ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 640 ประวัติศาสตร์ที่แท้จริง
บทที่ 640 ประวัติศาสตร์ที่แท้จริง
ต้นกำเนิดลม มาจากสวี่ชิงซึ่งนั่งขัดสมาธิไม่ขยับที่อยู่ไกลออกไป
เสี้ยวขณะนี้ แท่นพิธีลมโหมเมฆตลบม้วน อัสนีเลื่อนลั่นกัมปนาท สีหน้าผู้คนล้วนหวั่นวิตก
กระทั่งคลื่นวนบนฟากฟ้า ก็ยิ่งส่งเสียงครืนครันขึ้นมา
พริบตานั้นเมื่อครู่พวกเขาสัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นคลุมเครือวูบหนึ่งที่มาพร้อมกับสายลม คล้ายกับแผ่มาจากร่างสวี่ชิง โลกทั้งใบก็สั่นไหวไปตามกัน
ผืนดินสั่นสะเทือน เทือกเขาที่ลาดชันขึ้นไปราวดาบแหลมคมสูงเสียดฟ้านั้นก็สั่นไหวไปด้วย เศษหินจำนวนมากร่วงลงมาชนด้านในหุบเขาเสียงดังสะท้อน
“เกิดอะไรขึ้น!”
หนิงเหยียนสูดลมหายใจ สีหน้าหวาดผวา
นายกองทางนั้นก็เบิกตากว้าง มองสวี่ชิงที่หลับตานั่งสมาธิอยู่ไกลๆ ด้วยใจที่โหมซัด
รัฐทายาทหันหน้าไปมองสวี่ชิงทันที สีหน้าเปลี่ยนไป
“นี่มัน…”
ในพริบตาพวกองค์หญิงหมิงเหมยก็มองไปเช่นกัน ดวงตาฉายประกายประหลาด
เจ้าแปดสั่นไปทั้งตัว พึมพำเสียงหลง
“??? สัมผัสรับรู้ออกมาได้จริงหรือ”
ขณะที่ทุกคนตกตะลึงในระดับที่ต่างกัน จิตสังหารที่เรียกได้ว่าสุดยอดวูบหนึ่ง กำลังก่อตัวขึ้นณ ที่แห่งนี้ช้าๆ!
มันเป็นเพียงแค่แบบจำลองเท่านั้น ยังต้องใช้เวลาถึงจะสมบูรณ์
แต่เพียงแค่นี้ก็ทำให้จิตใจของทุกคนโหมคลื่นสูงหมื่นจั้งแล้ว โดยเฉพาะรัฐทายาท เขามองสวี่ชิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ไกลๆ ทั้งๆ ที่เขาควรจะดีใจเพราะระลอกคลื่นนี้ อย่างไรสวี่ชิงก็ทำเกือบจะสำเร็จด้วยการชี้แนะของเขา
แต่เขาก็อดรู้สึกไร้ซึ่งกำลังขึ้นมาแวบหนึ่งไม่ได้
องค์หญิงหมิงเหมยก็มองมาที่เขา ทั้งสองสบตากัน ต่างฝ่ายต่างเงียบนิ่ง
…
ไม่รู้ว่าสายลมมีอายุหรือไม่
หากไม่มี มันจะบันทึกร่องรอยการมีอยู่ของสรรพสิ่งในกาลเวลาได้อย่างไร
หากมี แล้วแยกแยะได้อย่างไร
คำถามนี้ น้อยคนนักที่จะตอบได้
บางทีอายุของสายลม ตัดสินจากเรื่องราวที่มันเห็นทั้งหมด จึงมีบรรพกาลกาลและปัจจุบันขึ้นมา
ยามนี้ ในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา สายลมพัดผ่านสรรพชีวิต ขณะที่สั่นคลอนจิตใจของสรรพสิ่ง ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดก็กำลังเคลื่อนไหว
ภาพละครฉากแรก สำหรับตำหนักพระจันทร์สีชาดแล้ว เป็นการดูหมิ่นอย่างร้ายแรง!
