ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 666 คนรู้จักจากเขตปกครองผนึกสมุทรมาเยือน
บทที่ 666 คนรู้จักจากเขตปกครองผนึกสมุทรมาเยือน
พลังเทพเจ้า ลึกลับเกินหยั่งไม่ธรรมดา
ครั้งนี้เดินทางกับจิ้งจอกดินเหนียวทำให้สวี่ชิงในขณะที่ยิ่งสัมผัสกับเรื่องนี้ได้อย่างลึกซึ้ง เขาก็ยิ่งมีความรู้ความเข้าใจในเทพเจ้ามากขึ้น
“เทพเจ้าไม่มีใจดีดุร้าย
“ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับความพึงพอใจ”
สวี่ชิงพึมพำ นึกย้อนถึงเทพเจ้าที่ตัวเองเคยได้เจอในชีวิตนี้ ล้วนเป็นเช่นนี้ทั้งนั้น ไม่มีข้อยกเว้น
‘ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่ข้าคิดอยู่ในตอนนี้ ความจริงแล้วก็เหมือนมดปลวกกำลังคิดวิเคราะห์คาดเดาข้าเช่นนั้น ความคิดและการกระทำขององค์ท่าน ไม่อาจคาดเดา
‘มีเพียงในเสี้ยวขณะที่ความเป็นเทพควบคุมความเป็นเดรัจฉาน ความเป็นมนุษย์หายไป ถึงจะทำให้ข้ามีวิธีคิดเหมือนกับเหล่าองค์ท่าน’
สวี่ชิงร่างอยู่กลางอากาศ ทะยานไปทางทะเลทราย นึกย้อนถึงประสบการณ์ครั้งนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองหุบเขาที่อยู่ที่ไกล
“เผ่านภาคิมหันต์…”
สวี่ชิงเงียบนิ่ง หันหน้าไปอย่างรวดเร็ว หวีดหวิวไปในฟ้าดินนี้
เพียงพริบตาก็ผ่านไปหลายวัน
ลมทรายโหมพัดข้างหน้าสวี่ชิง ลมสีเทาสกัดกั้นการย่างกรายเข้ามาของคนนอกทุกคน แต่สำหรับผู้บำเพ็ญทะเลทรายจะไม่ได้รับผลกระทบนี้
และสวี่ชิงไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ เขากลับมาเดินอยู่ในทะเลทรายครั้งนี้รู้สึกเหมือนว่าพายุทรายลูกนี้จะส่งผลต่อตัวเขาแตกต่างออกไปอย่างมาก
‘พายุทรายลูกนี้แปรเปลี่ยนมาจากผมของเทพชั้นสูงเยวี่ยเหยียน และก่อนหน้านี้ข้าก็เพิ่งได้พบอีกฝ่าย…’
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ร่างของเขาก็หยุดอยู่ในพายุ ลองยกมือขวาขึ้น สะบัดไปเบาๆ ข้างหน้า
“สลาย”
พายุเป็นเหมือนเดิม ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ
แต่เดินทางไปได้ไม่นานเท่าไร ลมพายุรอบๆ เขาก็พลันสั่นสะท้าน แยกออกมาข้างหน้าเขา เผยให้เห็นช่องขนาดมหึมาราวหุบเขา
ลมพายุทั้งสองฝั่งของช่องนี้ราวกับกำแพง เชื่อมต่อฟ้าดิน ช่องขนาดร้อยจั้งนี้กว้างโล่ง
สวี่ชิงดวงตาฉายประกายประหลาด ประสานหมัดไปทางพายุ พุ่งทะยานไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นไม่นาน เทือกเขาทนทุกข์ก็เห็นลิบๆ อยู่ข้างหน้า
มองเทือกเขาและเมืองดินที่คุ้นเคย ใจของสวี่ชิงในที่สุดก็สงบลง เพียงไหววูบก็หายไปจากท้องฟ้า ในยามที่ปรากฏตัวขึ้นก็มาอยู่ที่ห้องด้านหลังร้านยาแล้ว ในพริบตาที่เดินออกมา หลิงเอ๋อร์ที่คิดบัญชีอย่างเหม่อลอยก็เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว
“พี่สวี่ชิง!”
