ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 631 ดาราลงมาเยือน เส้นผมดุจโลหิต
บทที่ 631 ดาราลงมาเยือน เส้นผมดุจโลหิต
ฟ้าดินคำรามลั่น ลมกระหน่ำกรรโชก
ทะเลแสงบนท้องฟ้าโหมซัด ในสายตาของคนทั้งหลาย ตะปูที่ก่อเค้าร่างไม่หยุดนั่น สุดท้ายก็ไม่อาจปรากฏขึ้นอย่างสมบูรณ์ได้ หลังจากที่ส่องแสงเจิดจ้าได้ในระดับหนึ่งก็เริ่มพังทลาย
ในห้องด้านหลัง สวี่ชิงนั่งขัดสมาธิทำสมาธิ ข้างหน้ามีปราณแสงรุ้งเจ็ดสีดวงหนึ่ง
แสงประกายรุ้งมหาศาลสาดแสงมาจากร่างปราณแสงรุ้งเจ็ดสีดวงนี้ แผ่ไปทั่วทุกทิศ แปรเปลี่ยนเป็นทะเลแสงข้างนอก
ส่วนกายเนื้อสวี่ชิงมือขวาตอนนี้ยกขึ้นมา สัมผัสกับมือของปราณ
จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าฝ่ามือขวาของสวี่ชิง ตรงนั้นมีเค้าร่างของตะปูดอกหนึ่ง ตอนนี้กำลังสลายไป รางเลือนไป
ผิวมือขวาของเขากับตำแหน่งอื่นๆ มองไปเผินๆ เหมือนกัน แต่หากสังเกตอย่างละเอียดก็จะพบความแตกต่าง คล้ายว่าผิวมือขวา โดยเฉพาะที่ฝ่ามือจะขาวกว่าบริเวณอื่นเล็กน้อย
เหมือนถูกแช่อยู่นานหลายปี ทำให้คนรู้สึกสะอาดเอี่ยมนัก
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง จากเค้าร่างของตะปูบนฝ่ามือขวาสวี่ชิงหายไปโดยสมบูรณ์ ตะปูที่แปลงมาจากทะเลแสงข้างนอกก็พลันแตกสลายหายลับไป
สวี่ชิงลืมตา
เพียงพริบตา แสงประกายอรุณทั้งหมดม้วนทะลักกลับมา รวมมาในปราณแสงประกายอรุณของเขา ส่วนปราณในพริบตาที่ดวงตาทั้งสองของสวี่ชิงลืมขึ้นก็กลับมาในกายเนื้อ
สวี่ชิงถอนหายใจ
‘สิ่งเหล่านั้นที่เคยเห็นในความทรงจำ สุดท้ายแล้วก็ลอกเลียนแบบมันออกมาไม่ได้ อีกทั้งการแปรเปลี่ยนเป็นหมื่นวิชาของข้าก็มีขีดจำกัด…ไม่ใช่ได้ลอกเลียนวิชาทุกอย่างที่เห็นในอนาคตได้จริงๆ’
สวี่ชิงส่ายหน้า ลุกขึ้นยืน เดินออกมาจากห้องด้านหลังด้วยความเสียดาย
ทันทีที่เดินออกมา เขาเห็นคนทั้งหลายในโถงใหญ่
หนิงเหยียนราวเห็นสัตว์ประหลาด มองสวี่ชิง อยากจะพูดอะไรแต่ก็หยุดเอาไว้
อู๋เจี้ยนอูสีหน้าเหม่อลอย ในสมองของเขามีภาพการพบกันครั้งแรกของเขากับสวี่ชิงบนทะเลต้องห้ามในตอนนั้นผุดขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ ตอนนั้น ตัวเองยังคิดว่าสามารถสู้กับอีกฝ่ายได้ โดยพื้นฐานก็นับว่าพอฟัดพอเหวี่ยง
แต่ตอนนี้…
ในใจอู๋เจี้ยนอูหดหู่เป็นอย่างยิ่ง จากนั้นในดวงตาก็แดงก่ำ เขาตัดสินใจแล้ว ช่วงนี้เขาเกียจคร้านเกินไป เขาจะบ่มเพาะสายเลือดต่อไป!
