ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 636 ตัวละครพิเศษ
บทที่ 636 ตัวละครพิเศษ
สวี่ชิงเคยผ่านการสัมผัสเทพมาแล้ว เข้าใจเรื่องนี้อยู่บ้าง
ยามนี้แสงอัสนีสลายไป ความมืดมิดโถมทับอีกครั้ง ปกคลุมคลื่นวนที่เกิดจากพวกรัฐทายาท จากการที่มีเสียงกรีดร้องน่าเวทนาดังมาจากที่ไกลออกไปเรื่อยๆ เห็นได้ชัดว่ารัฐทายาทรวมถึงเหล่าพี่น้องของเขาค่อยๆ ห่างออกไป
ทุกที่ที่ผ่าน ต้องสะอาดหมดจดแน่นอน
นายกองถอนหายใจ มองแผ่นหนังในมือ รู้สึกว่าร่างกายเจ็บปวดมาก ในใจซับซ้อนไปหมด จึงมองไปทางสวี่ชิง
“อาชิงน้อย เจ้าว่าสิ่งนี้แฝงเจตนาร้ายหรือไม่…
“ข้าถามพวกเขา พวกเขาบอกไม่มา ข้าจึงใช้ไขมันตัวเองหลอมเทียน ใช้ผิวหนังของตัวเองหลอมเป็นยันต์ เจ้ารู้…หรือไม่ว่ามันเจ็บเพียงใด”
สวี่ชิงพยักหน้า เอ่ยปลอบ
“เก็บไปเถอะขอรับนายกอง เดาว่าว่าหลังจากนี้ไม่ต้องใช้แล้ว ก็อย่าสิ้นเปลืองเลยขอรับ ประหยัดได้ก็ประหยัด ดูว่าหลังจากนี้จะติดกลับไปได้หรือไม่”
นายกองหน้านิ่วคิ้วขมวด ถอนหายใจยาว เก็บหนังทั้งหมดลงไปแล้วเดินหน้าต่อ
หุบเขายังคงมืดมิด รอบด้านยังคงเย็นยะเยือก แต่ปลอดภัยแล้ว
หนิงเหยียนและอู๋เจี้ยนอูทอดถอนใจในใจ หลี่โหยวเฝ่ยก็รู้สึกสิ้นหวัง โยวจิงไม่สนใจเรื่องนี้ กระทั่งรู้สึกดีใจมากเสียด้วยซ้ำ เฉินเอ้อร์หนิวไม่มีความสุข นางก็สุขใจนัก
และเมื่อสุขใจแล้ว นางก็ตีโคมไฟต่อ
ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม ทุกคนที่ไร้อุปสรรคตลอดทาง ก็มาถึงปลายทางของหุบเขาเช่นนี้
ขณะที่เดินออกมาจากเส้นขอบฟ้า แท่นพิธีผุพังแท่นหนึ่งก็สะท้อนเข้ามาในสายตาพวกเขา
ก่อนที่แท่นพิธีนี้จะพังเสียหาย จะต้องกว้างใหญ่ไพศาลเป็นแน่ น่าจะสักหมื่นจั้ง ยิ่งสูงถึงพันจั้ง
เพราะเศษซากปรักหักพังทุกชิ้นตอนนี้ล้วนเป็นหินขนาดยักษ์ และรอบๆ มีรูปสลักตั้งตระหง่านอยู่สองสามรูป
รูปสลักเหล่านี้สูงนับหมื่นจั้ง แม้แต่ละรูปจะไม่สมบูรณ์ เผยความเก่าแก่ให้เห แต่รัศมียังคงน่าครั่นคร้าม
และที่นี่เปี่ยมไปด้วยปราณอาฆาตรวมถึงปราณพิฆาตเข้มข้นอย่างยิ่ง ตลบอบอวลไปทั่วสารทิศ ทำให้ทุกสิ่งในครรลองสายตาล้วนเกิดการบิดเบี้ยวในระดับที่ต่างกันปรากฏขึ้น
ส่งผลกระทบกับท้องฟ้า ทำให้ท้องฟ้าที่นี่ไม่เหมือนกับที่สวี่ชิงเห็นมาตลอดทาง ม่านฟ้าที่นี่สูงยิ่งกว่าราวกับเป็นฟ้าเหนือฟ้า
