ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 654 อาณาจักรของเทพเจ้า
บทที่ 654 อาณาจักรของเทพเจ้า
บางที ใช้คำนี้เหมือนว่าจะไม่เหมาะ
เพราะในเสี้ยวขณะนี้ ความทรงจำในอดีตเหล่านั้นปรากฏออกมาจากในภาพมายาจริงๆ ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นของจริงขึ้นมา
และภาพจริงเหล่านี้ ทันทีที่พวกมันปรากฏขึ้นก็สามารถแทนที่ตอนนี้
เวลา ในเสี้ยวขณะนี้คล้ายว่าเปลี่ยนมายากที่จะจับต้อง มันไม่ไหลไปข้างหน้าอีกต่อไป และไม่ได้ไหลย้อนทวนกลับเช่นกัน แต่แปรเปลี่ยนเป็นคลื่นวนลูกหนึ่ง
ในคลื่นวนนี้ มีอดีตของสวี่ชิง มีปัจจุบันของเขา และมีอนาคต
เพียงแต่ภาพอนาคตรางเลือนไปหมด มองไม่ชัดเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้เมื่อสอดประสานกันยิ่งเป็นเช่นนั้น
และคำพูดในเวลานี้ก็แปรเปลี่ยนมาไม่คุ้นเคยแล้ว
เหมือนว่าไม่มีความหมายในตัวมันเองแล้ว!
บางที เวลาสองคำนี้เป็นเพียงแค่สิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญา เพื่อที่จะทำให้ตัวเองง่ายต่อการเข้าใจ จึงตั้งนิยามให้มัน
ตัวมันที่แท้จริง ความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องมีนิยามใดๆ คำนิยามทุกอย่าง ก็ใช่ว่าจะสามารถแสดงออกมาได้อย่างสมบูรณ์ทั้งหมด
สวี่ชิงจิตใจราวคลื่นกระหน่ำซัด ความรู้แปลกประหลาดนี้ทะลักเข้ามาในสมองของเขาไม่หยุด
กลับตาลปัตรทุกอย่าง
และโลกใบนี้ อยู่ข้างหน้าสวี่ชิงก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
ท่ามกลางความรางเลือน เขาเห็นเทพเจ้าที่ไม่อาจใช้คำพูดมาพรรณาได้แต่ละองค์ๆ กำลังเดินอยู่ในความว่างเปล่า องค์แล้วองค์เล่า ดึงคลื่นวนที่ถูกนิยามว่าเวลาออกไป
รูปร่างของเหล่าองค์ท่านแตกต่างกันไป สวี่ชิงมองเห็นได้ แต่ไม่สามารถใช้คำพูดมาบรรยายประกอบ คล้ายว่าบรรยายการกระทำเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ได้รับอนุญาต
เขาเห็นดวงดาวนับไม่ถ้วนกำลังระเบิดหายไป และเห็นดวงอาทิตย์ดวงจันทร์มากมายกำลังก่อตัวขึ้น
แต่สุดท้ายกลับถูกคว้าเอาไป ถูกองค์ท่านเอามาไว้บนร่าง กลายเป็นลวดลาย
ส่วนดวงดาวก็เช่นกัน สวี่ชิงเห็นเทพเจ้าองค์หนึ่งถือแปรงที่ประกอบขึ้นจากดวงดาว กำลังลบมันทิ้งไป
จุดที่ลบ ดวงดาวขยายใหญ่ขึ้น
ภาพนี้เหลือเชื่อนัก เกินจริงนัก
แต่เสี้ยวขณะต่อมา ทุกอย่างก็หายไปอีกครั้ง เปลี่ยนมารางเลือน เปลี่ยนรูปร่างหน้าตา เหมือนว่าทุกอย่างก่อนหน้านี้ ล้วนเป็นสิ่งที่สวี่ชิงคิดเองทั้งหมด ดังนั้นจึงปรากฏขึ้นมา
ยากที่จะเข้าใจ เหลือเชื่อยิ่งนัก