นกแก้วสั่นงันงก ไม่กล้าพูด
หลี่โหยวเฝ่ยก้มหน้าอย่างเคารพ โยวจิงมองสวี่ชิงด้วยสายตาล้ำลึกผาดหนึ่ง ส่วนบรรพจารย์โม่กุยทางนั้นกลับจับตามองให้ความสำคัญกับคนอื่นนอกจากระดับเตรียมสู่เทวะทั้งสี่เป็นครั้งแรก
ภาพก่อนหน้านี้ของสวี่ชิงทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดา นี่ไม่ใช่พลังที่ระดับปราณก่อกำเนิดจะสำแดงได้ กระทั่งว่าไม่ใช่สิ่งที่ระดับสมบัติวิญญาณจะสำแดงออกมาได้เช่นกัน
นี่ทำให้เขาพลันเข้าใจถึงสาเหตุที่ทำไมเจ้าเด็กที่เดินออกมาจากห้องด้านหลังคนนี้เป็นศูนย์กลางของร้านยา ทำให้ระดับเตรียมสู่เทวะมานั่งรวมอยู่ด้วยกัน
และเทียบกับพวกเขา หลิงเอ๋อร์แม้จะตกใจสงสัย แต่สิ่งที่มีมากกว่าคือความภาคภูมิใจ
นายกองกะพริบตาปริบๆ ยินดีภาคภูมิมากๆ
ส่วนน้องแปดทางนั้น มองสวี่ชิงพลางฉีกยิ้ม
น้องหญิงห้าในดวงตาฉายแววอัศจรรย์ แม้นางจะไม่ได้ร่วมกับรัฐทายาทและพี่หญิงสามทำการชี้แนะสวี่ชิง แต่ตอนนี้ก็มองร่องรอยอะไรบางอย่างออกแล้ว
รัฐทายาทพยักหน้าน้อยๆ ใบหน้าฉายแววลึกล้ำเกินหยั่งถึง ในเสี้ยวขณะนี้เขาไม่รู้เลยว่าสีหน้าท่าทางของตัวเองกับอาจารย์ของสวี่ชิง ความจริงยิ่งเหมือนกันขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
ส่วนองค์หญิงหมิงเหมย นางมองสวี่ชิง สีหน้าไร้อารมณ์
สวี่ชิงกวาดตามองพวกหนิงเหยียน รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงเป็นเช่นนี้ การทำให้ตะปูเจ้าเหนือหัวปรากฏออกมา ภาพนี้ตามธรรมชาติก็สามารถสร้างความตื่นตะลึงสั่นสะท้านได้อยู่แล้ว
แต่ความจริงแล้ว สำหรับความล้มเหลวของตัวเองสวี่ชิงนั้นไม่พอใจ โดยเฉพาะสีหน้าท่าทางขององค์หญิงหมิงเหมยและรัฐทายาททางนั้นทำให้เขาถอนหายใจ จึงเดินไป ก้มหน้าเอ่ยขึ้น
“ผู้อาวุโส สุดท้ายข้าก็ยังคงล้มเหลวขอรับ”
ใบหน้าของรัฐทายาทกระตุกเล็กน้อย ทำเป็นผิดหวังไปตามน้ำ
“ข้าเห็นแล้ว”
รัฐทายาทพูดจบก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงราบเรียบ
“แต่ว่าจะอย่างไรเจ้าก็ยังเด็ก ล้มเหลวบ้างเป็นบางครั้งก็เป็นเรื่องปกติ”
สวี่ชิงพยักหน้า กำลังจะพูดอะไร องค์หญิงหมิงเหมยก็พูดขึ้นมา
“ยื่นมือขวาของเจ้ามา”
สวี่ชิงได้ยินก็ยื่นมือขวาออกไป
เสี้ยวขณะต่อมา องค์หญิงหมิงเหมย รัฐทายาทและน้องหญิงห้า ประสาทสัมผัสเทพกวาดไปที่ฝ่ามือของสวี่ชิง หลังจากที่สีหน้าต่างฉายแววอัศจรรย์ออกมา รัฐทายาทก็พลันยกมือขึ้น
ทันใดนั้นผมยาวสีดำกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นข้างหน้าเขา ย่อส่วนไม่หยุดและขยายไม่หยุด ในนั้นมีวิญญาณร้ายนับไม่ถ้วนอยู่รางๆ ส่งระลอกคลื่นพลังวิญญาณออกมา
“เลียนแบบมันเสีย”
รัฐทายาทมองไปทางสวี่ชิง
สวี่ชิงไม่ลังเล แผ่แสงประกายอรุณบนร่างออกทันที หลังจากปกคลุมไปทั่วแล้วก็รวมแสงเป็นหนึ่งทางอย่างรวดเร็ว ส่องไปบนกลุ่มเส้นผมสีดำ ขณะเดียวกันก็คว้ากลุ่มผมที่อยู่กลางฝ่ามือข้างขวาเอาไว้