ขณะที่ปราณอาฆาตและปราณพิฆาตตลบอบอวล จนกลายเป็นคลื่นวนขนาดยักษ์วงหนึ่ง ส่งเสียงครืนครันตลอดเวลา หมุนเวียนต่อเนื่องอย่างไม่หยุดพัก
ลมฝนสายอัสนี ตะวันจันทราดวงดารา ในคลื่นวนแฝงกฎเกณฑ์มหาศาลเอาไว้ เปลี่ยนแปลงและปะทุอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นคลื่นพลังน่าครั่นคร้ามเป็นระลอก
สั่นสะเทือนจิตวิญญาณ
สวี่ชิงมองคลื่นวนที่ยิ่งใหญ่นั้นไกลๆ ในใจโหมซัด
เขาสัมผัสได้ว่าด้านในนั้นมีคลื่นพลังเทพเจ้า ผสมกับกลิ่นอายของชื่อหมู่ ยังมีพลังที่ยิ่งใหญ่วูบหนึ่ง เผด็จถึงขีดสุด ประหนึ่งเมื่อฟ้าดินอยู่เบื้องหน้ามัน ล้วนต้องคุกเข่าคารวะ
คล้ายยังมีเสียงคำรามด้วยความกราดเกรี้ยวมาจากบรรพกาลดังที่ข้างหูรางๆ พร้อมกับเสียงกรีดร้องน่าเวทนา ทำให้สวี่ชิงที่ทั้งร่างเปล่งแสงสีเลือดวูบวาบ สมบัติเทพพวยพุ่งออกมา แสงประกายอรุณปกคลุม พิษต้องห้ามโหมซัด ต่อต้านไปตามสัญชาตญาณ
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เขาก็ยังกระอักเลือดออกมา ร่างกายถอยหลังโซซัดโซเซ
‘พลังที่แฝงในคลื่นวนนี้ เกรงว่ารัฐทายาทก็เข้าไปไม่ได้ง่ายๆ…’
สีหน้าสวี่ชิงเคร่งขรึม พึมพำในใจ เขายังสั่นสะเทือนถึงเพียงนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่นเลย
หนิงเหยียน อู๋เจี้ยนอูและหลี่โหยวเฝ่ย ทั้งสามหน้าเปลี่ยนสี ต่างกระอักเลือดกันอย่างบ้าคลั่ง จิตวิญญาณกำลังถูกฉีกทึ้ง
สายโลหิตของหนิงเหยียนตอนนี้ก็ถูกกระตุ้นขึ้นมา ทั่วร่างเปล่งแสงสีเหลืองออกมา แต่ก็ยังไม่อาจต้านทานไว้ได้ หมดสติไป
ส่วนหลี่โหยวเฝ่ยร่างสั่นเทา แม้จะเป็นปราณก่อกำเนิด แต่ด้วยคลื่นวนนี้ ปราณก่อกำเนิดก็ไม่ได้ดีไปกว่าแก่นลมปราณนัก จากการที่พ่นเลือดสดออกมาก็บาดเจ็บสาหัสจนสลบไป…
ส่วนอู๋เจี้ยนอูที่พลังบำเพ็ญอ่อนแอที่สุด แต่เขามีทายาทเยอะ ในช่วงวิกฤตสำคัญก็โบกมืออัญเชิญทายาทของตนออกมามากมายล้อมรอบกาย แผ่พลังสายโลหิตออกมาสนับสนุน แม้จะกระอักเลือดออกมาเช่นกัน แต่ยังไม่หมดสติไป
สีหน้าโยวจิงก็จริงจังเช่นกัน มองคลื่นวนบนฟ้า สมบัติลับทั้งห้าลอยออกมา จึงไม่เป็นไร
นายกองทางนั้นก็กระอักเลือด เซถอยไปสองสามก้าว ทว่าดวงตากลับฉายแววฮึกเหิมอย่างยิ่ง หายใจหอบถี่ ยกนิ้วชี้ไปทางแท่นพิธีที่แตกร้าวด้านล่างคลื่นวน
“อาชิงน้อย เห็นหรือยัง นี่คือที่หมายของพวกเรา!