หลิงเอ๋อร์เร็วมาก โยนบัญชีสุดรักทิ้ง พุ่งมาหาสวี่ชิง ใบหน้าเล็กๆ เต็มไปด้วยความดีใจ มองสิ่งผิดปกติไม่ออกแม้แต่น้อย กอดสวี่ชิงเอาไว้
“พี่สวี่ชิง พี่ไปทำอะไรมา ครั้งนี้ทำไมไม่บอกข้าเลย ข้าเป็นห่วงมากๆ …”
หลังจากซุกหน้าอยู่ในอ้อมอกสวี่ชิงแล้ว หลิงเอ๋อร์ปากพูดเช่นนั้น แต่จมูกกลับดมกลิ่นอย่างแนบเนียน คล้ายว่ากำลังสำรวจ
หนิงเหยียนและอู๋เจี้ยนอูก็กวาดสายตามาอย่างรวดเร็วเช่นกัน ท่าทางเหมือนดูเรื่องสนุก
โยวจิงทางนั้นต้มน้ำพลางแค่นเสียงขึ้นจมูก
“ผู้ชาย เหอะๆ”
สวี่ชิงมองไปทางรัฐทายาทที่กำลังดื่มชา
รัฐทายาททำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่สวี่ชิงรู้ดี จะต้องเป็นรัฐทายาทบอกเรื่องที่ตนไปหาจิ้งจอกดินเหนียวกับหลิงเอ๋อร์แน่ๆ
ทว่าสำหรับเรื่องนี้สวี่ชิงก็ไม่ได้สนใจ เขายกมือนำถุงเก็บของใบหนึ่งให้หลิงเอ๋อร์
“ข้าไปหาตุ๊กตาดินเหนียวที่พวกเราเจอเมื่อครั้งที่แล้วเพื่อจัดการธุระให้กับศิษย์พี่ใหญ่ นอกจากนั้นก็เอาสิ่งนี้มาให้เจ้าได้ด้วย”
สวี่ชิงเอ่ยเสียงเบา
หลิงเอ๋อร์รับมาตามสัญชาตญาณ ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย หลังจากเปิดออกดวงตาก็ฉายประกายวาววับ
“ลูกกลอนกระดูกวิญญาณบรรพกาล!”
“รีบไปฝึกฝนเถอะ ของชิ้นนี้มีประโยชน์ต่อการทะลวงขั้นของเจ้าไม่น้อย”
“ขอบคุณพี่สวี่ชิงนะเจ้าคะ พี่สวี่ชิงดีจังเลย” หลิงเอ๋อร์ดีใจเป็นอย่างยิ่ง ในใจเบิกบานมีความสุข นางรู้สึกว่าพี่สวี่ชิงดีกับตนที่สุด ที่แท้การเดินทางครั้งนี้ก็เพื่อช่วยไปเอาของวิเศษล้ำค่าชิ้นนี้มาให้ตน
คิดถึงตรงนี้ นางรู้สึกว่าการสงสัยเมื่อครู่ของตนไม่ค่อยดี จึงเกิดรู้สึกผิดขึ้นมา รีบเอ่ยขึ้น
“พี่สวี่ชิง ข้าไม่ได้แสดงฝีมือทำอาหารมานานมากแล้ว วันนี้ข้าลงมือทำกับข้าวสักสองสามอย่างให้ท่านก็แล้วกัน”
สวี่ชิงเดิมคิดจะปฏิเสธ แต่หลังจากมองรัฐทายาทผาดหนึ่ง ก็ยิ้มพลางพยักหน้า
หลิงเอ๋อร์ยิ่งดีใจขึ้นไปอีก ถือลูกกลอนวิ่งไปหลังครัว เริ่มเตรียมทำกับข้าว
สวี่ชิงมานั่งข้างหน้ารัฐทายาท เอ่ยเสียงเบา
“ผู้อาวุโส องค์ท่านคือเทพชั้นสูงซิงเหยียนแห่งเผ่านภาคิมหันต์ขอรับ”
รัฐทายาทได้ยินก็พยักหน้า วางจอกชาลง
“จุดประสงค์ขององค์ท่านคืออะไร”
“เหมือนกับเทพชั้นสูงเยวี่ยเหยียน อีกทั้งที่แท่นประหารเทพเจ้าก็มีประตูดินเหนียวเพิ่มขึ้นมาอีกบานด้วยขอรับ” สวี่ชิงเอ่ยราบเรียบ
รัฐทายาทดวงตาฉายแววขบคิด ใบหน้าฉายรอยยิ้มออกมา