พวกเขาต้องหาจุดต้นกำเนิด ยับยั้งทุกอย่างนี้
ดังนั้นผู้บำเพ็ญตำหนักเทพจำนวนมหาศาล จึงพุ่งหวีดหวิวไปทั่วสารทิศ
แต่เห็นได้ชัดว่าการจะหาแท่นพิธีที่ซ่อนอยู่ในทะเลทรายครามให้พบในเวลาสั้นๆ นั้นเป็นไปไม่ได้
และสายลมบรรพกาล ตอนที่พัดผ่านแท่นพิธี โหมจิตใจทุกคนจนเกิดคลื่นขนาดใหญ่ยิ่งกว่าเดิม
เพียงแต่ละครฉากที่สองนั้นเริ่มเปิดม่านแล้ว ไม่สามารถหยุดทุกอย่างได้ ต่อให้พวกหนิงเหยียนจะใจสั่นสะท้าน แต่ก็ทำได้แค่กัดฟันแสดงต่อ
ดังนั้น การสั่นไหวของฟ้าดินที่เกิดจากสายลมบรรพกาลพัดโหมก็กลายเป็นพื้นหลังของภาพ ส่องสะท้อนเข้าไปในสมองของสรรพชีวิตแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราผ่านกระจกเนตรสวรรค์
ละครใหญ่ฉากนี้ เริ่มดำเนินต่อไป
เรื่องราวที่สรรพชีวิตเห็นเกิดร่องรอยการผ่านห้วงเวลามาเนิ่นนานด้วยเหตุนี้โดยไม่รู้ตัว เกิดเจตนาสังหารสมจริงมากขึ้นสองสามส่วน
ในภาพ สิ่งแรกที่ปรากฏคือแท่นพิธีแห่งหนึ่ง
แท่นพิธีนี้ใหญ่โตมโหฬาร ขณะที่ดูกว้างใหญ่ไพศาลทรงอำนาจ บนนั้นมีรอยอักขระนับไม่ถ้วนกระจายไปทั่ว บางตัวส่องแสงกะพริบวูบวาบ ล้วนมีดวงตะวันจันทราดวงดารากำลังแตกสลายอยู่ด้านใน
น่าครั่นคร้ามอย่างยิ่ง
และกลางแท่นพิธีนี้ ชื่อหมู่ที่ถูกชายกำยำในชุดเกราะทองผู้หนึ่งกดเอาไว้โดยอาศัยดวงดาราแตกสลายนับไม่ถ้วนผนึก คุกเข่าอยู่ตรงนั้น
นางอยากจะดิ้นรน แต่ก็ไม่เป็นผล
ชายกำยำเกราะทองสวมหน้ากาก มองไม่เห็นสีหน้า แต่เขายืนอยู่ตรงนั้น อกผายไหล่ผึ่ง เปี่ยมไปด้วยความเยือกเย็น มือข้างหนึ่งกดที่ศรษของชื่อหมู่ มืออีกข้างจับดาบยาวที่ปลายแหลมลากกับพื้น
ดาบเล่มนี้เปล่งแสงเย็นเยียบออกมา แผ่คลื่นพลังน่าครั่นคร้าม จำแลงเงามายาพันจั้งกลางอากาศ น่าสยดสยอง
นี่คือเซียนเพชฌฆาตซึ่งรับหน้าที่ประหาร
ส่วนด้านนอกแท่นพิธี หนิงเหยียนที่รับบทเจ้าเหนือหัวกำลังมองท้องฟ้า มองเห็นร่างเงานับไม่ถ้วนอยู่รอบด้านรางๆ ล้วนกำลังทำความเคารพเขา
พวกเขากำลังรอ รอโองการที่จักรพรรดิโบราณรับสั่งลงมา
ภาพเคร่งขรึมจริงจัง จิตสังหารเข้มข้นยิ่ง ส่องสะท้อนเข้าไปในสมองของสรรพชีวิตอย่างชัดเจน ทำให้ทุกคนในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราล้วนใจสั่นสะท้าน
เนื่องจากจิตสังหารในภาพนี้น่าตกตะลึงเกินไป ทำให้สรรพชีวิตทั้งหมดสัมผัสได้ชัดเจนยิ่งผ่านภาพนั้น
แม้พวกเขาส่วนใหญ่จะรู้สึกสงสัย แต่ตอนนี้ ความสมจริงของจิตสังหารทำให้ผู้แข็งแกร่งเผ่าต่างๆ ที่สงสัยเหล่านั้นสั่นไหวมากขึ้นเรื่อยๆ
ยิ่งพลังบำเพ็ญสูงเท่าไร ก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ การสัมผัสรับรู้จิตสังหารจะปรากฏการตอบสนองที่ต่างกันตามระดับความเฉียบคมของประสาทสัมผัส
“การถ่ายทอดจิตสังหารเช่นนี้…”
“สัมผัสเพียงนิดเดียวก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวน!”