“ที่นี่ คือที่ที่เจ้าเหนือหัวสังหารชื่อหมู่ในยามที่ยังไม่กลายเป็นเทพเจ้าในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราตอนนั้น!
“ก่อนที่ชื่อหมู่จะกลายเป็นเทพเจ้า ก็อยู่ระดับเดียวกับเจ้าเหนือหัว!
“จากข้อมูลที่ข้ารวบรวมในชาติที่แล้ว เดิมทีที่แห่งนี้น่าจะยังมีแท่นประหารเทพเจ้าที่เกิดขึ้นจากการที่พลังวิเศษของเจ้าเหนือหัวรวมกัน แปรเปลี่ยนจากภาพมายาเป็นของจริง!”
“ก็คือแท่นประหารเทพเจ้าแท่นนั้นที่ตัดศีรษะชื่อหมู่ แต่หลังจากเรื่องนี้จบลงก็ถูกชื่อหมู่เดียดฉันท์ถึงที่สุด ทำลายทั้งแท่นและจิตวิญญาณจนพินาศย่อยยับ แต่ไม่เป็นไร!”
ความคุ้มคลั่งในดวงตานายกองยิ่งรุนแรงขึ้น น้ำเสียงฮึกเหิม
“นี่ไม่กระทบกับการใหญ่ที่พวกเราจะทำ แต่มาถึงที่นี่แล้ว ในที่สุดบางคำพูดข้าก็กล่าวออกมาได้หมดแล้วโดยไม่ต้องปิดบังและคอยสนใจว่าถ้าเอ่ยออกไปจะก่อให้เกิดกรรม ทำให้ชื่อหมู่ที่อยู่ในห้วงนิทราสัมผัสได้”
ดวงตาสวี่ชิงเปล่งประกาย มองไปทางนายกอง
“อาชิงน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมบทละครข้าถึงชื่อว่าประหารเทพเจ้า
“เพราะท่านอยากทำให้ภาพที่เจ้าเหนือหัวประหารชื่อหมู่ในตอนนั้นกลับมาฉายชัดอีกครั้ง!”
สวี่ชิงเอ่ยเสียงเรียบ เขาเดาคำตอบได้นานแล้ว เพียงแต่นายกองไม่ได้เอ่ยให้ชัดเจน เขาก็ไม่ได้ซักไซ้
นายกองหัวเราะฮ่าๆ
“ถูกต้อง ข้าจะพยายามทำให้สมจริงที่สุดเท่าที่ทำได้ บันทึกมันเป็นเงาเคลื่อนไหว แล้วค่อยดำเนินการจัดการบางอย่าง ทำให้มันสมบูรณ์แบบมากขึ้น”
“จากนั้น ข้าจะใช้ดวงอาทิตย์ที่มนุษย์สร้างขึ้นในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราที่ข้าครอบครองทั้งหมด ถ่ายทอดบันทึกเงาเคลื่อนไหวนี้ไปทุกพื้นที่!
“ดวงอาทิตย์ที่มนุษย์สร้างขึ้นเหล่านั้น ดวงหนึ่งอยู่ในทะเลทราย และอีกสองดวง ข้าปล่อยไปก่อนจะมาที่นี่แล้ว ตอนนี้แผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรามีอีกหลายดวงที่ยังลอยอยู่บนฟ้าล้วนถูกข้าควบคุมไว้อย่างลับๆ แล้ว
“รอบันทึกเงาเคลื่อนไหวนี้เสร็จ ก็สามารถเผยแพร่ได้!
“ถึงตอนนั้น สรรพชีวิตในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด เมื่อเงยหน้าขึ้นก็จะมองเห็นทั้งหมดนี้!”