“น่าสนใจ ในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราแห่งนี้ หมากลับนับไม่ถ้วนล้วนถูกจุดขึ้นแล้ว…เจ้าหนู ศิษย์พี่ของเจ้าไม่ธรรมดา แต่เจ้าไม่ธรรมดายิ่งกว่า”
“ล้วนเป็นแผนการของอาจารย์ข้าทั้งสิ้นขอรับ” สวี่ชิงส่ายหน้า สีหน้าฉายแววคิดถึง
รัฐทายาทลังเล เดิมจากข้อมูลที่เขาเข้าใจ เขาไม่เชื่อเรื่องอาจารย์ที่สวี่ชิงพูดมาโดยตลอด แต่อีกด้านหนึ่ง สติปัญญาของสวี่ชิงก็ทำให้เขามีความเห็นพ้องต้องกันกับอาจารย์ของอีกฝ่าย จากการที่ได้สัมผัสด้วยตัวเอง แล้วมองเรื่องที่ลูกศิษย์ทั้งสองคนของอีกฝ่ายทำ
ทุกอย่างนี้ทำให้เขาคาดเดาอาจารย์ของสวี่ชิงมากขึ้นอย่างอดไม่ได้ ไม่อาจนิยามสุ่มสี่สุ่มห้าได้
ในขณะเดียวกันนี้ ทางห้องครัวก็มีเสียงทำกับข้าวดังมา กลิ่นหอมเป็นระลอกๆ ลอยฟุ้ง หนิงเหยียนทำจมูกฟุดฟิด ดวงตาวาววาบ
อู๋เจี้ยนอู่ที่อยู่หน้าประตูก็สูดลมหายใจลึกเช่นกัน เผยสีหน้าคาดไม่ถึงออกมา
แม้แต่รัฐทายาทก็มองไปทางห้องครัวผ่านๆ เช่นกัน พยักหน้าเบาๆ
“คิดไม่ถึงว่าแม่หนูนี่จะมีฝีมือทำอาหารเหมือนกัน”
“จริงสิ อีกไม่กี่วันข้าจะออกเดินทางสักหน่อย ครั้งนี้เจ้ากลับมานับว่าทันเวลาพอดี แล้วก็แผ่นหยกควบคุมของเจ้าเมื่อครั้งที่แล้วเอามาให้ข้าหน่อย”
สวี่ชิงได้ยิน หลังจากพยักหน้าอย่างจริงจังก็ยื่นแผ่นหยกควบคุมลูกเจี๊ยบไปให้รัฐทายาท
รัฐทายาทรับมา กวาดมือไปบนนั้น แล้วคืนให้สวี่ชิง
“แผ่นหยกนี้นอกจากจะสามารถควบคุมลูกเจี๊ยบลานด้านหลังได้แล้ว ยังมีพันธนาการของโม่กุยและโยวจิงด้วย เจ้าพิจารณาควบคุมให้ดี”
โยวจิงได้ยินก็หน้ามุ่ยไม่พูดจา
สวี่ชิงถือแผ่นหยกขึ้นมา เก็บมันลงไปให้ดี เขารู้ว่านี่คือรัฐทายาทเป็นห่วงความปลอดภัยของร้านยาในช่วงที่จากไป จึงทิ้งวิธีรับมือเอาไว้ให้
มีแผ่นหยกแผ่นนี้ โดยพื้นฐานแล้วสามารถมั่นใจว่าร้านยาในช่วงนี้จะปลอดภัย
“ผู้อาวุโส การออกเดินทางครั้งนี้เกี่ยวพันกับท่านปู่เก้าหรือขอรับ” สวี่ชิงคิดๆ แล้วถามขึ้น
รัฐทายาทพยักหน้า
“ใกล้จะได้เวลาช่วยเขาปลดผนึกแล้ว ครั้งนี้เจ้าไม่ต้องเข้าร่วมด้วย พวกเราสามารถจัดการกันได้”
ขณะพูด หลิงเอ๋อร์ก็ยกกับข้าวสองอย่างออกมาจากห้องครัว เดินออกมาอย่างเบิกบาน หลังจากวางบนโต๊ะ ก็พุ่งตัวเข้าไปในครัวอีกครั้ง เข้าๆ ออกๆ อยู่หลายรอบ ทำกับข้าวถึงแปดอย่าง