ในทะเลความรู้สึกของสวี่ชิงกำลังสั่นสะท้าน ส่งเสียงระเบิดครืนครานในเสี้ยวขณะนี้ ภาพทั้งหมดทำให้เขาไม่อาจเชื่อได้
กระทั่งว่าเขายังเห็นจักรพรรดิสวมชุดจักรพรรดิคนแล้วคนเล่ากำลังร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด ท่ามกลางการดิ้นรนพยายามที่จะต่อต้าน แต่ต่อหน้าเทพเจ้า ทุกอย่างเหมือนไร้ซึ่งความหมาย
และเสียงพึมพำที่มาจากเสี้ยวหน้าเทพเจ้า คาถาประโยคนั้นเหมือนเปิดท้องฟ้าที่แปลกประหลากพิศดารออก
ที่นี่…
เวลาที่เข้าใจ ในใจของเทพเจ้าไม่ใช่ความหมายนั้น
มิติที่เข้าใจ ภายใต้การสัมผัสรับรู้ของเทพเจ้า ไม่ใช่นัยยะนั้น
ความรู้ที่มีอยู่ ในสายตาของเทพเจ้า อาจจะไม่ถูกต้อง
กระทั่งว่าสิ่งที่เห็นก็เป็นสิ่งที่เทพเจ้าทำให้เห็นในขณะที่ไม่ได้ตั้งใจ
เหตุที่ไม่ได้ตั้งใจ เพราะเหล่าองค์ท่านไม่มีทางตั้งใจไปทำเช่นนั้น
ทุกอย่างทำให้ความรู้ของสวี่ชิงพังทลาย
กระทั่งว่าเสี้ยวขณะต่อมา เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา เหมือนขุนเขายักษ์ลูกหนึ่ง บดบังทุกอย่างจากโลกภายนอกให้เขา อำพรางความปั่นป่วนวุ่นวายทุกอย่าง สกัดกั้นสายตาทั้งหมด
และสัมผัสรับรู้ของสวี่ชิง ในที่สุดก็ฟื้นคืนกลับมาในเสี้ยวขณะนี้
ร่างของเขาส่งเสียงระเบิดร่วงลงพื้น ระลอกคลื่นในใจและการซัดโหมของความรู้ความเข้าใจ แปรเปลี่ยนเป็นคลื่นลูกใหญ่ระลอกแล้วระลอกเล่า โจมตีจิตใจของเขาไม่หยุด ทำให้เขายืนได้ไม่มั่นคง
ขณะที่โซเซถอยหลัง สวี่ชิงไม่อาจสะกดกลั้นไว้ได้ กระอักเลือดสดๆ ออกมา
สีหน้าจองเขาเปลี่ยนแปลงไม่หยุด พลันเงยหน้าขึ้น มองไปทางองค์หญิงหมิงเหมยที่ขวางอยู่ข้างหน้าตน
“สัมผัสได้หรือไม่”
องค์หญิงหมิงเหมยหันมา ในดวงตามีรอยลึกซึ้ง จ้องมองสวี่ชิง
สวี่ชิงลมหายใจหอบถี่ พายุในใจสะท้านเลื่อนลั่น สายฟ้ามหาศาลเหมือนกำลังระเบิด ในดวงตาฉายแววตื่นกลัวรุนแรง จวบจนกระทั่งหลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาถึงพอจะฟื้นคืนกลับมาได้เล็กน้อย
พยักหน้าอย่างหนักแน่น
“เหมือนว่าองค์ท่านกำลังพูดอะไร แล้วก็ข้ารู้สึกว่าตัวเองมองเห็นแล้ว แต่ก็เหมือนว่าไม่เห็น ทั้งๆ ที่ข้าจำได้ แต่ก็เหมือนลืมไปอีกแล้ว”
“ภาพทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกลับตาลปัตรหมด”
สวี่ชิงร่างสั่นสะท้าน ความหนาวเหน็บในยามเด็ก จากประสบการณ์ครั้งนี้ก็แผ่มาทั่วร่างอีกครั้ง เขารู้สึกหนาวมากๆ หนาวไปจนถึงกระดูก แช่แข็งวิญญาณ…
“องค์ท่านกำลังนับเวลาถอยหลัง”
องค์หญิงหมิงเหมยเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“ฝึกบำเพ็ญ หลังจากที่เสี้ยวหน้าเทพเจ้ามาเยือน ความจริงก็เป็นความเจ็บปวดที่ไร้ทางแก้อย่างหนึ่ง และเป็นเส้นทางที่ไม่อาจย้อนกลับได้”