“หรือ…ภาพนี้เป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ”
สรรพชีวิตด้านนอกใจสั่นสะท้าน โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดก็พรั่นพรึงกว่าเดิมในพริบตา ยิ่งออกค้นหาพื้นที่ที่มีร่องรอยทุกอย่างนี้
เพียงแต่คนเหล่านี้ไม่รู้ว่านักแสดงในภาพเหล่านี้ก็ถูกสั่นสะเทือนไปพร้อมๆ กัน
หนิงเหยียนพยายามข่มความกระวนกระวายของตัวเอง ไม่หันไปมองจุดที่สวี่ชิงอยู่ แต่เขาก็สัมผัสได้อย่างแรงกล้าว่าจิตสังหารรอบๆ น่าตื่นตะลึงขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ทำให้เขาหวาดกลัวจนตัวสั่น ความรู้สึกวิกฤตเป็นตายก็กำลังปะทุขึ้นมาเช่นกัน
นายกองทางนั้นก็สับสนระคนแปลกใจ ส่วนชื่อหมู่ที่รับบทโดยโยวจิง การสั่นเทาของนางนั้นไม่ใช่ล้วนเรื่องหลอกลวง
และสายลมที่นี่ก็กรรโชกแรงขึ้นจริงๆ
จิตสังหารด้านในยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งส่งผลกระทบกับกฎเกณฑ์ของที่นี่ ปรากฏเกล็ดหิมะล่องลอยระหว่างฟ้าดิน
สีหน้ารัฐทายาทกับองค์หญิงหมิงเหมยเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม พวกเขาไม่สนใจการแสดงนี้แล้ว ยามนี้สายตาจับจ้องอยู่ที่สวี่ชิง
สวี่ชิงยังคงสัมผัสรับรู้อยู่
เขาใช้แสงประกายอรุณของตัวเองค้นหาและลอกเลียนอยู่ตลอด ไล่ตามระลอกคลื่นนั้นที่กะพริบวูบวาบแล้วหายไปในภาพวาดน้ำหมึก
จวบจนเสี้ยวขณะเมื่อครู่นี้ ในที่สุดเขาก็หาร่องรอยในส่วนลึกทะเลความรู้สึกน้ำหมึกอันคลุมเครือจนเจอ
แสงประกายอรุณ ผสานเข้าไป
จากการลอกเลียนแบบ จากการสัมผัสรับรู้ จิตใจของเขาค่อยๆ โหมเสียงครืนครันน่าครั่นคร้าม กระทั่งเขาได้ยินเสียงกระซิบที่เคยได้ยินไม่ชัดขึ้นที่ข้างหูอีกครั้ง
คลื่นระลอกนั้นคือต้นกำเนิดของเสียงกระซิบ และเป็นต้นกำเนิดของสายลม
ตอนนี้ เปลี่ยนเป็นชัดเจนแล้ว!
“สังหาร!”
“สังหาร!!”
“สังหาร!!!”
เสียงนับไม่ถ้วนดังพร้อมกัน คำรามออกมาคำหนึ่ง ดังสนั่นหวั่นไหวในสมองสวี่ชิงชั่วพริบตานี้
ใจเขาสั่นสะท้าน น้ำหมึกในทะเลความรู้สึกโหมคลื่นกระหน่ำ
สั่นฟ้าสะเทือนดิน
สายลมบรรพกาลกรรโชกแรงขึ้น ใช้ร่างกายของสวี่ชิงเป็นช่องทางในการปลดปล่อยออกสู่ภายนอก หวีดหวิวอยู่เหนือซากแท่นพิธี คลุ้มคลั่งในสมองของสรรพชีวิตผ่านกระจกเนตรสวรรค์
ทำให้สรรพชีวิตรู้สึกหวาดผวา ผู้แข็งแกร่งเผ่าต่างๆ ด้านนอกส่วนใหญ่ใจเต้นโครมคราม มีบางตนที่ผุดลุกขึ้นยืนจากท่านั่งสมาธิด้วยความหวาดกลัว ขนลุกชูชัน
ในสัมผัสรับรู้ของพวกเขา จิตสังหารจากภาพในสมองยามนี้ราวกับกลายเป็นมารร้ายจากบรรพกาลกำลังระเบิดพลังอยู่เบื้องหน้าพวกเขา
สมจริงอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์ยิ่งเป็นเช่นนี้ รองเจ้าตำหนักลึกลับสองสามตนในนั้นพากันหน้าเปลี่ยนสีในที่ซ่อนของตัวเอง
สีหน้าพวกเขาเคร่งขรึม ที่สัมผัสการก่อร่างของภาพนี้ได้ก่อนหน้านี้เป็นจากการอาศัยพลังของตำหนักขบถจันทร์ เดิมพวกเขาก็สับสนระคนแปลกใจอยู่แล้ว
แม้พวกเขาส่วนใหญ่จะสงสัยการปรากฏของภาพฉากแรก แต่ในใจก็ให้ความสำคัญมาก
และตอนนี้จิตสังหารในภาพฉากที่สอง สั่นสะเทือนจิตใจพวกเขาอย่างรุนแรง
“นี่เรื่องจริงหรือ!”