และฝีมือทำอาหารของหลิงเอ๋อร์ก็พัฒนาอย่างเห็นได้ชัด อาหารแปดอย่างนี้ดูแล้วมีสี กลิ่น รส ครบครัน สวี่ชิงก็ประหลาดใจเล็กน้อยเช่นกัน
“ท่านปู่รัฐทายาท พี่สวี่ชิง พี่โยวจิง พวกท่านรีบมาชิมเร็วเข้า” จัดการเสร็จเรียบร้อย หลิงเอ๋อร์ก็มายืนข้างๆ เรียกทุกๆ คน
หนิงเหยียนและอู๋เจี้ยนอูมาโดยไม่ได้รับเชิญ นั่งลงข้างๆ ส่วนโยวจิงเองก็วางงานที่อยู่ในมือ มองอาหารผาดหนึ่ง ยิ้มพลางพยักหน้า
รัฐทายาทก็เฝ้ารอเช่นกัน คีบขึ้นมาใส่ปากคำหนึ่ง ดวงตาค่อยๆ หรี่ลง จากนั้นก็มองสวี่ชิงอย่างลึกซึ้งผาดหนึ่ง พยักหน้า
“ไม่เลว”
พวกโยวจิงและหนิงเหยียนก็คีบอย่างรวดเร็วทันที หลังจากที่ต่างคีบเข้าปากแล้ว อู๋เจี้ยนอูดวงตาเบิกโพลง หนิงเหยียนหน้าแดง โยวจิงเงียบนิ่ง จากนั้นก็มองไปทางสวี่ชิงทั้งหมด
ในตอนที่หลิงเอ๋อร์ลุ้น สวี่ชิงก็กินลงไปหลายคำด้วยสีหน้าเป็นปกติ พูดออกมา
“อร่อยก็กินให้เยอะๆ”
หนิงเหยียนออกแรงกลืน ฝืนยิ้ม
“อร่อย!”
อู๋เจี้ยนอูคิดจะปฏิเสธไปตามสัญชาตญาณ แต่มองๆ สวี่ชิง แล้วมองๆ รัฐทายาท เขาก็คีบกับข้าวบางอย่างมาอีก ส่วนโยวจิง นางกินเงียบๆ
อาหารเย็นมื้อนี้ไม่นานทุกคนก็กินจนเกลี้ยงเช่นนี้ นี่ทำให้หลิงเอ๋อร์พึงพอใจเป็นอย่างมาก นางรู้สึกว่าฝีมือทำกับข้าวของตัวเองพัฒนาอย่างยิ่ง พรสวรรค์ด้านทำอาหารเห็นได้อย่างชัดเจนว่าอยู่เหนือการฝึกบำเพ็ญ
‘วันหน้าก็เปิดร้านอาหารเพิ่มได้แล้ว!’
ในหัวหลิงเอ๋อร์คิดเพ้อไปไกล
เวลาหมุนผ่าน สามวันผ่านไป
รัฐทายาทจากไปแล้ว และในวันที่เขาจากไป เทียนหนานจื่อแห่งตำหนักขบถจันทร์ก็มากล่าวลาเช่นกัน
สงครามข้างนอกมาถึงขั้นที่ดุเดือดที่สุดแล้ว ขั้วอำนาจหลายขั้วอำนาจของตำหนักขบถจันทร์ต่างพ่ายแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า กองทัพของรองเจ้าตำหนักสองยิ่งอยู่ในวิกฤตอันตราย การบาดเจ็บล้มตายสาหัส
ดังนั้นเทียนหนานจื่อในฐานะที่เป็นรองเจ้าตำหนักสี่ เขาเตรียมจะออกเดินทางไปช่วยเหลือรองเจ้าตำหนักสอง
ต่อให้อยู่ที่เทือกเขาทนทุกข์จะค่อนข้างปลอดภัย แต่เทียนหนานจื่อไม่อาจนั่งมองความพังพินาศข้างนอกได้
“ข้าเป็นรองเจ้าตำหนักสี่ของตำหนักขบถจันทร์ ข้ามีปณิธานและความรับผิดชอบของข้า ต่อต้านพระจันทร์สีชาด ปกป้องบ้านเมือง เรื่องนี้ข้าไม่อาจหลบหลีกและจะไม่ยอมหลบหลีกด้วยเช่นกัน
“จะต้องมีคนก้าวออกมา…ข้าอายุปูนนี้แล้ว ในเวลานี้มีอะไรมาเสียดายชีวิตอีก
“หากข้าไม่กลับมา วิญญาณที่แหลกสลายจะอยู่คู่ตำหนักขบถจันทร์!”