“โลกใบนี้ ไอพลังประหลาดมีอยู่ทุกหนแห่ง บ้างสัมผัสรับรู้ได้ บ้างไม่อาจมองได้”
“พวกมันรุกรานสรรพสิ่งในโลก ทำให้รูปร่างลักษณะและคุณสมบัติภายในเปลี่ยนไป บ้างกลายเป็นเถ้าธุลี บ้างกลายเป็นต้นกำเนิดแห่งหายนะ”
“และคนทั่วไปทั้งหลาย…ก็ยิ่งเป็นเช่นนั้นขั้นตอนของชีวิตถูกเปลี่ยน เปลี่ยนไปเป็นจำต้องคุ้นชิน”
“สำหรับผู้บำเพ็ญแล้ว เหตุการณ์นี้ยิ่งสาหัส อยู่ระดับต่ำจะเกิดการกลายพันธุ์ เมื่อมาถึงจุดวิกฤตไม่ตาย ก็กลายเป็นหนึ่งในอสูรกลายพันธุ์”
“มีเพียงระดับกลางถึงจะมีความสุขที่สุด ในตอนนี้ทุกคนจะคิดว่าสามารถควบคุมไอพลังประหลาดได้ สามารถเมินได้ แต่ความจริงแล้ว นั่นเป็นเพราะสิ่งขวางกั้นของความรู้ความเข้าใจ ไม่เข้าใจถึงได้มีความสุข”
“จวบจนฝึกบำเพ็ญถึงระดับสูง…การขยายกว้างของความรู้จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง”
“เหมือนพวกเรา…ทุกอย่างที่เจ้ามองเห็นเมื่อครู่ เป็นสิ่งที่พวกเราล้วนต้องแบกรับอยู่ตลอดเวลา”
องค์หญิงหมิงเหมยน้ำเสียงสงบนิ่ง แต่เสียงแฝงไว้ด้วยความเหนื่อยล้า รัฐทายาทที่อยู่ข้างๆ ถอนหายใจเบาๆ มองสวี่ชิงพลางส่ายหน้า
“แต่แล้วจะทำอย่างไรได้เล่า”
“และสิ่งเหล่านั้น ความจริงก็อาจจะไม่ใช่เรื่องจริง พูดได้แค่ว่า เป็นเพียงแค่มุมหนึ่งเท่านั้น”
“กระทั่งว่าเสด็จพ่อของข้าตอนนั้นเคยพูดไว้ว่า”
“พวกเราคิดว่าองค์ท่านเป็นผู้มาเยือนจากภายนอก แต่ความจริงแล้วเป็นเช่นนั้นหรือ บางทีในความรู้ความเข้าใจของเหล่าองค์ท่าน พวกเราต่างหาก…ที่มาจากภายนอก”
“ที่นี่เป็นไปได้หรือไม่ว่าเป็น…อาณาจักรของเทพเจ้ามาโดยตลอด”
“คำตอบ ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน”
รัฐทายาทส่ายหน้า
สวี่ชิงเงียบนิ่ง
“เรื่องพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะสามารถขบคิดได้ในตอนนี้ เจ้าสัมผัสสักนิดก็ดีเหมือนกัน จะดีต่อการที่เจ้าจะรู้จักโลกใบนี้ได้ดียิ่งขึ้น”
รัฐทายาทตบไหล่สวี่ชิง
“จงจำไว้ วันหน้า หากเจ้ายังไม่ได้เตรียมพร้อม อย่าได้ใช้เนตรพิษต้องห้ามของเจ้าไปมองเสี้ยวหน้า…องค์ท่านอยู่สูงส่งสูงสุด ไม่อาจจ้องมองได้”
“ไปเถอะ พวกเรากลับบ้านกัน”
สวี่ชิงพยักหน้าเงียบๆ ตามรัฐทายาทและองค์หญิงหมิงเหมยไปจากหุบเขา กลับมายังร้านยา
และประการณ์ที่เขาได้ประสบพบเจอครั้งนี้ หลังจากที่ผ่านไปครึ่งเดือนก็ยังคงปรากฏขึ้นในใจของเขา ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของเขา
เขาไม่ไปขบคิดไม่ได้ ไม่ไปทำความเข้าใจไม่ได้
จวบจนกระทั่งวันหนึ่ง น้ำมันที่นายกองพูดถึงปรากฏออกมา