กระทั่งในตำหนักเทพพระจันทร์สีชาด กลิ่นอายน่าครั่นคร้ามวูบหนึ่งก็ปะทุขึ้นในตอนนี้เช่นกัน
หลังจากที่บุตรเทวะปิดด่าน จักรพรรดิตำหนักที่รับผิดชอบทุกสิ่งอย่างก็เดินออกมา สีหน้าเขาเคร่งขรึมอย่างมาก ต่อให้เป็นเขา ก็ยังสัมผัสได้ถึงความอกสั่นขวัญแขวน
เดิมเขาคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่พวกรัฐทายาททำ แต่ตอนนี้…เขาไม่แน่ใจ
ขณะเดียวกันนี้ ในใจพวกหนิงเหยียนก็ปั่นป่วนอย่างยิ่ง ส่วนอู๋เจี้ยนอูที่ต้องออกมาในฉากนี้ตามบทก็ชะงักฝีเท้า ตัวแข็งทื่อไปเล็กน้อย
แต่เมื่อคิดว่าผู้ชมทั้งหมดกำลังมองมา อู๋เจี้ยนอูจึงบังคับทำใจให้สงบลง สวมชุดคลุมจักรพรรดิ สวมกวานจักรพรรดิ ร่างเงาค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนฟากฟ้า จ้องมองพื้นดิน สบตากับเจ้าเหนือหัวที่รับบทโดยหนิงเหยียน
ยามนี้ ไม่ต้องให้เขาสำแดงพลังอำนาจอะไร แผ่นดินสะเทือนเขาสั่นคลอน ท้องนภาครืนครัน จิตสังหารที่ซัดโหมทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยนไป กลายเป็นภาพฉากที่ธรรมชาติสมจริง
ก่อนหน้านี้ ฉากเป็นงานที่พวกรัฐทายาทจัดการ แต่ตอนนี้พวกเขาไม่ได้สนใจละครฉากนี้แล้ว มองไปทางสวี่ชิงกันหมด
“ทำไมเขายังไม่ตื่นอีก” รัฐทายาทสงสัยในใจ แต่ก็เพราะเข้าใจในตัวสวี่ชิง ต่อให้เขาไม่พูดประโยคนี้ออกไป เขาก็เชื่อว่าเจ้าแปดจะพูดออกมา
“เจ้าเด็กคนนี้ ทำไมยังไม่ตื่นอีก เขาสัมผัสรับรู้สำเร็จแล้วนี่” เจ้าแปดเป็นอย่างที่รัฐทายาทคาดไว้จริงๆ ตอนนี้เบิกตากว้าง พึมพำออกมาเสียงต่ำทุ้ม
“เขากำลังสัมผัสรับรู้อยู่ จิตสังหาร ไม่ใช่ขีดจำกัดของเขา”
หลังจากได้ยินคำพูดของเจ้าแปด รัฐทายาทก็เอ่ยเสียงเรียบ
องค์หญิงหมิงเหมยพยักหน้าเล็กๆ
เจ้าแปดยิ้มเย็น มองไปทางพวกเขา
“ทำไมพวกท่านถึงทำหน้าเหมือนรู้อยู่แล้วเล่าขอรับ ที่พวกท่านพูดก่อนหน้านี้ไม่ใช่เช่นนี้เสียหน่อย เกินไปแล้วนะ คิดว่าข้าโง่หรือไร”
องค์หญิงหมิงเหมยสีหน้าไร้อารมณ์ ยกมือขึ้นโบก ร่างของเจ้าแปดพลันมีเสียงดังปัง ถูกพลังมหาศาลวูบหนึ่งซัดกระเด็นไปไกล
“เจ้าแปดอาจจะไม่ได้ถูกตีจนสมองพัง แต่ก่อนที่จะถูกตีมันก็พังไปแล้ว”
รัฐทายาทเห็นด้วย น้องหญิงห้าก็เห็นด้วยเช่นกัน สายตาตอนนี้กำลังกวาดผ่านร่างสวี่ชิง เอ่ยเสียงต่ำ
“ข้าคาดหวังมาก หลังจากที่เขาสัมผัสรับรู้จิตสังหารของแท่นประหารเทพเจ้า จากนี้จะสัมผัสรับรู้ไปได้ถึงระดับใด…”
ขณะเดียวกัน ขณะที่น้ำหมึกในทะเลความรู้สึกของสวี่ชิงเดือดพล่านอย่างรุนแรง จิตสังหารด้านในก็แผ่ไปทั่วร่างสวี่ชิงเช่นกัน
สวี่ชิงสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง รู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงเป็นระลอก
แต่เขาก็ไม่คิดที่จะลืมตาทั้งสองขึ้นตอนนี้ ในสมองก็ไม่คิดค้นหาต้นกำเนิดความเจ็บปวด เขายังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นอย่างใจจดใจจ่อ
เขากำลังรอภาพวาดน้ำหมึกปรากฏขึ้นในทะเลความรู้สึก!