เสียงนายกองดังก้องไปทั่วสารทิศ ประกอบกับเสียงครืนครันของคลื่นวนบนฟากฟ้า กลายเป็นพลังที่ไม่ธรรมดา
“สรรพชีวิตในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราตอนนี้ล้วนถูกความสิ้นหวังปกคลุม พวกเขาต้องการความหวัง ต้องการต้นกำเนิดในการระเบิด เนื้อหาที่พวกเราบันทึกก็คือความหวัง และเป็นต้นกำเนิดในการระเบิดของพวกเขา”
สวี่ชิงฟังถึงตรงนี้ก็เข้าใจกระจ่าง เอ่ยขึ้นว่า
“เพราะเงาเคลื่อนไหวนี้จะทำให้พวกเขารู้ว่าเทพเจ้าหาใช่ว่าตายไม่ได้ และไม่ได้คงอยู่ตลอดกาลเสมอไป”
“เช่นนั้นเลย!” สีหน้านายกองบ้าระห่ำ เห็นได้ชัดว่าเขานึกถึงภาพฉากนี้ไว้ในใจนานแล้ว และตระเตรียมหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อการนี้ ตอนนี้มันกำลังจะเป็นความจริง เขาจึงพลุ่งพล่าน
“ศิษย์พี่ใหญ่ วิธีการเช่นนี้ ท่านน่าจะไม่ได้มีแค่เป้าหมายเดียวกระมัง” สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด มองไปทางนายกอง
“ยังเป็นศิษย์น้องเล็กที่เข้าใจข้า ฮ่าๆ ที่ข้าทำเช่นนี้ มีอยู่สามเป้าหมาย!”
“อันดับแรก ข้าจะกระตุ้นเจตจำนงในการต่อสู้ของสรรพชีวิตแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา พวกเราจะกลืนกินชื่อหมู่ หากคิดจะทำลำพังแค่พลังของพวกเรานั้นยากเกินไป จึงจำเป็นต้องอาศัยพลังของสรรพชีวิต ทำให้สะเก็ดไฟลุกไหม้ลามทุ่งได้!
“อย่างที่สอง มีเพียงทำข้อหนึ่งให้สำเร็จเท่านั้น ข้าถึงสามารถค้นหากลุ่มพลังต้นกำเนิดที่มาจากสรรพชีวิตในสถานที่ต้นกำเนิดภาพเงาเคลื่อนไหวหรือก็คือที่นี่ได้ พลังต้นกำเนิดนี้มีประโยชน์ยิ่งนัก อีกเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง!”
“ส่วนอย่างที่สาม หลังจากที่สรรพชีวิตจดจำภาพนี้ได้ ก็เท่ากับเป็นการปลุกเมล็ดพันธุ์หนึ่งไว้ในใจทุกคน! และเรื่องที่ชื่อหมู่เคยถูกสังหาร ก็เป็นความทรงจำหนึ่งที่เจ็บปวดที่สุดในใจชื่อหมู่!
“อาชิงน้อย ก่อนหน้านี้เจ้าเคยสัมผัสเทพเจ้ามาแล้ว เจ้าน่าจะเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นคนและความเป็นเทพดีกว่าใคร และน่าจะรู้ว่าทำไมชื่อหมู่จึงหิวโหย เพราะว่าชื่อหมู่…ไม่สมบูรณ์”
นายกองเลียริมฝีปาก มองไปทางสวี่ชิง ความคุ้มคลั่งในแววตาตอนนี้เข้มข้นถึงขีดสุด กระทั่งใบหน้าที่ปรากฏในดวงตา ยังมีความหิวโหยเลาๆ คล้ายกำลังปะทุขึ้นมาในตัวนายกองอย่างไม่อาจควบคุม
สวี่ชิงพยักหน้า เอ่ยเสียงเรียบ
“ข้าเคยสัมผัสมาก่อน และเดาว่าชื่อหมู่อาจไปถึงสมดุลระดับหนึ่ง แต่ว่ากันโดยสรุป องค์ท่านไม่สมบูรณ์จริงๆ ไม่เช่นนั้น หากความเป็นมนุษย์ถูกลบไปจนหมดแล้ว องค์ท่านก็จะไม่มีความรู้สึกหิวโหยอีก”
“ดังนั้น ที่พวกเราจะทำคือทำลายสมดุลนั้น!
“ข้าจะใช้วิธีบวงสรวง หลังจากที่บันทึกเงาเคลื่อนไหวสักพัก เสี้ยวขณะที่ชื่อหมู่มาถึง ก็ส่งเข้าไปในจิตใต้สำนึกขององค์ท่าน ใช้ความทรงจำที่เจ็บปวดที่สุดขององค์ท่าน กระตุ้นความเป็นมนุษย์ขององค์ท่านออกมา!