ทันใดนั้น ในฝ่ามือสีขาวก็พลันมีสีดำปรากฏขึ้น รูปร่างของกลุ่มผมค่อยๆ ปรากฏรางเลือนขึ้นมา
พริบตาต่อมา ข้างหน้าสวี่ชิงก็มีสิ่งที่คล้ายกับกลุ่มผมปรากฏขึ้น แต่ไม่ใช่วัตถุจริง สลัวรางเลือน
อีกทั้งพลานุภาพก็เทียบไม่ได้เลย
คล้ายว่าเป็นรูปร่างแค่บางส่วน ไม่มีพลังอำนาจเทพใดๆ
แต่ภาพนี้ก็ทำให้โยวจิงและบรรพชนโม่กุยต่างตื่นตะลึง
รัฐทายาทนิ่งเงียบแล้ว เขารู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย
จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าสวี่ชิงอาศัยแสงประกายอรุณเลียนแบบพลังวิเศษของตัวเองได้จริงๆ
แม้พลานุภาพราวจันทร์เพ็ญกับหิ่งห้อย ไม่อาจเทียบกันได้เลย
แม้จะเป็นแค่รูปร่างไม่มีพลังเทพใดๆ และไม่มีกฎเกณฑ์ตลอดจนอำนาจแฝงอยู่เช่นกัน
แต่…เขาเป็นระดับเตรียมสู่เทวะ เขาไม่เคยเห็นและไม่เคยได้ยินว่ามีระดับปราณก่อกำเนิดคนใดทำได้ถึงขั้นนี้
‘สติปัญญาของเด็กคนนี้เรียกได้ว่าปีศาจ!’
รัฐทายาทไม่อยากพูดแล้ว
องค์หญิงหมิงเหมยตอนนี้ก็ยกมือขึ้นเช่นกัน สะบัดเบาๆ
ทันใดนั้นเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ เปลี่ยนไปกลายเป็นนกพิราบสีขาวตัวหนึ่ง โบยบินอยู่ข้างหน้าเขา
นกพิราบตัวนี้ดูเหมือนธรรมดา แต่ก่อขึ้นจากมือของระดับเตรียมสู่เทวะย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ในดวงตาของมันจะเห็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว เหมือนว่านกพิราบตัวนี้สามารถทะลุผ่านห้วงเวลา บินไปในวันคืนช่วงใดก็ได้
“เลียนแบบมัน!”
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก ใช้วิธีเดียวกันเลียนแบบ กดไปทางเก้าอี้ข้างๆ
เก้าอี้ตัวนั้นบิดเบี้ยวทันที แล้วมีขนงอกอกมาอย่างแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้กลายเป็นนกพิราบ แค่ขนงอกออกมาอย่างไร้ระเบียบ สุดท้ายก็แตกสลายไป
ภาพนี้ทำเอาพวกหนิงเหยียนต่างตื่นตะลึง ส่วนนกแก้วทางนั้นดวงตาเบิกกว้างทันที ลมหายใจก็หอบถี่ขึ้นเล็กน้อย ในดวงตาฉายประกายแสงแรงกล้าออกมา
สวี่ชิงเสียดาย เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
“ยังคงทำไม่ได้ขอรับ”
ผู้อาวุโสแปดที่อยู่ข้างๆ เกิดสนใจขึ้นมา ร่างพลันแผ่อารมณ์โมโหพุ่งพล่านออกมา ส่งผลกระทบรอบๆ หลังจากบิดม้วนทุกอย่าง รางๆ ในฟ้าดินก็มีอสูรมังกรพิโรธตัวหนึ่งปรากฏขึ้น
อสูรตัวนี้ทั่วทั้งร่างลุกไหม้ไปด้วยเปลวเพลิง เกล็ดทุกเกล็ดแผ่พลังน่ากลัวออกมา ร่างขณะที่ทะยานก็ทำให้เทือกเขาทนทุกข์สั่นคลอน เขี้ยวแสยะฉายความโหดเหี้ยมขนลุกออกมา เสียงของเขาก็ดังก้องในร้านยา
“ลองเลียนแบบข้าดูบ้างสิ”
หนิงเหยียนและอู๋เจี้ยนอูเข่าอ่อนทันที ส่วนคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ดีกว่าไปไหน สวี่ชิงลมหายใจถี่กระชั้น ภายใต้พลังกดดันน่ากลัวเช่นนี้ วิญญาณและร่างของเขาล้วนสั่นสะท้าน
ภายใต้สภาวะเช่นนี้เขาไม่อาจลอกเลียนแบบได้เลย
องค์หญิงหมิงเหมยสีหน้าสงบนิ่ง แค่นเสียงขึ้นจมูก
“ไสหัวไป!”