บนท้องฟ้า ดวงดาวจันทร์สีชาดใกล้แห่นดินใหญ่เซ่นจันทราเข้ามาอีก ดังนั้นเงยหน้ามองไป ก็จะเห็นว่าดาวดวงนี้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ชัดเจนยิ่งขึ้น
และแสงสีแดงบนท้องฟ้าก็ยิ่งเจิดจ้า สะท้อนอยู่บนพื้นก็ทำให้แผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราเปลี่ยนเป็นดินแดนสีชาด
ปฏิกิริยาน้ำขึ้นน้ำลงก็รุนแรงเช่นกัน ภูเขาระเบิดแผ่นดินถล่มอยู่ทุกเวลา เสียงระเบิดครืนครานดังมาจากทั่วทุกทิศอยู่ตลอด
ผู้บำเพ็ญตำหนักเทพที่บูชาชื่อหมู่ทุกคน พลังบำเพ็ญที่มีล้วนได้รับการเพิ่มพลัง เกิดการปะทุขึ้นในระดับที่ต่างกัน วิชาเทพที่สำแดงออกมาพลังก็ยิ่งสั่นสะท้านจิตใจผู้คน
ดังนั้น กองทัพต่อต้านทั้งห้ากองทัพที่มีรองเจ้าตำหนักขบถจันทร์ทั้งห้าเป็นต้นกำเนิด ภายใต้การสยบกำราบของตำหนักเทพพระจันทร์สีชาด สถานการณ์ที่ประจันหน้ากันก็ถูกทำลาย
พวกเขาเริ่มแตกพ่าย รายงานสถานการณ์ฉุกเฉินทุกด้าน
และสิ่งที่เคราะห์ซ้ำกรรมซัดคือ ดวงดาวจันทร์สีชาดเข้ามาใกล้เช่นนี้ ในยามที่ปฏิกิริยาน้ำขึ้นน้ำลงโหมกระหน่ำ ทั้งแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราก็เกิดเรื่องประหลาดขึ้น
มันใหญ่ขึ้น
แผ่นดินใหญ่แต่เดิมที่แยกจากกัน จากในส่วนลึกมีแผ่นดินใหม่ผุดขึ้นมา ในนั้นมีหลุมลึก
ยอดเขาในอดีตก็เช่นกัน หลังจากที่ถล่มลงก็มีเทือกเขาใหม่ปรากฏขึ้น
กลิ่นอายเทพเจ้า ทะลักออกมาไม่หยุดจากในพื้นที่ที่ปรากฏขึ้นมาใหม่ทุกแห่ง
และในหลุมลึกเหล่านี้ ในเทือกเขาเหล่านี้ บนพื้นดินที่ปรากฏขึ้นใหม่เหล่านี้ มีตัวตนพิเศษกลุ่มหนึ่งฟื้นตื่นขึ้นมาแล้ว
พวกมันรูปลักษณ์ภายนอกอัปลักษณ์นัก คล้ายปีศาจ ไม่มีสติปัญญา เต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง เหมือนแมลงเหมือนสัตว์ป่า จำนวนมากมายมหาศาลกรูกันออกมา
ทุกตัวล้วนมีระลอกคลื่นพลังเทพเจ้า ตัวที่เล็กๆ ก็มีขนาดหลายจั้งแล้ว ยิ่งมีตัวขนาดหลายสิบจั้งไปจนถึงร้อยจั้ง
ความโหดเหี้ยมรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง ความบ้าคลั่งแผ่ตลบไปทั่วทุกทิศ
ยิ่งมีความหิวโหยแสดงออกมาจากบนร่างกายของพวกมันอย่างรุนแรง
ทุกที่ที่ผ่าน ทุกสิ่งในฟ้าดินต่อให้เป็นดินโคลน ก้อนหิน ภูเขา ล้วนเป็นอาหารของพวกมัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลือดเนื้อของคนทั้งหลายเลย
พวกมันไม่มีอะไรที่ไม่กิน ไม่มีอะไรที่ไม่กัดกลืน พุ่งทะยานออกมาจากหลายๆ พื้นที่ คืบคลานไปทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา
และความตาย จากการดำเนินไปของทุกสิ่งนี้ ก็เกิดขึ้นในทุกชั่วอึดใจ
ในตำหนักขบถจันทร์ก็เปลี่ยนมาเงียบเหงาซบเซาเป็นอย่างยิ่ง ศาลเจ้าแต่ละแห่งๆ อับแสงไปโดยสมบูรณ์ เจ้าของในนั้นแตกดับ
ลูกกลอนในเสี้ยวขณะนี้ยิ่งสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
สวี่ชิงแม้จะอยู่ในเทือกเขาทนทุกข์ดินแดนสงบสุขแห่งนี้ แต่ลูกกลอน เขาก็ยังคงส่งออกไป อีกทั้งไม่ต้องการสิ่งตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น
แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ
สวี่ชิงเดิมคิดจะหลอมเป็นจำนวนมหาศาล แต่เหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นแล้ว
วันหนึ่ง เทอกเขาทนทุกข์สั่นคลอน หินภูเขานับไม่ถ้วนถล่มร่วง ยอดเขาแต่ละแห่งๆ ถล่ม หลุมลึกหลุมหนึ่ง จากการถล่มของเทือกเขา ปรากฏขึ้นมาจากในนั้น
ตรงนั้นก็คือใต้ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดแห่งเทือกเขาทนทุกข์นั่นเอง
กวาดสายตามองไป ก็จะพบว่าทุกสถานที่เช่นนี้ ความจริงแล้วในละแวกใกล้เคียงล้วนมีตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดทั้งนั้น
และลมทะเลทราย แม้จะสามารถขวางกั้นคนข้างนอกไม่ให้เข้ามาได้ แต่สำหรับสิ่งที่เดิมก็อยู่ในนี้อยู่แล้วนั้น ไม่อาจขวางกั้นได้
ดังนั้นตัวตนเหี้ยมเกรียมมหาศาลก็พุ่งเข้ามาราวคลื่นน้ำ
เพียงพริบตา เสียงคำรามบ้าคลั่งด็กลายเป็นเสียงที่นอกเหนือจากลมแล้ว สั่นคลอนจิตใจผู้คนเช่นกัน
ส่วนผู้บำเพ็ญในทะเลทราย พวกเขาเผชิญหน้ากับภาพนี้ หากไม่อยากตายก็จะต้องต่อต้าน
โดยเฉพาะเผ่าคุ้มครองวายุยิ่งออกเคลื่อนไหวทั้งเผ่า พร้อมกับขั้วอำนาจเล็กใหญ่อื่นๆ ร่วมกันต่อกรกับปีศาจบ้าคลั่งพวกนี้
รัฐทายาทกับองค์หญิงหมิงเหมย ในเสี้ยวพริบตาที่แผ่นดินสั่นคลอนขุนเขาสะเทือนก็เดินออกมาเช่นกัน คล้ายว่าสิ่งที่พวกเขารอก็คือการเกิดขึ้นของเหตุการณ์นี้
สวี่ชิงตามอยู่ข้างหลัง
“สวี่ชิง ดูตัวตนที่เหมือนปีศาจพวกนี้ให้ดี”
“พวกมันไม่ได้บังเอิญเกิดขึ้นมา พวกมันก็คือลูกหลายของชื่อหมู่ที่ยังไม่มีสติรับรู้ เป็นสัญลักษณ์ของความปั่นป่วน เกิดขึ้นมาในขั้นตอนที่ชื่อหมู่เป็นเทพ ปลดปล่อยสิ่งที่ตัวเองไม่ต้องการออกมา”
รัฐทายาท้ดินอยู่กลางอากาศ มองไปยังบริเวณหลุมลึกที่ปะทุทุกอย่างนี้ออดมา เอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ
“พวกนี้ ความจริงแล้วถึงจะเป็นบุตรเทวะที่แท้จริง”
สวี่ชิงก้มหน้ามองไปทางเทือกเขาข้างล่าง
เขาไม่ได้รู้เรื่องนี้เป็นครั้งแรก ในตอนที่ไปจากตำหนักโถงสูงสุดตำหนักขบถจันทร์ นายกองก็ได้บอกเขาแล้ว และนี่…ก็คือน้ำมันที่นายกองว่า