“ถึงอย่างไรความรู้สึกก็เป็นการแสดงออกอย่างหนึ่งของความเป็นมนุษย์! ใช้สิ่งนี้เป็นกระดานหก ทำให้ความเป็นมนุษย์และความเป็นเทพขององค์ท่านสับสนวุ่นวาย
“ถึงตอนนั้น ชื่อหมู่ก็จะคุ้มคลั่ง และสมดุลขององค์ท่านก็จะถูกทำลาย องค์ท่านก็จะมีช่องโหว่!
“และนี่ เป็นเพียงหนึ่งในขั้นตอนของวิธีการมากมายของข้า หลังจากที่สำเร็จทุกขั้นตอน บางที…ชื่อหมู่อาจจะถูกสังหารอีกครั้งจริงๆ!
“เป็นอย่างไรอาชิงน้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้า เก่งมากเลยใช่หรือไม่!” นายกองได้ใจ
สวี่ชิงชื่นชมด้วยใจจริง ประสานหมัดคารวะ
เห็นเช่นนี้ นายกองก็ยิ่งได้ใจ หัวเราะดังลั่น สาวเท้าไปหาหนิงเหยียนทางนั้น ยกมือตีหนิงเหยียนกับหลี่โหยวเฝ่ยที่ต่างกระอักเลือดออกมาก็ค่อยๆ ได้สติท่ามกลางเสียงอื้ออึง
“หนิงหนิงน้อย นี่คือบทของเจ้า ให้เวลาเจ้าหนึ่งก้านธูป จำให้ได้ทั้งหมดล่ะ ตัวละครที่เจ้าต้องแสดง…ก็คือเจ้าเหนือหัวของแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา!”
เมื่อหนิงเหยียนได้ยินก็ร่างสั่นเทิ้ม ส่วนอู๋เจี้ยนอูทางนั้นก็ร้อนรนขึ้นมา รีบแหวกเหล่าทายาทเบื้องหน้าหน้า มองไปทางนายกองอย่างคาดหวัง
นายกองยกมือขึ้นโบก แผ่นหยกชิ้นหนึ่งก็พุ่งไปหาอู๋เจี้ยนอู
“เจี้ยนเจี้ยนน้อย เจ้าเป็นสหายรักของข้า มีหรือที่ข้าจะไม่รู้ความฝันของเจ้า วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าสมหวัง ที่เจ้าต้องแสดงคือ…จักรพรรดิโบราณเสวียนโยว!”
อู๋เจี้ยนอูตื่นเต้น นี่เป็นความปรารถนาทั้งชีวิตของเขา แม้จะทำให้เป็นจริงไม่ได้ แต่หลังจากแสดงละครจบก็ถือว่ามีความหมายกับเขาอย่างยิ่ง โดยเฉพาะตอนนึกภาพว่าจะมีผู้ชมมากมายถึงเพียงนั้น ในใจอู๋เจี้ยนอูก็ยิ่งฮึกเหิมถึงขีดสุด
นายกองตบบ่าอู๋เจี้ยนอู หลังจากส่งสายตาให้กำลังใจแล้ว ก็หันไปมองโยวจิง
“เจ้าก้น…พี่โยว ตามที่พวกเราสัญญากันไว้ก่อนหน้านี้ เจ้ายินดีจะเล่นเป็นชื่อหมู่”
“เอามาสิ!”
นายกองรีบส่งแผ่นหยกไปให้ถึงมือโยวจิงอย่างนอบน้อม จากนั้นก็มองไปทางสวี่ชิง ขยิบตาให้ ยิ้มออกมา
“อาชิงน้อย ตัวละครของเจ้าค่อนข้างพิเศษ ที่เจ้าจะแสดงไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นเลือด…ใช้อำนาจของเจ้าเป็นเลือดที่พวยพุ่งออกมาตอนชื่อหมู่ถูกสังหาร ไม่มีอะไรสมจริงไปกว่านี้แล้ว”
สวี่ชิงสีหน้าเรียบนิ่ง มองไปทางนายกอง
นายกองกระแอมไป
“แต่เห็นแก่เจ้าที่เป็นศิษย์น้องเล็กของข้า ข้าจะให้เจ้าแสดงเพิ่มอีกบทหนึ่ง นั่นคือ…เซียนเพชฌฆาต เป็นอย่างไร”