คำพูดของนางเมื่อดังออกมา ร่างของผู้อาวุโสแปดดังบึ้ม พร้อมๆ กับภาพทุกอย่างข้างนอก หายไปในพริบตา
ฟ้าดินเป็นปกติ ทุกอย่างฟื้นฟูสู่สภาพเดิม
สวี่ชิงถอนใจโล่งอก ก้มหน้ายิ่งเคารพนอบน้อม
สีหน้าองค์หญิงหมิงเหมยไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ เอ่ยราบเรียบ
“เจ้าทำไม่ได้เป็นเพราะพลังบำเพ็ญของเจ้าในตอนนี้ยังไม่พอ ยังขาดกฎเกณฑ์ และขาดไพ่ตาย แม้อำนาจจะไม่เลวแต่ก็ไม่ใช่ทุกสิ่ง
“ทุกอย่างนี้ จากการเพิ่มขึ้นของพลังบำเพ็ญเจ้า ทันทีที่เจ้าถึงระดับสมบัติวิญญาณจะเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
“นอกจากนี้ เจ้าต้องคิดว่าใช้การบำเพ็ญเป็น…” องค์หญิงหมิงเหมยกำลังจะชี้แนะด้านสติปัญญา นี่เป็นความเคยชินเมื่อนานนมมาแล้วของนาง ลูกศิษย์เหล่านั้นของนางในตอนนั้นก็ล้วนชี้แนะเช่นนี้เหมือนกัน
แต่ครั้งนี้ พูดยังไม่ทันจบ นางก็ชะงักไปเองเล็กน้อย
สวี่ชิงเงยหน้า ตั้งใจฟัง
องค์หญิงหมิงเหมยเงียบนิ่งไปสามสี่อึดใจ ก็เอ่ยราบเรียบ
“เป็นประสบการณ์”
สวี่ชิงได้ยินก็ครุ่นคิด
สีหน้านี้ของเขาทำให้รัฐทายาทและองค์หญิงหมิงเหมยมองตากันไปตามสัญชาตญาณ กำลังจะพูดต่อ แต่เสี้ยวขณะต่อมา องค์หญิงหมิงเหมยและรัฐทายาทต่างหน้าเปลี่ยนสีไปพร้อมกัน เงาร่างหายไปในทันที มาปรากฏบนท้องฟ้า
ที่มาปรากฏพร้อมกันยังมีน้องแปดที่ไปแล้วกลับมาแล้วกับน้องหญิงห้า
พวกเขาต่างมองไปทางขอบฟ้า
ท้องฟ้าที่ไกล ประกายแสงสีแดงเหนียวข้นเหมือนเลือดๆ นั่น เมื่อหนึ่งเดือนก่อนเดิมแผ่แสงออกมาอย่างมีกฎเกณฑ์ที่แน่นอน แต่วันนี้จู่ๆ กลับปะทุขึ้น
เห็นเพียงแสงสีแดงที่ปลายขอบฟ้า เพียงพริบตาก็ปะทุเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่า เจิดจ้าแสบตา ทำให้ทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราในขณะนี้ ต้นหญ้า เทือกเขา ที่ราบ แม่น้ำ…
ล้วนสะท้อนกลายเป็นสีแดง!
บริเวณต้นกำเนิดแสงสีแดงมหาศาล ตรงนั้น…ในเสี้ยวพริบตานี้มีวัตถุขนาดใหญ่โตมโหฬารราวดวงดาวดวงหนึ่ง
ตรงนั้นก็เป็นดาวดวงหนึ่งจริงๆ
สีแดงก่ำเหมือนว่าสร้างขึ้นจากเลือดสดๆ มีขนาดใหญ่โตนัก สั่นสะเทือนไปทั่วทิศ
กระทั่งว่าบนดาวดวงนี้ยังมองเห็นเทือกเขาที่วางตัวสลับซับซ้อน จะเห็นผืนแผ่นดินที่เป็นหลุมเป็นบ่อในแต่ละแห่งๆ
มันคือพระจันทร์สีชาด!
กำลังลอยมาทางแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราด้วยความเร็วสูงสุด
ขุนเขาแต่ละลูกๆ ในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราพังถล่ม เศษหินแต่ละก้อนและต้นไม้ที่ล้มระเนระนาดตลอดจนสรรพสิ่งทั้งหลาย กระทั่งรวมถึงโครงกระดูกเหล่านั้นต่างลอยขึ้นฟ้าในระดับที่ต่างกัน
นับจากนี้ พวกมันจะลอยอยู่กลางอากาศ
นี่คือกระแสน้ำขึ้นลงของพระจันทร์สีชาด
และความรู้สึกกดดันอย่างมหาศาลที่มาพร้อมกับกระแสน้ำขึ้นลงก็ทำให้สรรพชีวิตทั้งหลายในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรากรีดร้อง คนธรรมดาจำนวนนับไม่ถ้วนคำสาปในร่างถูกเหนี่ยวนำปะทุ ผู้บำเพ็ญก็ยากจะหลบเลี่ยงเช่นกัน แต่ละคนสีหน้าบิดเบี้ยว เจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง
มีเพียงผู้บำเพ็ญระดับสูง หรือผู้บำเพ็ญที่กินลูกกลอนบรรเทาทุกข์ลงไปพวกนั้นถึงจะพอควบคุมตัวเองในเสี้ยวขณะนี้ได้
และนี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น
ในยามที่ดาวดวงนี้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็แทนที่ผืนฟ้าทั้งผืนลงมาเยือน แผ่นดินพังทลาย สรรพสิ่งลอยขึ้นฟ้า สรรพชีวิตแตกดับ
สวี่ชิงและนายกองตอนนี้มาปรากฏตัวกลางอากาศ ทอดสายตามองปลายขอบฟ้าอย่างเคร่งเครียด
ไม่ใช่แค่พวกเขาที่เป็นเช่นนี้ ตอนนี้ ผู้แข็งแกร่งของทุกเผ่าในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ต่างอยู่ที่ตำแหน่งของตัวเอง ในใจเกิดคลื่นถาโถมกระหน่ำรุนแรง
“พระจันทร์สีชาด…เห็นได้ด้วยตาเปล่าแล้ว”
ในใจสวี่ชิงก็สั่นสะท้านไปเช่นกัน เขาสามารถสัมผัสพลังอำนาจพระจันทร์สีชาดของตัวเองได้ว่าในเสี้ยวขณะนี้…แข็งแกร่งขึ้นกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อยได้อย่างชัดเจน
คล้ายว่ายิ่งพระจันทร์สีชาดเข้ามาใกล้ พลังอำนาจของเขาก็ยิ่งน่าตื่นตะลึง
“ศิษย์น้องเล็กยังจำเรื่องที่ข้าบอกเจ้าเมื่อก่อนหน้านี้ว่าในยามที่ปลายขอบฟ้ามองเห็นดวงดาวพระจันทร์สีชาด ก็คือวันที่เราออกเดินทางกันได้หรือไม่
“เพราะสถานที่ที่พวกเราจะไป ที่นั่นโดยปกติแล้วเข้าไปไม่ได้ หากอยากจะเปิดมัน มีเงื่อนไขที่จำเป็นบางอย่าง ข้อหนึ่งที่สำคัญที่สุดในนั้นมีชื่อว่า เส้นผมดุจโลหิต
“ในตำนานเล่าว่า ทะเลทรายครามแปลงมาจากผมเส้นหนึ่ง เจ้าดูสิแผ่นดินนี้ราวกับโลหิตแล้ว”
กลางอากาศ นายกองน้ำเสียงต่ำทุ้ม จ้องเพ่งทะเลทราย
ในระยะสายตาของสวี่ชิงมองเห็น ทะเลทรายข้างล่างภายใต้การส่องสะท้อนจากแสงสีเลือดที่ปลายขอบฟ้า ก็ไม่เป็นสีครามอีกต่อไป แต่แดงเถือกไปหมด
“คืนวันนี้พวกเราออกเดินทาง”
นายกองตบไหล่สวี่ชิง เอ่ยเสียงเบา