ในยามที่เทียนหนานจื่อพูดวาจาเหล่านี้ ในสีหน้าแฝงด้วยความเด็ดเดี่ยว ใบหน้าที่ผ่านกาลเวลาความเปลี่ยนแปลงก็ฉายความสุขุมเยือกเย็นต่อความตายออกมา
หลังจากเอ่ยลา สวี่ชิงจ้องมองเงาแผ่นหลังที่จากไปของเขา ท่ามกลางความรางเลือน เงาของเจ้าวังครองกระบี่ก็ปรากฏขึ้นมาในใจของเขาอีกครั้ง
“พวกเขา เป็นคนประเภทเดียวกัน”
พระจันทร์สีชาดเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้นแล้ว
สีของท้องฟ้าเข้มขึ้น ทั้งแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราล้วนเป็นสีเลือด
โดยเฉพาะริมฝั่งแม่น้ำเซ่นทมิฬ ตรงนั้นก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ กวาดตามองไป แม่น้ำที่แต่เดิมก็เป็นสีแดงอยู่แล้ว ตอนนี้แดงก่ำ กลิ่นคาวเลือด กลิ่นเน่า รุนแรงเป็นอย่างยิ่ง
และในช่วงนี้ เรือจากนอกแผ่นดินใหญ่ก็น้อยนักที่จะปรากฏขึ้น อย่างไรเสีย ผู้บำเพ็ญที่มาทำการค้าที่นี่จากข้างนอกต่างรู้ดีว่า แหล่งเพาะเลี้ยงวิญญาณเซ่นจันทราแห่งนี้ กำลังจะถูกเทพเจ้าเก็บเกี่ยว
แต่ตอนนี้ บนแม่น้ำที่คลื่นซัดโหม เรือผุๆ พังๆ ลำหนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นจากที่ไกล ทิศทางที่มันแล่นมา เป็นแผ่นดินใหญ่ที่เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์อยู่อาศัย
ไม่นานนัก เรือลำนี้ก็ยิ่งชัดขึ้น จะเห็นว่าบนนั้นมีรอยซ่อมหลายจุด คลายว่าจะแตกเป็นเสี่ยงได้ทุกเมื่อ กำลังแล่นมาทางฝั่งอย่างรวดเร็ว แหวกผิวน้ำมาตลอดทาง ในขณะที่โคลงไปเคลงมา ในที่สุดก็เทียบฝั่ง
เงาร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากในนั้นอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เหยียบมาบนริมฝั่ง เรือลำนั้นก็ไม่อาจยืนหยัดได้ พังถล่มจมลงสู่ใต้แม่น้ำ
เงาร่างนี้หันกลับไปมองผาดหนึ่ง ถอนหายใจ จากนั้นก็กระทืบเท้าอย่างแค้นใจ
“ไอ้โจรชั่ว ลักพาตัวหลิงเอ๋อร์ของข้ามานานขนาดนี้แล้วยังไม่รู้จักกลับมาอีก ที่แท้ก็มาอยู่ที่ไกลกันดารแบบนี้!
“หลิงเอ๋อร์ของข้าจะต้องกินไม่ได้นอนไม่หลับ ทั้งหนาวทั้งหิวอย่างแน่นอน ทุกวันต้องคอยหวาดหวั่นวิตกไปกับมัน ตอนนี้กำลังจะเผชิญกับอันตรายแล้ว ไม่แน่ว่าตอนนี้อาจจะยังถูกไล่ฆ่าอยู่ก็เป็นได้ ข้างกายไม่มีแม้กระทั่งคนปกป้อง เรียกฟ้า ฟ้าไม่ขานตอบ
“ไอ้โจรชั่วแซ่สวี่เจ้าสำอางนั่น แค่เห็นก็รู้แล้วว่าพึ่งพาไม่ได้!
“ไอ้โจรชั่ว รอข้าก่อนเถอะ ข้าจะไปหาเจ้า!”
แสงท้องฟ้าสีแดงสาดมายังร่างของเงาร่างนี้ ฉายความเก่าแก่โบราณของเขาออกมา คนคนนี้ก็คือตาแก่เจ้าของโรงเตี๊ยมนั่นเอง
หลังจากเขาบ่นแล้ว ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เงยหน้ามองไปยังฟ้าดินที่ไกลๆ ถอนหายใจออกมา
“แผ่นดินกว้างใหญ่เช่นนี้ ข้าจะไปหาที่ไหนกันเล่า”