราบสกปรก
เหมือนเพราะที่นี่ปิดกั้นกับโลกภายนอก เสียงคำรามของฟ้าดินสกัดกั้นฝีเท้าการมาเยือนของคนข้างนอก ดังนั้นความเฉยชาเป็นลักษณะปกติของคนที่นี่
อีกทั้งสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายที่อาศัยอยู่ ดังนั้นความซึมเซาก็เป็นท่วงทำนองหลักของที่นี่
และทุกอย่างเมื่อผสานอยู่ด้วยกัน ก็กลายเป็นความเน่าเปื่อยในเวลาอันเนิ่นนานที่หมุนไป
มีเพียงเด็กๆ เท่านั้นที่มีความไร้เดียงสาไปตามธรรมชาติ ทำให้พวกเขาเหมือนไม่มีความกังวลใดๆ มองความแค้นอาฆาตที่ก่อเป็นสายฟ้าเหล่านั้นเป็นดอกไม้ไฟ ดังนั้นท่ามกลางสายฟ้าที่แลบแปลบปลาบบนท้องฟ้าไม่หยุด พวกเขาก็ยังคงกระโดดโลดเต้น ปากก็ท่องกลอนเด็กออกมา
แม้จะมีเพียงแค่ห้าหกคน แต่เสียงของพวกเขาก็ยังส่งออกไปได้ไกลอย่างน่าประหลาด
“กาลครั้งหนึ่งมีตุ๊กตาตัวใหญ่ ตั้งแถวเรียงรายข้างหลังคือตุ๊กตาตัวเล็ก ตุ๊กตาสิบตัวหกเจ็ดแปด ตาแดงๆ ผมสีเทา เช้าจรดค่ำนิ่งเงียบไม่พูดจา เด็กตัวใหญ่เห็นแล้วเรียกอาเจีย เด็กน้อยเห็นแล้วอย่าได้กลัว…
“จวบจนอยู่มาวันหนึ่ง ตุ๊กตาตัวใหญ่ป่วย ตุ๊กตาตัวที่สองมาดู ตัวที่สามซื้อยา ตัวที่ห้าต้ม ตัวที่หกตาย ตัวที่เจ็ดหัวเราะ ตัวที่แปดขุดหลุม ตัวที่เก้ากระโดด ตัวที่สิบร้องไห้อยู่บนพื้น ข้าถามว่ามันร้องไห้ทำไม…
“ตุ๊กตาตัวที่สี่หายไปไม่กลับมา!”
กลอนเด็กดังลอยแว่ว ในนั้นเหมือนมีพลังแปลกประหลาด แม้แต่เสียงสายฟ้าก็ไม่อาจสะกดควบคุมได้ ดังลอยออกมานอกหมู่บ้าน ดังมาในหูของพวกสวี่ชิงทั้งสามคนที่ตอนนี้อยู่หน้าหมู่บ้าน
องค์หญิงหมิงเหมยสีหน้าซับซ้อน รัฐทายาทหลับตา ปกปิดความเจ็บปวดในดวงตา
สวี่ชิงถอนหายใจในใจ
เจ้าเหนือหัวมีธิดาห้าคน บุตรชายสิบคน ตามธรรมเนียมราชวงศ์ ผู้ชายเรียงลำดับผู้ชาย ผู้หญิงเรียงลำดับผู้หญิง
ในกลอนเด็ก บอกเล่าบุตรชายทั้งสิบของรัฐทายาทในตอนนั้น เจ้าสี่ในนั้น…สวี่ชิงรู้ ก็คือบุตรเทวะตำหนักเทพพระจันทร์สีชาด
จากสีหน้าของรัฐทายาท สวี่ชิงเดาว่าในตอนนั้นเขาอาจจะ…ป่วยจริงๆ
ส่วนสาเหตุที่ป่วย สวี่ชิงไม่รู้ แต่เขารู้สึกว่าบางทีอาจจะเกี่ยวกับพระจันทร์สีชาดชื่อหมู่
“ถ้าถามว่าทำไมตัวที่สี่หายไป ตุ๊กตาตัวใหญ่ในใจรู้ดีที่สุด รู้ดีที่สุด!”
สวี่ชิงเงียบนิ่ง มองไปทางรัฐทายาท
รัฐทายาทตอนนี้พลันลืมตาขึ้นมา จ้องเพ่งหมู่บ้าน เอ่ยเสียงเบา
“วิญญาณเทพของน้องหญิงห้าตื่นแล้ว วิธีที่จะปลดผนึก…คือพี่หญิงสามใช้อำนาจเทพของตัวเอง ทำให้ร่องรอยของคนที่อยู่ที่นี่ทั้งหมดนับแต่อดีตกาลมาปรากฏขึ้น ให้กลอนเด็กที่ดังก้องในวันเวลาอันเนิ่นนานนี้ดังก้องไปไม่หยุด
“สวี่ชิง ขั้นตอนนี้ต้องใช้พลังพระจันทร์สีม่วงของเจ้า นี่คือกุญแจที่จะเปิดผนึกที่นี่
“และข้าก็จะเปลี่ยนการรับรู้ของฟ้าดินอย่างสุดกำลัง ซ่อนเร้นระลอกคลื่นทั้งหมด ภายในสิบอึดใจ ข้ามีความมั่นใจว่าต่อให้ตำหนักเทพคอยจับตามองอยู่ตลอด ก็ไม่อาจสัมผัสได้
“แต่มีเวลาเพียงแค่สิบอึดใจเท่านั้น”
รัฐทายาทหันไปมององค์หญิงหมิงเหมย
“เพียงพอแล้ว”
องค์หญิงหมิงเหมยพูดพลางก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ยกมือขวาขึ้นชี้ไปทางหมู่บ้านที่อยู่ข้างหน้า ทันใดนั้นฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมเมฆหอบทะลัก สายฟ้าบนท้องฟ้าในเสี้ยวขณะนี้หยุดลง
แม่น้ำแห่งกาลเวลาเส้นหนึ่งพลันปรากฏออกมา ไหลไปในหมู่บ้าน
แม่น้ำทะลักโหม คลื่นซัดปั่นป่วน ละอองน้ำนับไม่ถ้วนสาดกระเซ็น ลอยอยู่ในฟ้าดิน ปรากฏเป็นเงาร่างนับไม่ถ้วน
ขอเพียงเป็นคนที่เกิดที่นี่ เวลาของพวกเขาในเสี้ยวพริบตานี้ถูกองค์หญิงหมิงเหมยดึงออกมา อัดแน่นอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ มากขึ้นเรื่อยๆ
จวบจนกระทั่งผ่านไปสามอึดใจก็มีจำนวนมากมายมหาศาล นับไม่ถ้วน
ส่วนประชาชนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านก็ต่างเดินออกจากบ้านเรือนมาอย่างงุนงง
เสี้ยวขณะนี้ คนเป็น วิญญาณในอดีต รวมตัวกัน
ฟ้าดินคำรามก้อง มิติสั่นสะเทือน ท่ามกลางการไหลทะลักซัดสาดของแม่น้ำแห่งกาลเวลา ท่องจากความเป็นและความตาย เสียงกล่าวขานจากปัจจุบันและอดีตดังก้องไปทั่ว
“กาลครั้งหนึ่งมีตุ๊กตาตัวใหญ่ ตั้งแถวเรียงรายข้างหลังคือตุ๊กตาตัวเล็ก…
“จวบจนอยู่มาวันหนึ่ง”