นี่ต่างหากที่เป็นเป้าหมายของเขา
ถ้าเขาตามรอยคลื่นพลังจิตสังหารวูบนั้นได้แล้วปล่อยออกมา เช่นนั้นภาพวาด…ก็จะไม่ถูกทำลายอีก
และตอนนี้ น้ำหมึกก็ผสานกับทั้งเจ็ดสี ค่อยๆ วาดเค้าโครงกลายเป็นภาพวาดช้าๆ…
ภาพบนท้องฟ้า แยกจากหนึ่งเป็นสอง ส่วนสีขาวกลายเป็นสีคราม ส่วนสีดำกลายเป็นสีแดง
บนม่านฟ้าสีคราม ยักษ์ร่างสูงเสียดฟ้าในชุดคลุมจักรพรรดิยืนตระหง่าน เมฆมงคลลอยบดบังหน้าตา แต่กลับบดบังความเผด็จการซึ่งสามารถสะกดบรรพกาลที่แผ่ออกมาจากร่างเขาไม่ได้
ประหนึ่งที่ที่ดวงตาจับจ้องเวลาเดินถอยหลัง สรรพสิ่งที่สัมผัสลมหายใจหวนสู่ความพินาศ
บนม่านฟ้าสีแดงมีร่างเงาทรงอำนาจร่างหนึ่งเดี๋ยวชัดเดี๋ยวเลือนเช่นกัน นั่นเป็นร่างหญิงสาวในชุดกระโปรงสีแดงร่างหนึ่ง หน้าตาดาษดื่น ดวงตาทั้งสองลึกล้ำ แฝงท้องฟ้าดาราเอาไว้ เห็นแม่น้ำดวงดาราก่อกำเนิดด้านใน และเห็นระบบดวงดาราแตกดับได้
ใต้กระโปรงของนางไม่มีขา ตรงนั้นมีรยางค์มากมายนับไม่ถ้วนแผ่ปกคลุมบนม่านฟ้าสีแดง ทุกรยางค์ล้วนห่อหุ้มดวงดาราไว้หนึ่งดวง
คลื่นพลังความเป็นเทพ โหมขึ้นมาจากร่างของนาง
“หลี่จื้อฮว่า ข้าไม่คิดเลย ว่าจะเป็นเจ้า…ที่มาขวางไม่ให้ข้ากลายเป็นเทพ”
“ลูกพี่ป่วย” ในม่านฟ้าสีคราม ร่างสูงใหญ่นั้นเอ่ยออกมาเสียงแหบพร่า
หญิงสาวเงียบนิ่ง ครู่ต่อมาก็พึมพำขึ้นเสียงแผ่ว
“เจ้ายังจำบทเพลงของข้าได้หรือไม่”
จากเสียงพึมพำที่ดังขึ้น บทเพลงท่อนหนึ่งก็ดังก้องไปทั้งฟ้าดิน
“มีคนผันตนให้กลายเป็นอิสระ ฝ่าปะทะลมคลื่นไล่ตามหา
ห้อตะบึงมุ่งหน้าสู่จันทร์สีชาดห้วงสมุทร เหยียบย่างไปทั่วแผ่นดินไพศาล
ผู้คนสร้างมโนภาพวัฏสงสาร สรรพสิ่งล้วนกินเลือดเนื้อเป็นอาหาร
แสงอาทิตย์ร้องแรงแผดเผาทำร้ายดวงตา แต่ไม่อาจฝังกลบความฝันได้
ข้าเงยหน้ามองไปยังผืนนภาเวิ้งว้าง เหนือจันทร์สีชาดนั่น… ข้ากำลังโบยบิน!”